สินค้าอีกกลุ่มหนึ่งเมื่อท่านเปิดบัญชีเทรด Forex เมื่อเปิด Market Watch ขึ้นมาจะเห็น Indices ที่โบรกเกอร์ส่วนมากก็จะมีให้ลูกค้าเทรด หลักการเปิดเทรดก็ไม่ต่างจากการเทรด Forex คือสามารถเก็งกำไรจากการขึ้นหรือลง และยังสามารถเปิดเฮดได้หมดแบบเดียวกัน ข้อต่างคือสินค้าสำหรับเทรดกลุ่มนี้คือราคาวิ่งดีมากๆ หรือมี volatility สูงมากเมื่อตลาดเปิด เพราะสินค้ากลุ่มนี้ก็จะเป็นดัชนีหรือตัววัดบริษัทหลักๆ ที่อยู่ในรายการของดัชนีนั้นๆ ส่วนมากก็จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ ทั้งนั้น เมื่อเวลาตลาดเปิดเลยทำให้ราคาวิ่งแรงเป็นส่วนมาก
หลักๆ ที่นิยมเทรดกันก็จะมี Aus200 JP225 HK50 CHINA50 สำหรับตลาดเอเชีย DE30 (หรือ Dax) F40 UK100 (หรือ FTSE) สำหรับตลาดยุโรปที่นิยมกัน และตลาดอเมริกามี US500 (US S&P 500) USTEC (หรือ Nasdaq) US30 US200 นอกจากเรื่อง volatility เมื่อตลาดเปิดที่มีเยอะเลยทำให้ราคาขึ้นหรือลงเร็ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้สินค้าพวกดัชนีเป็นที่นิยมเทรดของเทรดเดอร์ที่มีทุนเยอะพอคือเรื่องการปั่นราคาจะไม่ค่อยมีแบบฟอเรก เพราะดัชนีเป็นผลจากการคำนวณตัวเลขของบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในรายการของดัชนีตัวนั้นๆ เลยทำให้เกิดการปั่นราคาได้ยากเมื่อเทียบกับฟอเรก และอีกอย่างที่ถือว่าอาจเป็นข้อเสียของการเทรดดัชนีสำหรับเทรดเดอร์รายย่อยคือ ล็อตในการเทรดขั้นต่ำค่อนข้างจะสูงและมีการเรียก margin สูงเลยทำให้ต้องมีทุนเยอะมากพอ เช่นอย่างที่ ICMarekts ถ้าท่านจะเทรด Dax หรือ DE30 ที่โบรกเกอร์ ICMarkets ใช้ชื่อ
เช่นกรณี leverage 1:500 เมื่อท่านเปิดเทรด EURUSD ท่านใช้ล็อตต่ำสุดได้ที่ 0.01 และมีการเรียกมาจิ้นแค่ 2.25 ดอลลาร์ ข้อดีของสินค้าประเภทฟอเรกคือเทรดล็อตน้อยได้และมีการเรียกใช้ margin น้อยด้วย แต่ถ้าท่านเทรด DE30 ที่ ICMarkets ล็อตต่ำสุดเป็น 1.00 และเรียกมาจิ้นที่ 66.90 ดอลลาร์ ถ้าทุนท่านน้อยท่านจะเห็นผลกระทบทันทีเมื่อราคาวิ่งสวนท่าน
หลักการเทรดท่านอาจเทรดแบบ technical analysis หรืออิง fundamental information ของบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดรรชนี้นั้นๆ แล้วแต่วิธีการ เพราะหลักการทำงานเรื่องออเดอร์ไม่ต่างกันแค่ราคาวิ่งแรง มี volatility เยอะเลยทำให้ตลาดวิ่งแรงและเร็ว และล็อตขั้นต่ำเปิดเทรดเยอะเมื่อเทียบกันการเทรดค่าเงิน เลยทำให้บีบได้-เสียเยอะขึ้น
ตัวอย่างเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของค่าเงิน EURUSD และดัชนี Dax/De30 เทียบช่วงเวลาเดียวกันและแต่ละพื้นที่นับเป็นบีบ ที่มีตัวเลขข้างล่างแต่ละช่วงประกอบ จะเห็นว่าดัชนีวิ่งเยอะมาก ลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาแบบนี้เลยทำให้เกิดโอกาสการเทรดได้ตลอดโดยเฉพาะการเทรดแบบ scalping เพราะด้วยความเร็วที่ราคาวิ่งและระยะจุดเปิดและปิดทำกำไร วิ่งไปหาไม่นาน เลยทำให้เทรดเดอร์ที่ไม่อยากถือรอนานแต่มีทุนเทรดมากพอหันมาเทรดพวกดัชนีกันเยอะ
ตัวอย่างที่ 2 ดัชนีหลักๆ ที่ถือว่าวิ่งดีในช่วงตลาดยุโรเปิดมี Dax หรือ De30 ของเยอรมัน UK100 หรือ FTSE ของอังกฤษและ F40 ของฝรั่งเศส ทั้ง 3 ตัวนี้จะวิ่งช่วงเดียวกันเป็นหลัก และค่อนข้างจะวิ่งไปทางเดียวกันด้วยเมื่อท่านเทรดประจำ ลองสังเกตดู ท่านอาจใช้หลัก correlation ประกอบก็ได้ สำหรับดัชนีที่วิ่งแรงสุดจะเป็น Dax ตามด้วย FTSE และ F40 ดังนั้นการเทรดสินค้าพวกดัชนี จึงจำเป็นที่จะต้องเทรดช่วงที่ตลาดนั้นๆ เปิดเป็นหลัก แม้ว่าบางโบรกเกอร์ปล่อยให้เทรดก่อนช่วงเวลาตลาดเปิด เมื่อท่านเปิดเทรดประจำท่านจะเห็นว่า ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาตลาดเปิดราคาจะแทบไม่วิ่งและสเปรดก็จะถ่างมาก เมื่อเป็นรายย่อยเปิดเทรดไปยิ่งจะเสียเปรียบเพราะทั้งเรื่องเรียก margin เยอะด้วย มาเจอไม่วิ่งและสเปรดห่างมากอีก นอกจากเรียกทุนในการเทรดเพราะเทรดขั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับการเทรดสินค้าฟอเรก เลยมีผลทำให้ pip value ได้-เสียมาก
ข้อดีอีกอย่างที่นิยมกันเมื่อเทรดดัชนีหรือไม่เทรดก็ได้ เทรดเดอร์มักจะเอาดัชนีมาสัมพันธ์กับค่าเงินประเทศนั้นๆเพื่อเทรดคู่เงินฟอเรก เช่น JP225 หรือ Nikkei 225 ของญี่ปุ่น ก็จะดูเพื่อเทรดคู่เงินที่เกี่ยวกับ JPY หรือ AUS200 หรือ Australia 200 ก็จะมาดูเพื่อช่วยกรอง trade setup ของพวกคู่เงินที่เกี่ยวกัน AUD หรือ UK100 หรือ FTSE 100 เพื่อดูกับคู่เงินที่เกี่ยวกับ GBP เพราะดัชนีมีบทบาทสำคัญที่บอกว่าค่าเงินนั้นๆ แข็งหรืออ่อน ส่วนมากจะใช้ correlation การเทรดคู่เงินกับการดูดัชนีประกอบกัน
เมื่อดู JP225 และ USDJPY ท่านจะเห็นว่าเคลื่อนไหวไปทางเดียวกัน และเมื่อท่านมอง price levels ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากการเทียบกัน เช่นจากการใช้ vertical line ที่เวลาเดียวกันกับ 2 ชาร์ตและดูเรื่องช่วงเวลาประกอบท่านจะพบว่า ราคาเกิดการโต้ตอบที่เวลาเดียวกัน นั่นแสดงว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากการ correlation สำหรับ price level ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้เพื่อหา trade setups จากหลักการ technical analysis ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง support/resistance, supply/demand หรือ pivots
แม้ว่าการเทรดดัชนีราคาจะวิ่งดีกว่าการเทรดฟอเรก เลยทำให้เกิดโอกาสการได้-เสียมากกว่าการเทรดฟอเรกหลายเท่าแต่ก็ต้องดูทุนเป็นหลัก เพราะเงื่อนไขแต่ละโบรกเกอร์ในการเทรดดัชนีต่างกันเยอะ ไม่เหมือนกับฟอเรก การเรียกมาจิ้นและการเฮด เพราะบางโบรกเกอร์ท่านสามารถเปิดเฮดกันได้แบบลด margin ให้ด้วยแต่บางโบรกไม่ได้ การเทรดดัชนีจะใช้ประโยชน์จากเรื่อง leverage ถือว่าได้น้อยเพราะราคาวิ่งแรงต้องระวัง และอีกอย่างให้ทดสอบเงื่อนไขต่างๆ ของโบรกที่ท่านจะเทรดก่อนด้วยบัญชีเดโม ก่อนจะเทรดจริงๆ จะได้คำนวณออกว่าทุนเท่าไรที่ท่านควรใช้เทรดดัชนี
ทีมงาน : thaibrokerforex.com