เส้น

คู่เงิน EURUSD และอัตราแลกเปลี่ยน

ในการเทรด Forex เราจะต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยน ก็คือ เครื่องมือทางการเงินที่ใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า ฉะนั้น อัตราแลกเปลี่ยน จึงเกี่ยวข้องกับการลงทุนและการซื้อ ๆ ขาย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในการเทรด Forex หรือ Foreign Exchange Market นั้นจะมีค่าเงินหลากหลายเข้ามาซื้อขาย คำถามคือ ทำไมถึงมีการซื้อขายค่าเงิน ผมคงจะต้องอธิบายในส่วนนี้เสียก่อน ว่า กลไกของอัตราแลกเปลี่ยน และการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนนั้นทำงานอย่างไร

ภาพที่ 1 ค่าเงิน EURUSD และอัตราแลกเปลี่ยน – ตลาดค่าเงิน

ในการซื้อขายปรกตินั้น เราจะซื้อมะนาว เราก็แค่เดินไปที่ตลาด ถือเงินไปและจ่ายเงินไป 2 บาทจะได้มะนาวมา 1 ลูก ถือเงินไป 30 บาทจะได้มะนาวมา 15 ลูก ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนของมะนาวก็คือ บาท/มะนาว หรือก็คือ มะนาวราคา 2 บาท ใช้เงิน 2 บาทได้มะนาวมา 1 ลูก  ทีนี้ผมเปลี่ยนโจทย์ใหม่ ถ้าหากเราต้องการซื้อมะนาวที่สหรัฐฯ  เรื่องมันไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนกับเดินไปซื้อมะนาวที่ตลาดครับ เพราะมะนาวที่สหรัฐฯ จะขายราคาเป็นเงินดอลล่าร์เท่านั้น สมมุติว่า มันราคา 5 เซ็นต์ หรือ 0.05 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อ 1 ลูก ถ้าหากว่า เรามีเงิน 30 บาทเราก็จะสามารถซื้อได้ที่ 20 ลูก โดยประมาณ แต่การที่เราจะซื้อเราต้องไปซื้อเงินดอลล่าร์มาก่อน และแหล่งที่จะซื้อขายเงินดอลล่าร์มีอยู่ 2 แหล่ง คือ ธนาคาร และ การซื้อขายผ่านตลาดกลางในตลาด Forex ซึ่งการซื้อขายทั้ง 2 ที่ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะอ้างอิงราคาจากจุดเดียวกันอยู่แล้ว และเราสมมุติว่า เรานำเงินไปซื้อที่ธนาคาร ในราคา 30 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ หรือก็คือ THBUSD เท่ากับ 30 บาท นี่ก็คืออัตราแลกเปลี่ยนแล้วหล่ะครับ เมื่อเราได้ดอลล่าร์มาแล้ว เราก็ไปซื้อมะนาวที่สหรัฐฯ ได้ จะเห็นว่า  อัตราแลกเปลี่ยนมันคือ ของที่เอาไว้ใช้สำหรับซื้อขาย ซึ่งแต่ละประเทศมันมีค่าเงินที่แตกต่างกัน มันคือพื้นฐานของเศรษฐกิจนั่นเอง

ภาพที่ 2 ค่าเงิน EURUSD และอัตราแลกเปลี่ยน – การซื้อขายมะนาวโดยใช้ค่าเงินบาทและค่าเงิน USD

ทีนี้เรามาพูดถึงค่าเงิน EURUSD กันก่อน ค่าเงิน EURUSD คือ ค่าเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนกันในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างธนาคาร อย่างที่ได้เกริ่นไว้ตอนแรก ว่าสามารถซื้อกับธนาคารก็ได้ หรือ ซื้อกับตลาดกลางก็ได้ ซึ่งตลาดกลางนี้เรียกว่า Interbank Market โดยค่าเงิน EURUSD เป็นค่าเงินที่มีการซื้อขายและสภาพคล่องสูงที่สุด สาเหตุก็เพราะว่า ปริมาณธุรกรรมของค่าเงินมีสูง มีสภาพคล่องสูง หรือจะให้พูดภาษาชาวบ้าน ชาวบ้านหน่อย ก็คือ ระหว่าง 2 ประเทศนี้มีคนซื้อขายและทำธุรกิจกันมากมหาศาล ถึงทำให้เกิดการแลกเงินไปมาอยู่อย่างนั้น แล้วลักษณะของคู่เงินนี้เป็นอย่างไร เรามาดูรายละเอียดกัน

คู่เงินคืออะไร

ถ้าหากว่า เราเรียกว่า เงินบาท เงิน 1 บาทก็เท่ากับเงิน 1 บาทมันมีค่าสักเท่าไหร่ เราจะพบว่า มันไม่สามารถรู้มูลค่าของมันได้ เพราะว่าเราต้องทำการเปรียบเทียบค่าของเงินกับอะไรสักอย่างเพื่อเทียบของที่จะแลก เช่น มะนาว 1 ลูกต้องใช้เงิน 2 บาท นั่นคือ ค่าเงินที่ได้คือ บาท/มะนาว เท่ากับ 2 คำว่า บาท/มะนาว ก็คือ คู่เงินแล้วครับ แต่ว่า มะนาวที่หลัง / มันเป็นสินค้า มันก็เลยไม่นิยมที่จะเขียนออมาก เราก็เลยมักจะบอกเสมอว่า มะนาว ราคา 2 บาท แต่ว่าในอัตราแลกเปลี่ยน มันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่า ไม่งั้นมันไม่รู้จะไปเทียบกับอะไร เราก็เลยเทียบกับค่าเงินที่ใช้ในประเทศนั้น ๆ เช่น กลุ่มประเทศยุโรป ก็ใช้ค่าเงิน EUR ถ้าหากว่า เราจะไปซื้อมะนาวที่ยุโรป เราก็ต้องไปซื้อเงินยูโร  แต่ต้องอธิบายก่อนว่าแล้วทำไมต้องเงินดอลล่าร์กันหล่ะ

ก่อนหน้านี้ผมอธิบายว่า ประเทศสหรัฐฯ กับ ประเทศยุโรปซื้อขายกันมาก ทำให้ค่าเงิน EURUSD มีสภาพคล่องสูง จริง ๆ แล้วมันมีหลายปัจจัย นั่นเพราะว่า ค่าเงิน USD เป็นเงินที่ได้รับความนิยม และยอมรับ จึงมีการเก็บออมเงินไว้ในรูปแบบดอลล่าร์ ทำให้เวลาคนอื่นที่ไม่ใช่คนสหรัฐฯ ก็มีเงินดอลล่าร์และสามารถค้าขายกับยุโรปได้เช่นกัน จึงไม่จำเป็นต้องเป็นคนสหรัฐฯ อย่างเดียวเท่านั้น จากเหตุการณ์นี้ทำให้ ค่าเงิน EURUSD เป็นที่นิยมแล้ว การที่จะเอา USD ไปแลกเงินยูโร มีคำถามว่า จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะแลกได้ 1 EUR

ภาพที่ 3 ค่าเงิน EURUSD และ อัตราแลกเปลี่ยน – อัตราแลกเปลี่ยน EURUSD

ในภาพ เป็นอัตราแลกเปลี่ยน EURUSD ซึ่งในวงกลมใหญ่ แสดงราคา 2 ราคา มันคือ ราคา Bid 1.12379 และ  ราคา  ASK  1.2387 ทั้ง 2 ราคามีความแตกต่างกัน มันคือราคาเสนอซื้อกับราคาเสนอขาย โดยมีส่วนต่างเท่ากับ 0.00008 ซึ่งนี่เรียกว่า Spread มันคือค่าธรรมเนียมการซื้อขาย แต่ถ้าในตลาดหุ้น นั่นก็คือ ราคาที่คนขายตั้งไว้เพื่อขายสำหรับราคา ASK และ ราคา Bid คือ ราคาที่คนจะซื้อตั้งไว้เพื่อจะซื้อ ถ้าหากว่า คนขายจะทำการขายทันที จะต้องยอมขายถูกกว่าราคา Ask คือราคา Bid หรือก็คือ 1.12379 และเช่นเดียวกัน หากคนซื้อไม่อยากรอ อยากซื้อค่าเงิน EUR เลยก็ต้องไปซื้อที่ราคา 1.12387 ซึ่งก็คือราคาแพงกว่า ราคา Bid

ในความหมายของราคาของค่าเงิน EURUSD หมายความว่า (ราคา Bid) ต้องใช้เงิน 1.12387 ดอลล่าร์สหรัฐ ฯ ถึงจะซื้อเงิน EUR ได้ 1 EUR  หมายความว่าค่าเงินของ EUR นั้นมีค่ามากกว่าค่าเงิน USD แต่ไม่ได้หมายความว่า ค่าเงิน EUR นั้นแพงกว่า USD เพราะว่า การเปรียบเทียบค่าเงินว่า ค่าเงินไหนแพงและถูกนั้นจะต้องใช้สินค้าในการเปรียบเทียบ เพราะว่า เราไม่ได้บริโภคเงินโดยตรงแต่เงิน เป็นแค่ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น

เบื้องหลังของการเคลื่อนไหวของเงิน EURUSD

ค่าเงินจะมีการเคลื่อนไหว ขึ้นลง และเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่างได้แก่ปัจจัยทางด้าน Supply ของเงิน และ ปัจจัยทางด้าน Demand ของเงิน โดยผมจะอธิบายแยกกันดังต่อไปนี้

ภาพที่ 4 – ค่าเงิน EURUSD และ อัตราแลกเปลี่ยน – ดอกเบี้ย

ด้าน Supply ของเงิน – เรากำลังพูดถึงปริมาณเงินที่มี ถ้าหากว่า มีปริมาณเงินมาก ยิ่งหมายความว่า มูลค่าของเงินจะน้อยลง เพราะว่าใคร ๆ ก็มีเงินได้ ทำให้เงินเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ แต่สินค้าจะเป็นที่ต้องการ ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น แต่เงินมีราคาถูก เมื่อเงินราคาถูก การที่จะทำให้เงินมีราคาแพงก็ต่อเมื่อ ทำให้คนต้องการเงิน นั่นคือ ทำให้เงินในตลาดนั้นขาดมือ โดยการสร้างแรงจูงใจในการฝากเงิน ให้คนเก็บออมเงิน ทำให้ไม่อยากใช้จ่ายเงิน การที่จะทำเช่นนั้นก็ต้องสร้างแรงจูงใจในการเก็บเงินและไม่ใช้จ่าย คือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เป็นต้น หรือกรณีที่เราอยากจะให้เงินนั้นด้อยค่าลง ก็มีหลายวิธี เช่น การลดดอกเบี้ยเงินฝากทำให้คนเอาเงินไปลงทุนในระบบมากขึ้น เพราะว่าฝากเงินไปก็มีแต่จะทำให้เงินด้อยค่าลงเพราะว่า ได้ผลตอบแทนน้อยสู้เอาไปลงทุนในธุรกิจจะดีกว่า หรือ เราสามารถพิมพ์เงินเพิ่มได้ การพิมพ์เงินเพิ่มทำให้ค่าเงินด้อยค่าอย่างรวดเร็ว เช่น มาตรการ Quantitative Easing หรือ QE ของสหรัฐฯ เพื่อให้มีสภาพคล่องมากขึ้น เพราะว่าเงินในระบบน้อยเกินไป แต่ย่อมกระทบกับราคาสินค้าอย่างแน่นอน

ด้านอุปสงค์ของเงิน – หมายความว่า คนในประเทศมีการใช้เงินเยอะ นั่นก็คือ เงินหายากปริมาณน้อย การที่ความต้องการใช้เงินเยอะ นั่นเป็นเพราะว่า ต้องการเอาไปลงทุนสร้างผลตอบแทน การควบคุมอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ ปริมาณเงินโดยตรง

ภาพที่ 5 ค่าเงิน EURUSD และอัตราแลกเปลี่ยน – อุปสงค์และอุปทานของเงิน

ซึ่งทั้งอุปสงค์และอุปทานของเงินนั้น ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษบกิจ เช่น การซื้อขายทำธุรกิจระหว่างกัน ดังนั้นหมายความว่า การที่ค่าเงินเคลื่อนไหวขึ้นลงนั่นเป็นเพราะว่า มีการทำธุรกรรมระหว่างค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ และเงินยูโรในปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคา ทั้ง ซึ่งเกิดได้ในทั้งภาคธุรกิจ  เช่น จากการซื้อขายสินค้า กับประเทศ หรือ ผู้ค้าที่ถือครองสกุลเงิน 2 สกุลนี้อยู่  หรือในอีกกรณีหนึ่งคือ ภาคการเงิน นั่นคือการเคลื่อนที่ของเงินที่จะต้องใช้ในการลงทุน เช่น เนื่องจากว่า ดอกเบี้ยที่ธนาคารที่เยอรมัน ให้ผลตอบแทนมากกว่า สหรัฐฯ คนที่มีเงินออมย่อมอยากได้ดอกเบี้ยที่เยอะกว่า จึงนำเงินไปฝากในเยอรมัน ทำให้ความต้องการเงินยูโรมีมากขึ้นเป็นต้น

 

ทีมงาน : www.thaibrokerforex.com

เส้น

เขียนโดย

Rattapoom Jitjaroen

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen