Non-Farm Employment Change คืออะไร
Non-Farm Employment Change เขียนตัวย่อว่า “NFP” (Non-Farm Payrolls) คือ ตัวเลขที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของจำนวนการจ้างงานในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่รวมการจ้างงานในภาคเกษตร ลูกจ้างในครัวเรือน พนักงานองค์กรไม่แสวงหากำไร และทหารประจำการ
“NFP” เป็นชื่อย่อที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลกนิยมใช้และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยคำว่า “Payrolls” ในที่นี้หมายถึงบัญชีรายชื่อลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างหรือเงินเดือน ซึ่งสะท้อนถึงการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ
ตัวเลขนี้มาจากการสำรวจธุรกิจกว่า 131,000 แห่ง และสถานประกอบการมากกว่า 670,000 แห่งทั่วสหรัฐฯ ครอบคลุมประมาณ 80% ของแรงงานที่มีส่วนในการสร้าง GDP ให้กับประเทศ จึงถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม
NFP จะถูกประกาศทุกวันศุกร์แรกของทุกเดือน เวลา 19:30 น. ตามเวลาไทย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ตัวเลขนี้แสดงถึงจำนวนงานที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ถ้าตัวเลขเป็นบวกแสดงว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นลบแสดงว่ามีการจ้างงานลดลง ในภาวะเศรษฐกิจปกติ ตัวเลขมักอยู่ระหว่าง +10,000 ถึง +250,000 ตำแหน่ง
ที่สำคัญ NFP ไม่ใช่แค่ตัวเลขการจ้างงานธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใช้ประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบายการเงิน จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการเงินทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้น ตลาด Forex และราคาทองคำ
เลขสำคัญในรายงาน NFP
ตัวเลขประวัติศาสตร์ที่ควรรู้
- จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์อยู่ที่ 1 ล้านตำแหน่งในเดือนตุลาคม 1983 ซึ่งเป็นช่วงฟื้นตัวจากวิกฤติต้นยุค 80
- ส่วนจุดต่ำสุดที่น่าตกใจคือติดลบถึง 699,000 ตำแหน่งในเมษายน 2009 ช่วงวิกฤติการเงินโลก
- ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ สามารถผันผวนได้รุนแรงแค่ไหนในช่วงวิกฤติ
ตัวเลขที่ถือว่า “ดี” และ “ไม่ดี”
- ในภาวะปกติ ถ้าการจ้างงานเพิ่มขึ้น 150,000-250,000 ตำแหน่ง นักลงทุนมักมองว่าเป็นตัวเลขที่ “กำลังดี” เพราะแสดงถึงการเติบโตที่สมดุล
- แต่ถ้าต่ำกว่า 100,000 ตำแหน่ง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว
- ถ้าสูงเกิน 300,000 ตำแหน่ง แทนที่จะดีอาจกลับกลายเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะอาจนำไปสู่เงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
การวิเคราะห์การปรับแก้ตัวเลข
- เรื่องที่หลายคนอาจไม่รู้คือ NFP มีการปรับแก้ตัวเลขย้อนหลัง 2 เดือนทุกครั้งที่ประกาศ เช่น ถ้าเดือนก่อนประกาศว่าเพิ่ม 200,000 ตำแหน่ง อาจมีการปรับเป็น 220,000 ในเดือนนี้
- ถ้าเห็นการปรับขึ้นบ่อยๆ แสดงว่าเศรษฐกิจอาจแข็งแกร่งกว่าที่คิด แต่ถ้าปรับลงบ่อยๆ ก็ควรระวังสัญญาณชะลอตัวนะคะ
การกระจายตัวของการจ้างงาน – ดูให้ลึกกว่าตัวเลขรวม
- นักลงทุนมืออาชีพไม่ได้ดูแค่ตัวเลขรวม แต่ดูการกระจายตัวด้วย
- ยกตัวอย่างเช่น ถ้าการจ้างงานเพิ่ม 200,000 ตำแหน่ง แต่กระจุกตัวแค่ในภาคบริการราคาถูก อาจไม่ดีเท่ากับการเพิ่มขึ้นที่กระจายตัวในหลายภาคส่วน ทั้งการผลิต เทคโนโลยี และการก่อสร้าง ซึ่งมักจ่ายค่าแรงสูงกว่า
คุณภาพของการจ้างงาน – มากกว่าแค่ตัวเลข
- ที่น่าสนใจคือ ในรายงานยังบอกถึงคุณภาพการจ้างงานด้วย เช่น สัดส่วนงานเต็มเวลากับพาร์ทไทม์ และการเติบโตของค่าจ้าง
- ถ้างานเต็มเวลาเพิ่มขึ้นพร้อมค่าจ้างที่สูงขึ้น นั่นคือสัญญาณที่ดีมากๆ เพราะหมายถึงกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
เปรียบเทียบกับค่าคาดการณ์ – ตัวเลขที่ตลาดให้ความสำคัญ
- สิ่งที่ทำให้ตลาดผันผวนมากที่สุดคือความแตกต่างระหว่างตัวเลขจริงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เช่น ถ้าคาดว่าจะเพิ่ม 150,000 ตำแหน่ง
- แต่ตัวเลขจริงออกมา 250,000 ตลาดอาจตอบสนองรุนแรงกว่าตัวเลข 150,000 ที่ตรงกับคาดการณ์พอดี เพราะมันสะท้อนว่าเศรษฐกิจดีกว่าที่คิดไว้มาก
เทคนิคพิเศษ – มองให้ทะลุเหตุการณ์พิเศษ
- บางครั้งตัวเลข NFP อาจถูกบิดเบือนจากเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น พายุเฮอริเคน การประท้วงใหญ่ หรือการนัดหยุดงาน
- เทคนิค คือ ต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรเป็นผลกระทบชั่วคราว อะไรเป็นแนวโน้มจริงๆ ของตลาดแรงงาน เพื่อไม่ให้ตีความผิดพลาดและตัดสินใจพลาดในการลงทุน
เวลาการประกาศที่ต้องจดจำ
เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนยังสับสนว่าทำไม NFP ถึงประกาศวันศุกร์แรกของทุกเดือน เวลา 19:30 น. ตามเวลาไทย? นั้นเพราะเป็นช่วงที่ตลาดการเงินสำคัญทั่วโลกยังเปิดทำการอยู่ ทั้งตลาดเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ทำให้เราได้เห็นการตอบสนองของตลาดแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะใน 15-30 นาทีแรกหลังประกาศ ที่มักจะเกิดความผันผวนสูงสุดนั้นเอง
ผลกระทบต่อตลาดการเงิน
ตลาด Forex:
- เมื่อ NFP สูงกว่าคาด ดอลลาร์มักแข็งค่าทันที
- คู่เงินที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ EUR/USD, GBP/USD
- ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังประกาศ Spread อาจกว้างกว่าปกติ 2-3 เท่า
ตลาดทองคำ:
- มักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์
- NFP ดีเกินคาด → ทองมักร่วง
- NFP แย่กว่าคาด → ทองมักพุ่ง
ตลาดหุ้น:
- ผลกระทบขึ้นอยู่กับสภาวะเงินเฟ้อ
- ช่วงเงินเฟ้อสูง: NFP ดีเกินคาด อาจทำให้หุ้นร่วง (กลัว Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย)
- ช่วงเงินเฟ้อปกติ: NFP ดี หุ้นมักขึ้น
กลยุทธ์การเทรดในวัน NFP
- ก่อนประกาศ: บรรดาเทรดเดอร์ควรระวังการเทรดช่วง 2-3 ชั่วโมงก่อนประกาศ เพราะตลาดมักจะเงียบผิดปกติ! ตลาดเหมือนกำลังกลั้นหายใจรอดูตัวเลข บางครั้งอาจเห็น Spread กว้างขึ้น สภาพคล่องลดลง นักเทรดมืออาชีพมักจะปิดสถานะหรือลดขนาดพอร์ตในช่วงนี้
- ระหว่างประกาศ: ช่วงนาทีทองที่ตลาดมักผันผวนสูงสุด! ราคาอาจวิ่งขึ้น-ลงอย่างรุนแรงใน 1-2 นาทีแรก เราอาจเห็น Spike หรือ Gap ได้บ่อย โดยเฉพาะในคู่เงินหลักอย่าง EUR/USD หรือ GBP/USD
- หลังประกาศ:
- 15 นาทีแรก: ตลาดมักสับสนวุ่นวาย
- 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง: เริ่มเห็นทิศทางชัดเจน
- 2-3 ชั่วโมง: ตลาดเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ
เทคนิคการจัดการความเสี่ยงช่วงประกาศ NFP
1. การตั้ง Stop Loss อย่างชาญฉลาด
เหตุผลที่ต้องตั้ง Stop Loss กว้างกว่าปกติ
- ตลาดมักผันผวนรุนแรงในช่วง 15-30 นาทีแรกหลังประกาศ
- ราคาอาจวิ่งขึ้น-ลงแบบ Spike หรือ Gap ได้มาก
- Spread อาจกว้างขึ้น 2-3 เท่าในช่วงประกาศ
วิธีการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม
- ตั้งห่างจากจุดเข้า 2-3 เท่าของระยะปกติ
- ดูแนวรับ-แนวต้านสำคัญประกอบการตั้ง Stop
- หลีกเลี่ยงการตั้งใกล้จุดที่ตลาดมักวิ่งไปทดสอบ
- อาจใช้ Trailing Stop เพื่อล็อกกำไรเป็นระยะ
การระวัง Stop Hunt
- หลีกเลี่ยงการตั้ง Stop ที่จุดกลมๆ หรือจุดที่คนส่วนใหญ่มักตั้ง
- ไม่ตั้ง Stop ใกล้แนวรับ-แนวต้านมากเกินไป
- อาจใช้วิธีดูกราฟหลาย Timeframe ประกอบการตั้ง Stop
2. การบริหาร Lot Size และ Leverage
การลดขนาดการเทรด
- ควรลดขนาด Lot ลง 50-70% จากปกติ
- ถ้าปกติเทรด 0 lot อาจลดเหลือ 0.3-0.5 lot
- ยิ่งตลาดผันผวนมาก ยิ่งต้องลดขนาดมาก
การใช้ Leverage อย่างระมัดระวัง
- ไม่ควรใช้ Leverage เกิน 1:20 ในวันประกาศ
- ถ้าปกติใช้ 1:100 ให้ลดลงเหลือ 1:20 หรือต่ำกว่า
- ยิ่งใช้ Leverage สูง ยิ่งเสี่ยงต่อการ Margin Call
การแบ่งเงินทุน
- แบ่งเงินทุนออกเป็น 3-4 ส่วน
- ใช้เงินไม่เกิน 2-3% ต่อการเทรด 1 ครั้ง
- สำรองเงินไว้สำหรับโอกาสที่อาจเกิดขึ้น
3. เทคนิคพิเศษสำหรับนักเทรดระยะสั้น
การอ่าน Price Action
- สังเกตรูปแบบแท่งเทียนหลังประกาศ เช่น Pin Bar, Engulfing
- ดูการเกิด False Break ที่แนวรับ-แนวต้านสำคัญ
- สังเกต Volume ว่าสอดคล้องกับทิศทางราคาหรือไม่
การรอสัญญาณยืนยัน
- ดูกราฟหลาย Timeframe เพื่อยืนยันทิศทาง
- รอให้เกิดการ Break แนวรับ-แนวต้านชัดเจน
- สังเกตการ Retest จุดสำคัญหลังประกาศ
การทยอยเข้า-ออกตำแหน่ง
- แบ่งเงินเป็น 3 ส่วน เพื่อทยอยเข้า
- ส่วนที่ 1: เข้าเมื่อเห็นสัญญาณแรก (30%)
- ส่วนที่ 2: เพิ่มเมื่อมีการยืนยันทิศทาง (40%)
- ส่วนที่ 3: เก็บไว้เผื่อต้องเฉลี่ยต้นทุน (30%)
การทยอยปิดกำไร
- ปิดส่วนแรกเมื่อได้กำไรตามเป้าหมายแรก (1:1)
- ส่วนที่สองรอให้ถึงเป้าหมายที่ 2 (1:2)
- ส่วนสุดท้ายอาจปล่อยวิ่งตามเทรนด์
ข้อควรระวังพิเศษ
- อย่าเทรดในช่วง 5-10 นาทีแรกหลังประกาศ
- มีแผนสำรองรองรับทั้งกรณีราคาวิ่งตามและตรงข้าม
- ระวังการเกิด Fake Out หรือ False Break
ความสัมพันธ์ของ NFP กับเศรษฐกิจที่สำคัญ
1. ดัชนี ISM ภาคการผลิต (ISM Manufacturing Index)
- เป็นดัชนีที่สะท้อนภาวะภาคการผลิตของสหรัฐฯ
- ค่าเหนือ 50 = ภาคการผลิตขยายตัว
- ค่าต่ำกว่า 50 = ภาคการผลิตหดตัว
ความสัมพันธ์กับ NFP
- ISM ที่แข็งแกร่งมักนำหน้าการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน
- หากค่า ISM เริ่มลด = สัญญาณเตือนว่าการจ้างงานอาจชะลอตัว
- ดูโดยเฉพาะส่วนดัชนีการจ้างงานใน ISM Report
2. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (Weekly Jobless Claims)
- ประกาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 19:30 น. (ไทย)
- บ่งชี้จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
- เป็นตัวชี้วัดที่ทันต่อเหตุการณ์มากที่สุด
การนำไปใช้วิเคราะห์
- ตัวเลขลดลง = แนวโน้มการจ้างงานดีขึ้น
- ตัวเลขเพิ่มขึ้น = อาจมีการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น
- ดูค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์เพื่อลดความผันผวน
3. ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI)
- CPI สูง = แรงกดดันให้ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ย
- การขึ้นดอกเบี้ยอาจกระทบการจ้างงานในอนาคต
- ดูโดยเฉพาะ Core CPI (ไม่รวมอาหารและพลังงาน)
การวิเคราะห์ร่วมกัน
- CPI สูง + NFP แข็งแกร่ง = โอกาสสูงที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย
- CPI ลด + NFP อ่อนแอ = Fed อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
- ดูการเติบโตของค่าจ้างใน NFP ควบคู่กับ CPI
4. ยอดค้าปลีก (Retail Sales)
- สะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภค
- บ่งชี้สุขภาพเศรษฐกิจโดยรวม
- มีผลต่อการจ้างงานในภาคบริการ
การใช้วิเคราะห์แนวโน้ม
- ยอดค้าปลีกเติบโต = อาจนำไปสู่การจ้างงานเพิ่ม
- ยอดค้าปลีกหดตัว = อาจมีการลดการจ้างงาน
- ดูโดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ
5. รายงานการเปิดตำแหน่งงานว่าง (JOLTS Report)
- แสดงจำนวนตำแหน่งงานว่างทั้งหมด
- อัตราการลาออก (Quit Rate)
- อัตราการจ้างงานใหม่ (Hire Rate)
การนำไปใช้
- ตำแหน่งงานว่างมาก = ตลาดแรงงานตึงตัว
- อัตราการลาออกสูง = แรงงานมั่นใจในการหางานใหม่
- เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ว่างงาน = ดูความสมดุลของตลาดแรงงาน
6.เคล็ดลับในการวิเคราะห์
- ดูภาพรวมทั้งหมด
- ไม่ควรดูตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งแยกกัน
- เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
- มองแนวโน้มระยะยาว 3-6 เดือน
- จัดลำดับความสำคัญ
- NFP เป็นตัวชี้วัดหลัก
- Jobless Claims ให้สัญญาณเร็วที่สุด
- JOLTS ให้ภาพละเอียดที่สุด
- การนำไปใช้ในการเทรด
- วางแผนการเทรดล่วงหน้าตามปฏิทินเศรษฐกิจ
- เตรียมพร้อมรับความผันผวนในวันประกาศตัวเลขสำคัญ
- ปรับกลยุทธ์ตามความสอดคล้องของข้อมูล
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินได้แม่นยำมากขึ้น
Fed กับการตัดสินใจนโยบายการเงินผ่านตัวเลข NFP
- ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง → โอกาสขึ้นดอกเบี้ยสูง
- ตลาดแรงงานอ่อนแอ → อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
- ค่าจ้างเพิ่มเร็ว → กังวลเงินเฟ้อ
- เมื่อพูดถึงการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed นั้น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร หรือ NFP ถือเป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่พวกเขาใช้ประกอบการตัดสินใจ โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย
- เริ่มจากกรณีที่ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง เช่น มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 200,000 ตำแหน่งต่อเดือน หรืออัตราการว่างงานต่ำกว่า 4% นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
- ในสถานการณ์แบบนี้ Fed มักจะมองว่ามีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจ “ร้อนแรง” เกินไป จนอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงเกินควบคุม
- หากตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอ เช่น การจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 100,000 ตำแหน่งต่อเดือน หรือมีการเลิกจ้างในหลายภาคธุรกิจ Fed ก็อาจต้องทบทวนนโยบายการเงินใหม่
- Fed อาจตัดสินใจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือในบางกรณีอาจถึงขั้นพิจารณาลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการว่างงานที่สูงเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงได้
- อีกประเด็นที่ Fed ให้ความสำคัญคือเรื่องของค่าจ้าง ถ้าค่าจ้างเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป เช่น มากกว่า 5% ต่อเดือน หรือเกิน 5% ต่อปี นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ
- เมื่อคนมีรายได้มากขึ้น การใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ที่น่ากังวลคือ อาจเกิดเป็นวงจร “ค่าจ้าง-ราคา” (Wage-Price Spiral) ที่ค่าจ้างและราคาต่างผลักดันกันให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
- Fed พยายามรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการจ้างงานและการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน
- สำหรับนักลงทุน การเข้าใจวิธีคิดของ Fed ในการมองตัวเลข NFP จึงมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินได้แม่นยำขึ้น และสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การลงทุนไม่ว่าจะเป็นในตลาดหุ้น ตลาด Forex หรือแม้แต่ตลาดทองคำ ล้วนได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของ Fed ทั้งสิ้น
- Fed ไม่ได้มองแค่ตัวเลข NFP อย่างเดียว แต่ยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพของระบบการเงิน
- การติดตามข้อมูลอย่างครบถ้วนจะช่วยให้เราเข้าใจและคาดการณ์การตัดสินใจของ Fed ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการวางแผนการลงทุนในระยะยาวนั้นเอง
การประยุกต์ใช้ NFP กับการลงทุนประเภทต่างๆ
- การลงทุนในหุ้นรายตัว: NFP สามารถช่วยเลือกหุ้นได้ เช่น ถ้าตัวเลขการจ้างงานในภาคการผลิตดี หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมมักจะได้ประโยชน์ หรือถ้าภาคบริการเติบโต หุ้นค้าปลีกและท่องเที่ยวมักจะน่าสนใจ
- การลงทุนในทองคำ: ทองคำมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับ NFP อย่างชัดเจน เมื่อตัวเลขออกมาดี ราคาทองมักจะร่วง เพราะนักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ถ้าตัวเลขแย่ ทองมักจะพุ่งเพราะคนแห่เข้าหาความปลอดภัย
การลงทุนในทองคำ
ทองคำมีความสัมพันธ์แบบผกผันชัดเจนกับ NFP
- เมื่อ NFP ออกมาดี ราคาทองมักจะร่วง เพราะนักลงทุนลดการถือสินทรัพย์ปลอดภัย หันไปถือสินทรัพย์เสี่ยงแทน
- แต่ถ้า NFP แย่ ทองมักจะพุ่งขึ้น เพราะนักลงทุนแห่เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย
- ยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ความสัมพันธ์นี้จะยิ่งชัดเจน
กลยุทธ์พิเศษสำหรับสภาวะตลาดต่างๆ
ช่วงเงินเฟ้อสูง
- ต้องระมัดระวังการตอบสนองที่รุนแรงของตลาดเป็นพิเศษ
- เตรียมพร้อมรับมือการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
- ควรปรับพอร์ตให้รับความผันผวนได้ดีขึ้น เช่น เพิ่มสัดส่วนหุ้น Value Stocks
- อาจพิจารณาถือครองสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้
ช่วงเศรษฐกิจถดถอย
- มองหาสัญญาณการฟื้นตัวจากภาคการจ้างงานอย่างใกล้ชิด
- ติดตามค่าจ้างเพื่อประเมินกำลังซื้อของผู้บริโภค
- ระวังการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจจากสถาบันต่างๆ
- เน้นลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคงสูง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
เทคนิคขั้นสูงในการวิเคราะห์
การใช้ Multiple Time Frame Analysis
- กราฟรายวัน: ใช้ดูแนวโน้มหลักของตลาด วางแผนระยะกลาง-ยาว
- กราฟ H4: ช่วยหาจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม ลดความเสี่ยง
- กราฟ M15: สำหรับ Fine-tuning จังหวะการเข้า-ออก โดยเฉพาะในวันประกาศ
การวิเคราะห์ Market Sentiment
- ตรวจสอบ Positioning ของ Big Players ผ่าน COT Report
- ศึกษา Option Market เพื่อดูการคาดการณ์ของตลาด
- วิเคราะห์ Flow เงินทุนระหว่างประเภทสินทรัพย์
- สังเกตปริมาณการซื้อขายในช่วงก่อนและหลังประกาศ
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการเทรด
- ก่อนประกาศ: ควรลดขนาดการเทรดลง เตรียมแผนรับมือทั้งด้านบวกและลบ
- ระหว่างประกาศ: ระวังความผันผวนสูงใน 15-30 นาทีแรก
- หลังประกาศ: รอให้ตลาดเริ่มมีทิศทางชัดเจนก่อนเข้าเทรด
สรุป
Non-Farm Employment Change หรือ NFP คือ ตัวเลขที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของการจ้างงานในสหรัฐอเมริกา โดยไม่รวมภาคเกษตร ถูกประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน เวลา 19:30 น. ตามเวลาไทย เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด เพราะสะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของ Fed ตัวเลขนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการเงินทั่วโลก ทั้งค่าเงิน ตลาดหุ้น และราคาทองคำ เนื่องจากครอบคลุมการจ้างงานถึง 80% ของแรงงานที่มีส่วนในการสร้าง GDP ให้กับประเทศ ทำให้นักลงทุนทั่วโลกจับตามองตัวเลขนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการติดตามและเข้าใจตัวเลข NFP จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ทุกคน