มาทำความรู้จักกับ “Market Order” กันแบบเจาะลึกกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดเทรดหรือเซียนตัวยงก็ต้องรู้จักคำสั่งนี้เอาไว้ เพราะ Market Order ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญมากในการซื้อขายหุ้นและสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ เลยล่ะ!
แล้ว Market Order คืออะไรกันแน่?
Market Order ก็คือ คำสั่งซื้อขายที่เราส่งเข้าไปในตลาด โดยบอกว่าเราต้องการซื้อหรือขายทันที ณ ราคาตลาดปัจจุบัน ไม่ว่าราคานั้นจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม เรียกว่าเป็นคำสั่งที่ “ง่าย เร็ว แต่ก็มีความเสี่ยง” นั่นเอง
ลองนึกภาพว่า !! คุณกำลังซื้อของในตลาดสดแบบเร่งรีบ คุณเห็นผักที่ต้องการ แล้วก็บอกแม่ค้าว่า “เอาอันนี้ ๆ ครับ/ค่ะ” โดยไม่ได้ต่อราคา นั่นแหละ คือ Market Order ในโลกของการเงิน!
ทำไมถึงต้องใช้ Market Order?
- ความรวดเร็วทันใจ: เมื่อคุณส่งคำสั่ง Market Order คำสั่งของคุณจะได้รับการดำเนินการแทบจะในทันที โดยเฉลี่ยแล้ว 95% ของคำสั่งจะเสร็จสิ้นภายใน 4 วินาทีเท่านั้น! เร็วจนแทบจะกะพริบตาไม่ทัน
- แน่นอนว่าจะได้ซื้อหรือขาย: ไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดโอกาส เพราะ Market Order รับประกันว่าคำสั่งของคุณจะได้รับการจับคู่แน่นอน (ตราบใดที่มีสภาพคล่องเพียงพอในตลาด)
- เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว: ในช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างรวดเร็ว Market Order ช่วยให้คุณเข้าหรือออกจากตลาดได้ทันท่วงที
- ไม่ต้องคอยเฝ้าหน้าจอ: เมื่อคุณตัดสินใจแล้ว ก็แค่กดส่งคำสั่ง แล้วปล่อยให้ระบบทำงานให้ ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าราคาจะมาถึงจุดที่เราตั้งไว้หรือไม่
ข้อดีข้อเสียของ Market Order
ข้อดี
- ความแน่นอนในการทำรายการ: คุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าคำสั่งของคุณจะได้รับการดำเนินการ (ตราบใดที่มีสภาพคล่องในตลาด)
- ความรวดเร็ว: เหมาะมากสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการความเร็วสูง เช่น ตลาดกำลังผันผวนมาก หรือมีข่าวด่วนที่ส่งผลกระทบต่อราคา
- ง่ายต่อการใช้งาน: ไม่ต้องกำหนดราคาหรือเงื่อนไขพิเศษใด ๆ แค่กดส่งคำสั่งก็เรียบร้อย
- เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว: ถ้าคุณเชื่อมั่นในหุ้นตัวนั้น ๆ ในระยะยาว การใช้ Market Order ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลมากนัก
ข้อเสีย
- ไม่สามารถควบคุมราคาได้: คุณอาจต้องซื้อในราคาที่สูงกว่าหรือขายในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดไว้
- เสี่ยงต่อการเกิดSlippage (Slippage): โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ราคาที่คุณได้อาจแตกต่างจากราคาที่คุณเห็นตอนส่งคำสั่งมาก
- อาจเสียเปรียบในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ: ในหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย คุณอาจต้องซื้อหรือขายในราคาที่ไม่เป็นธรรม
- ไม่เหมาะกับกลยุทธ์การเทรดบางประเภท: เช่น การทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็ก ๆ น้อย ๆ (Scalping) ที่ต้องการความแม่นยำสูงในเรื่องราคา
ทำความเข้าใจอย่างละเอียด วิธีการทำงานของ Market Order
เมื่อคุณส่ง Market Order เข้าไปในระบบ มันจะทำงานแบบนี้ คือ
- ระบบจะมองหาคำสั่งซื้อหรือขายฝั่งตรงข้ามที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้น
- ถ้าเป็นคำสั่งซื้อ ก็จะจับคู่กับราคาเสนอขายที่ต่ำที่สุด
- ถ้าเป็นคำสั่งขาย ก็จะจับคู่กับราคาเสนอซื้อที่สูงที่สุด
- การซื้อขายจะเกิดขึ้นทันที โดยไม่สนใจว่าราคานั้นจะแตกต่างจากราคาล่าสุดที่คุณเห็นก่อนส่งคำสั่งหรือไม่
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ กันเลยดีกว่า
สมมติว่าคุณอยากซื้อหุ้น XYZ ด้วย Market Order ตอนนี้ราคาล่าสุดอยู่ที่ 100 บาท คุณกดส่งคำสั่งไป แต่ในวินาทีนั้นเอง มีคนอื่นเข้ามาซื้อก่อนคุณ ทำให้ราคาขยับขึ้นเป็น 100.50 บาท คำสั่งของคุณก็จะถูกจับคู่ที่ราคา 100.50 บาททันที โดยไม่ได้รอให้ราคากลับมาที่ 100 บาท
นี่แหละ ที่เราเรียกว่า “Slippage” ซึ่งเป็นข้อเสียหลัก ๆ ของ Market Order ที่เราต้องระวัง
เมื่อไหร่ควรใช้ Market Order?
- ตลาดกำลังเคลื่อนไหวเร็วมาก: เช่น มีข่าวสำคัญออกมา คุณอยากเข้าหรือออกจากตลาดทันที
- คุณเป็นนักลงทุนระยะยาว: ไม่ได้สนใจความผันผวนระยะสั้น แค่อยากเข้าลงทุนให้เร็วที่สุด
- หุ้นหรือสินทรัพย์นั้นมีสภาพคล่องสูง: ทำให้โอกาสเกิด Slippage รุนแรงน้อยลง
- คุณต้องการปิดสถานะอย่างเร่งด่วน: เช่น ตัดขาดทุนในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ช่วงเปิดหรือปิดตลาด: ที่มักมีปริมาณการซื้อขายสูง ทำให้ได้ราคาที่ใกล้เคียงกับที่คาดหวัง
เมื่อไหร่ไม่ควรใช้ Market Order?
- ตลาดมีความผันผวนสูงมาก: เสี่ยงต่อการเกิด Slippage รุนแรง
- คุณกำลังเทรดหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ: อาจทำให้ได้ราคาที่ไม่เป็นธรรม
- คุณมีงบประมาณจำกัด: และต้องการควบคุมต้นทุนอย่างเคร่งครัด
- คุณกำลังทำ Day Trading หรือ Scalping: ที่ต้องการความแม่นยำสูงในเรื่องราคา
- ช่วงกลางวันที่ตลาดเงียบ: อาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด
เทคนิคการใช้ Market Order อย่างชาญฉลาด
- รู้จักช่วงเวลา: หลีกเลี่ยงการใช้ Market Order ในช่วงเปิด-ปิดตลาด 15 นาทีแรกและสุดท้าย เพราะราคามักผันผวนสูง
- ดูสภาพคล่อง: ตรวจสอบปริมาณการซื้อขายก่อนส่งคำสั่ง ยิ่งสภาพคล่องสูง โอกาสเกิด Slippage ก็ยิ่งน้อย
- แบ่งคำสั่งใหญ่: ถ้าต้องการซื้อหรือขายปริมาณมาก ให้แบ่งเป็นคำสั่งย่อย ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อราคา
- ใช้คู่กับ Stop Loss: เพื่อจำกัดความเสียหายในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาด
- ระวังช่วงประกาศข่าวสำคัญ: ราคามักผันผวนสูงในช่วงนี้ อาจทำให้เกิด Slippage รุนแรง
- เช็คส่วนต่างราคาเสนอซื้อ-ขาย (Spread): ยิ่ง Spread กว้าง ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิด Slippage
- ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการส่งคำสั่ง
Market Order vs. Limit Order เลือกใช้อย่างไรดี?
Market Order และ Limit Order เป็นเหมือนพี่น้องกันในโลกของการเทรด แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ มาดูกันว่าเราควรเลือกใช้แบบไหนในสถานการณ์ใดดี
Market Order
- เน้นความแน่นอนในการทำรายการ
- เหมาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง
- ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ไม่สนใจความผันผวนระยะสั้น
- เสี่ยงต่อการเกิด Slippage
Limit Order
- ควบคุมราคาได้แม่นยำกว่า
- เหมาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำหรือผันผวนสูง
- ดีสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็กน้อย
- อาจไม่ได้รับการจับคู่ถ้าราคาไม่ถึงระดับที่กำหนด
ตัวอย่างการใช้งาน Market Order จริง ๆ
สมมติว่าคุณต้องการซื้อหุ้น ABC จำนวน 1,000 หุ้น ราคาล่าสุดอยู่ที่ 50 บาท คุณส่ง Market Order เข้าไป ระบบจะทำงานดังนี้
- ตรวจสอบคำสั่งขายที่มีอยู่ในตลาด
- เจอคำสั่งขาย 500 หุ้นที่ราคา 50 บาท
- เจอคำสั่งขายอีก 300 หุ้นที่ราคา 10 บาท
- และเจอคำสั่งขายอีก 200 หุ้นที่ราคา 20 บาท
คำสั่งของคุณจะถูกจับคู่ทันทีดังนี้
- 500 หุ้นแรกที่ราคา 50 บาท
- 300 หุ้นถัดมาที่ราคา 10 บาท
- 200 หุ้นสุดท้ายที่ราคา 20 บาท
ราคาเฉลี่ยที่คุณได้คือ 50.08 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาที่คุณเห็นตอนส่งคำสั่งเล็กน้อย นี่คือตัวอย่างของ Slippageในทางปฏิบัติครับ
ข้อควรระวังเป็นพิเศษสำหรับ Market Order
- ระวังในช่วงเปิด-ปิดตลาด: ราคามักผันผวนสูงในช่วง 30 นาทีแรกและสุดท้ายของการซื้อขาย อาจทำให้เกิด Slippage รุนแรง
- ระมัดระวังในตลาด Forex: เนื่องจากเป็นตลาดที่เปิด 24 ชั่วโมง ช่วงเปลี่ยนวันอาจมีสภาพคล่องต่ำและ Spread กว้าง
- อย่าใช้กับหุ้นที่มีมูลค่าต่อหุ้นสูงมาก: เพราะแค่ราคาเปลี่ยนแปลงนิดเดียว ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนของคุณอย่างมาก
- ระวังในช่วงประกาศผลประกอบการหรือข่าวสำคัญ: ราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในช่วงนี้
- ตั้งวงเงินสูงสุด: บางแพลตฟอร์มอนุญาตให้คุณตั้งวงเงินสูงสุดสำหรับ Market Order เพื่อป้องกันการสูญเสียเกินคาด
- ระมัดระวังเป็นพิเศษในตลาดอนุพันธ์: เนื่องจากมีการใช้เลเวอเรจ ความผันผวนของราคาอาจส่งผลกระทบรุนแรงกว่าในตลาดหุ้นปกติ
เทคนิคการใช้ Market Order ร่วมกับคำสั่งประเภทอื่น
- Market Order + Stop Loss: ใช้ Market Order เพื่อเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว แล้วตั้ง Stop Loss ทันทีเพื่อจำกัดความเสียหาย
- Market Order + Trailing Stop: เหมาะสำหรับการทำกำไรในแนวโน้มขาขึ้น โดยใช้ Market Order เข้าตลาด แล้วใช้ Trailing Stop เพื่อล็อกกำไรแบบไดนามิก
- Market Order + OCO (One-Cancels-Other): ใช้ Market Order เข้าตลาด แล้วตั้ง OCO เพื่อกำหนดจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุนในคราวเดียว
- Market Order ในการ Averaging Down: ใช้ Market Order ทยอยซื้อเพิ่มเมื่อราคาลดลง เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย (แต่ต้องระวังความเสี่ยงด้วยนะครับ!)
สรุป Market Order เครื่องมือพื้นฐานที่ต้องใช้เป็น
Market Order เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและใช้งานง่าย แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องระวัง การใช้งานอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากความรวดเร็วและความแน่นอนของมัน โดยไม่ต้องเสียเปรียบจากSlippageหรือราคาที่ไม่เป็นธรรม
จำไว้เสมอว่า ไม่มีคำสั่งซื้อขายแบบไหนที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกสถานการณ์ การเลือกใช้ Market Order หรือ Limit Order ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การลงทุน สภาวะตลาด และความเร่งด่วนในการทำรายการของคุณ
สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการศึกษาและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุน ไม่ว่าคุณจะใช้คำสั่งประเภทไหน การเข้าใจตลาดและรู้จักจังหวะในการเข้า-ออกที่เหมาะสมย่อมสำคัญกว่าประเภทของคำสั่งที่ใช้เสมอ