จากบทเรียนคราวก่อนที่เราพูดถึงขนาดและความผันผวน ทำให้เรารู้ว่า ตลาด Forex นั้นได้รับความนิยมมาก แต่ก่อนที่เราจะไปซื้อขายกันเราต้องมาทำความรู้จักตลาด forex ในประเภทต่าง ๆ กันเสียก่อน ซึ่งตลาด Forex ก็ไม่แตกต่างจากตลาดหุ้นของประเทศไทย การเทรด Forex ก็มีหลายประเภทเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเราเปรียบเทียบค่าเงินใดค่าเงินหนึ่งเป็นหุ้น หุ้นก็จะมีทั้ง Futures และ Options ให้เทรด ตลาด Forex ก็ไม่แตกต่างกัน
ประเภทและการให้บริการของตลาด Forex
โดยตลาด Forex ที่เราเทรด ๆ กันนี้เรียกว่า คือ ตลาด Spot สำหรับตลาด Spot นั้นก็จะมี Broker ให้บริการหลากหลาย โดยที่รู้จักในประเทศไทย ก็ได้แก่ XM FBS EXNESS เป็นต้น แต่จริง ๆ แล้วการเทรด Forex ไม่ได้มีแค่นั้น ตลาด Forex มีทั้ง Currency Futures ซึ่งมีเทรดในตลาด Chicago Mercantile Exchange (CME) เช่นเดียวกับ Options ของ Currency ก็มีซื้อขายอยู่ที่นี่เช่นกัน
ซึ่งตลาดอื่น ๆ นอกเหนือจาก CME ก็มีตลาด International Securities Exchange(ISE) หรือ Philadelphia Stock Exchange (PHLX) อย่างไรก็ตาม Option ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความรวมถึง Binary Options ซึ่งผมได้เคยเขียนบทความเรื่อง Binary Option ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
นอกจาก Futures และ Options ของค่าเงินแล้วเรายังมี ETFs ของค่าเงินด้วย ETFs ก็คือ Index ของค่าเงิน ถ้าหากตัวอย่างเทียบเท่าของบ้านเราก็จะได้แก่ หุ้น TDEX ซึ่งก็คือกองทุนที่มีความคล้ายคลึง ETFs โดยทำการซื้อหุ้นทุกตัวใน Set 50 นั่นเอง แต่ส่วนใหญ่ ETFs พวกนี้จะสร้างโดยสถาบันการเงิน คือการซื้อรวบเทรดทุกตัวนั่นแหละครับ
ซึ่งในบทเรียนนี้ก็คงจะไม่พูดถึงตลาดเหล่านั้นมาก เพราะว่า เราไม่ได้เทรดเพราะว่า การเข้าถึงตลาดในสหรัฐฯ ของคนไทยก็ทำได้ยาก เราก็มาพูดถึงตลาด Spot Forex ที่เทรดเดอร์อย่างพวกเราเทรดกันน่าจะตรงประเด็นกว่า
กลไกการซื้อขายในตลาด Forex
ผมเคยพูดถึงไว้บทความก่อนหน้าว่าการเทรด Forex เหมือนกับการซื้อของขายของใน Lotus คือ ถ้าหากเราซื้อของเราก็ต้องมีของไปแลก เราซื้อขนมปัง เราก็เอาเงินไปแลก เช่นเดียวกันกับค่าเงิน เราซื้อ EUR ก็หมายความว่าเราต้องมีเงินไปแล้ว แต่ว่าตลาด Forex มันเปิดกว้างที่สามารถเอาอะไรไปแลกก็ได้
เช่น ถ้าเราซื้อคู่เงิน EURUSD หมายความว่าเราเอา USD ไปแลก EUR โดยที่บัญชีที่เราเปิดกับโบรคเกอร์จะเป็นเงินอะไรก็ได้ เช่นเงินดอลล่าร์ เงินเยน เงินปอนด์ เป็นต้น การเปิดบัญชีค่าเงินอื่น ไม่ได้หมายความว่าเราจะเทรดคู่อื่น ๆ ไม่ได้ เช่น เรามีบัญชีเงิน Pound เราก็สามารถเทรด EURUSD ได้เช่นกัน แล้วคู่เงินเป็นอย่างไร เรามาดูตัวอย่างกัน
ภาพที่ 1 ราคา Forex
การ Quote ราคาของการเทรด Forex นั้นก็เหมือนกับการ Quote ราคาของตลาดหุ้น ตัวอย่างในภาพเป็นค่าเงิน EURUSD ราคาที่ SELL 1.10933 และ BUY 1.10941 หมายความว่า
ถ้าหากเราจะ Buy เราจะได้ราคา 1.10941 และเมื่อเราซื้อแล้วเราขายทันที เราจะขายได้ในราคา 1.10933 ก็คือขาดทุนส่วนต่าง ถ้าหากเป็นภาษาซื้อขายทองเขาก็เรียกส่วนต่างนี้ว่า ค่ากำเน็จนั่นแหละครับ ส่วนต่างนี้เรียกว่า Spread ในตลาด Forex โดยค่าเงิน USE นี้เรียกว่า Quote Currency
ขณะที่ ค่าเงิน EUR ที่อยู่ข้างหลังเรียกว่า Based Currency หมายความว่า ถ้าหากว่าเราใช้เงิน 1 ยูโร เราจะได้เงิน 1.10933 USD หรือพูดง่าย ๆ ในทางกลับกันก็คือ จะต้องใช้เงิน 1.10933 USD ในการที่จะซื้อให้ได้ 1 ยูโร การจำหลักการหลังจะเข้าใจง่ายกว่า
การเปิดคำสั่งซื้อขาย ก็มีหลายรูปแบบแล้วแต่วิธีการของโบรคเกอร์ และโปรแกรมที่โบรคเกอร์ให้บริการครับ บางที่ก็เป็น Metatrader4 บางที่ก็เป็น WebBase หรือว่า cTrader โปรแกรม โดยการส่งคำสั่งซื้อ เราเรียกว่า Open Position Long ย้ำครับ มันเป็นการเปิด Position และ Sell เราเรียกว่า Open Position Short การ Short กับ การ Long นั้นแตกต่างกับตลาดหุ้น
ภาพที่ 2 หลักการ Short และ Long
ช่วงที่ผมย้ายมาเทรด Forex ใหม่ ๆ ผมงงครับ กับการเทรด เพราะว่า Buy คือ ซื้อ แล้วเราต้องไป Sell เมื่อเรากด Sell ปั๊บแทนที่ Position Buy เราจะหายไป ไม่ครับ มันเปิดออเดอร์มาอีกอันหนึ่งเรียกว่า Sell มันตรงกันข้ามกัน จริง ๆ มันก็คือการขายไปแล้วนั่นแหละครับ เพราะว่ามันคานกันแล้ว แต่ว่าเราเสีย Spread กับ Swap ช่วงแรก ๆ ผมก็งง ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องคิดคือ วางคำว่า Buy หรือ Sell ก่อน แล้วฟังความหมายดังนี้
Buy เราจะเปิดก็ต่อเมื่อเราคิดว่า ราคาจะขึ้นจากจุดที่เรา Buy และในทางตรงกันข้ามกัน เราเปิด Sell เมื่อเราคิดว่าราคาจะลง ฉะนั้น Buy Sell เป็นตัวกำหนดทิศทาง แต่ว่าการเปิด Position คือการส่งคำสั่ง และเมื่อต้องการทำกำไร หรือตัดขาดทุนสิ่งที่เราทำไม่ใช่ทำการ Buy หรือ Sell เหมือนกับซื้อหุ้นแต่สิ่งที่เราต้องทำคือ Close Position โดยผมจะมีตัวอย่างให้ดูใน Clip ครัรบ
ขอบคุณครับ