เคยเจอไหม? เทรดได้กำไรแล้วแต่ดันไม่กดปิด รอจนกราฟกลับมาทำร้ายจิตใจ หรือบางครั้งขาดทุนจนพอร์ตแตก เพราะไม่รู้ว่าควรจะหยุดที่ตรงไหน! สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับนักเทรดทุกคน โดยเฉพาะถ้าคุณยังไม่ได้ทำความรู้จักกับสองตัวช่วยสำคัญที่เหมือนเป็น “ยามชีวิต” ในตลาด Forex นั่นก็คือ SL (Stop Loss) / TP (Take Profit)

ในตลาด Forex ที่ดุเดือดเหมือนสนามรบ กลยุทธ์และความรู้ในการตั้ง SL และ TP ถือเป็น “อาวุธลับ” ที่ช่วยปกป้องพอร์ตของคุณจากการขาดทุน และดึงกำไรเข้ากระเป๋าแบบไม่ต้องลุ้นจนตัวโก่ง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ SL และ TP แบบถึงแก่น พร้อมเทคนิคการตั้งค่าที่ใช้งานได้จริงและสนุกไปกับการเรียนรู้ไปรับชมพร้อมกันเลยครับ

SL/TP คืออะไร? รู้จักตัวช่วยนี้กันก่อน

เมื่อพูดถึง SL (Stop Loss) และ TP (Take Profit) หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงแค่ฟีเจอร์เล็กๆ ในแพลตฟอร์มเทรด แต่ในความเป็นจริง สองสิ่งนี้เปรียบเสมือน “คู่หูสุดล้ำค่า” ที่คอยช่วยให้คุณเอาตัวรอดและทำกำไรในโลกแห่ง Forex อันผันผวนนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์!!

รูปที่ 1 ตัวอย่างการทำงาน SL และ TP บนโปรแกรมหรือแพลตฟอร์ม Meta trader5

SL (Stop Loss) ฮีโร่ที่คอยปกป้องพอร์ต

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังโดดร่มลงมาจากเครื่องบิน และสิ่งเดียวที่ช่วยให้คุณลงจอดอย่างปลอดภัยคือ ร่มชูชีพ SL ก็เป็นแบบนั้นแหละ!

  • SL คืออะไร?
    SL หรือ Stop Loss คือจุดที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อหยุดการขาดทุนในกรณีที่ตลาดไม่เป็นใจ เป็นจำนวนเงินที่คุณยอมที่จะขาดทุนได้ แทนที่จะปล่อยให้พอร์ต “ร่วงลงจากฟ้า” จนถึงจุดที่ไม่เหลืออะไร SL จะช่วยหยุดความเสียหายนั้นได้ทันเวลา
  • ทำไมต้องใช้ SL?
    เพราะการเทรดไม่ใช่การเดาทิศทางตลาด แต่คือการบริหารความเสี่ยง SL ช่วยให้คุณสามารถยอมรับจำนวนขาดทุนที่ควบคุมได้ โดยไม่ทำให้คุณหมดกำลังใจหรือเสียเงินทุนไปทั้งหมด

TP (Take Profit) ตัวโกยกำไรแบบมีสติ

อีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณมี กระเป๋าเดินทาง ที่ช่วยเก็บของมีค่าอย่างปลอดภัย TP ก็เปรียบเหมือนกระเป๋าใบนั้น!

  • TP คืออะไร?
    TP หรือ Take Profit คือจุดที่คุณตั้งไว้เพื่อปิดออเดอร์เมื่อถึงระดับกำไรที่คุณต้องการ ไม่ว่าตลาดจะพุ่งขึ้นไปไกลแค่ไหน TP จะช่วยล็อกกำไรที่คุณควรได้รับไว้ทันที
  • ทำไมต้องใช้ TP?
    การโลภอาจทำให้คุณเสียโอกาส การตั้ง TP จะช่วยให้คุณมีจุดที่ชัดเจนในการปิดออเดอร์ แทนที่จะรอจนตลาดกลับตัวมาหักล้างกำไรของคุณไป

ทำไม SL/TP ถึงสำคัญ? ไม่ตั้งได้ไหม?

ในตลาด Forex ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความผันผวนสูง การไม่ตั้ง SL (Stop Loss) และ TP (Take Profit) ก็เหมือนคุณกำลังเดินเข้าถ้ำมังกรโดยไม่มีโล่หรือดาบ มาดูกันว่าทำไม SL/TP ถึงสำคัญต่อชีวิตนักเทรดทุกคน

รูปที่ 2 การยกตัวอย่างว่าทำไม SL ถึงสำคัญในตลาด Forex ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ตลาด Forex คือมังกรที่ไม่เคยปราณีใคร

ลองจินตนาการว่าตลาด Forex คือ มังกรที่ไม่เคยหลับ มันใหญ่ แข็งแรง และพร้อมจะเขมือบคุณได้ทุกเมื่อหากคุณไม่มีแผนการรับมือที่ดี

  • ถ้าคุณไม่ตั้ง SL
    ตัวอย่างง่ายๆ คุณเปิดออเดอร์ซื้อ (Buy) คิดว่าราคาจะพุ่งขึ้น แต่ตลาดดันสวนทาง ราคาดิ่งลงแบบไม่มีหยุด!

    • ไม่มี SL: คุณจะต้องทนเห็นพอร์ตของตัวเองลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเงินทุนแทบจะหมด
    • มี SL: ระบบจะปิดออเดอร์ให้โดยอัตโนมัติที่จุดขาดทุนที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้า ช่วยปกป้องเงินทุนไม่ให้หมดไป

บทเรียน: การไม่ตั้ง SL เหมือนการเล่นชิงช้าสวรรค์ที่ไม่มีสายรัด ถ้าตกลงมา…คุณอาจไม่รอด!

Forex ไม่ใช่การพนันและแน่นอนมันไม่ใช่ Casino

กำไรในตลาด Forex ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่ายๆ และหากไม่มี TP มันก็เหมือนคุณเดินเข้าคาสิโนแล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด

  • ความสำคัญของ TP ในการช่วยให้คุณเลิกโลภ
    • การตั้ง TP จะช่วยให้คุณไม่ต้องตกหลุมพรางของความโลภ เมื่อกำไรถึงจุดที่คุณต้องการ ออเดอร์จะปิดให้อัตโนมัติ ทำให้คุณไม่ต้องเสี่ยงรอจนตลาดกลับตัวและกำไรหายไป
  • การตั้งเป้าหมายช่วยพัฒนาแผนการเทรด
    • TP คือการวางเป้าหมายอย่างมีวินัย เมื่อคุณรู้ว่าควรหยุดที่ไหน คุณจะสามารถพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

พื้นฐานเคล็ดลับการตั้ง SL และ TP

การตั้ง SL และ TP อาจฟังดูเป็นเรื่องที่เคร่งเครียดสำหรับหลายคน แต่ความจริงแล้วมันสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรดที่สนุกและสร้างสรรค์ได้ มาดูเคล็ดลับที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ให้การตั้ง SL แะ TP ให้ไม่น่าเบื่อและเต็มไปด้วยความน่าสนใจกันครับ

รูปที่ 3 การตั้ง SL และ TP พื้นฐาน โดยใช้ RR (Risk-Reward Ratio)

การตั้ง SL และ TP พื้นฐาน โดยใช้ RR (Risk-Reward Ratio)

RR คืออะไร?
RR หรือ Risk-Reward Ratio เป็นการคำนวณความเสี่ยงต่อผลตอบแทนในแต่ละการเทรด เช่น 1:2 หมายความว่าคุณยอมเสียเงิน 1 ส่วน เพื่อหวังกำไร 2 ส่วน

การตั้ง SL/TP จาก RR

  • เริ่มต้นง่ายๆ กำหนด SL และ TP ตาม RR ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ เช่น
    • นักเทรดที่ระมัดระวัง: ใช้ RR 1:1
    • นักเทรดที่เน้นกำไรสูง: ใช้ RR 1:2 หรือ 1:3
  • ตัวอย่าง
    หากคุณตั้ง SL ที่ 10 pips และต้องการ RR 1:2 คุณต้องตั้ง TP ที่ 20 pips

เคล็ดลับ: การตั้ง SL/TP โดยอิง RR ช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้ง่ายขึ้นและมั่นใจในกลยุทธ์ของตัวเอง

ลอง “Trailing Stop” เพิ่มโอกาสเก็บกำไร

“Trailing Stop” คืออะไร?
Trailing Stop คือฟีเจอร์พิเศษที่ช่วยเลื่อนจุด SL ของคุณให้สูงขึ้น (หรือต่ำลงในกรณี Sell) ตามการเคลื่อนไหวของราคาที่เป็นบวก ช่วยล็อกกำไรเมื่อราคาเคลื่อนที่ตามทิศทางที่คุณต้องการ

แตกต่างอย่างไรกับ SL และ TP แบบปกติยังไง?

  • SL และ TP ปกติ: ตั้งค่าคงที่ เมื่อถึงระดับนั้นจะปิดออเดอร์ทันที
  • Trailing Stop: จุด SL จะเลื่อนตามราคา ทำให้คุณสามารถเก็บกำไรได้มากขึ้นในขณะที่ลดความเสี่ยงลงมาเรื่อยๆ “มันการันตีกำไรให้คุณทันทีเมื่อไปถูกทาง”

ตัวอย่างการทำงานของ Trailing Stop ให้วิ่งตามกำไร

  • กำหนดระยะ Trailing Distance เช่น 10 pips
  • เมื่อราคาขยับขึ้น +10 pips จุด SL จะเลื่อนขึ้น 10 pips เช่นกัน (ในทิศทางกำไร)

ตัวอย่างสถานการณ์ที่ Trailing Stop ใช้ได้ดี

  • เทรนด์ยาว: หากคุณกำลังเทรดในช่วงที่ตลาดเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลงที่ชัดเจน Trailing Stop ช่วยให้คุณเก็บกำไรจากการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้
  • ข่าวเศรษฐกิจ: ช่วงประกาศข่าวใหญ่ที่ราคาผันผวน Trailing Stop ช่วยให้คุณไม่พลาดกำไรแม้ตลาดกลับตัว

เคล็ดลับ: ใช้ Trailing Stop คู่กับ RR เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการล็อกกำไรและการลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

ข้อผิดพลาดยอดฮิตของการตั้ง SL และ TP (พร้อมวิธีแก้ไข)

การตั้ง SL และ TP เป็นเรื่องสำคัญ แต่หลายคนยังเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากการตั้งค่าไม่ถูกต้อง ซึ่งส่งผลให้เสียโอกาสทำกำไรหรือขาดทุนแบบไม่จำเป็น มาดูข้อผิดพลาดยอดฮิตที่นักเทรดส่วนใหญ่มักเจอ พร้อมวิธีแก้ไขที่จะช่วยให้การตั้ง SL และ TP ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น!

ตั้ง SL ใกล้เกินไป

ทำไม SL ใกล้เกินอาจทำให้โดนปิดออเดอร์ก่อนเวลาอันควร?
การตั้ง SL ใกล้มากๆ จากจุดเข้าเทรด อาจทำให้กราฟสวิง (Swing) และเมื่อเกิดการผันผวนเล็กน้อยในตลาด ราคาจะชนเข้ากับ SL โดยที่ทิศทางหลักยังไปตามแผนที่คุณวางไว้ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในตลาด Forex ที่ผันผวนสูง

ตัวอย่าง

  • คุณเปิดออเดอร์ Buy แต่ตั้ง SL ไว้ใกล้เพียง 5 pips
  • ตลาดมีการแกว่งตัวเพียงเล็กน้อย แต่ชน SL ของคุณก่อนที่จะพุ่งขึ้นตามคาดการณ์

วิธีหลีกเลี่ยง

  1. ใช้ Time Frame ที่เหมาะสม
    • หากเทรดบน Time Frame เล็ก (เช่น M1 หรือ M5) ควรตั้ง SL ให้กว้างขึ้นเพื่อรองรับการแกว่งตัว
    • สำหรับ Time Frame ใหญ่ (เช่น H1 หรือ D1) อาจตั้ง SL ที่ชัดเจนตามแนวรับ/แนวต้าน (Support/Resistance) ก็ได้
  2. ใช้ อินดิเคเตอร์เข้าช่วย เช่น ใช้ Average True Range (ATR)
    • ATR เป็นอินดิเคเตอร์ที่ช่วยคำนวณการแกว่งตัวเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาใดๆ โดยคุณสามารถใช้ค่า ATR เป็นเกณฑ์ตั้ง SL ได้เช่นกัน

TP สูงเกินฟ้า แต่ไม่เคยถึง

การคนตั้ง TP แบบ “ฝันหวาน” แต่กราฟไม่เคยไปถึง
การตั้ง TP ที่สูงเกินไปจากความเป็นจริง เช่น หวังกำไร 100 pips ในตลาดที่เคลื่อนไหวเพียง 20-30 pips ต่อวัน ทำให้ TP ของคุณไม่มีวันถูกแตะถึง เพราะการตั้งแบบนี้ไม่สอดคล้องกับ Momentum หรือทิศทางของตลาดเลยสักนิ๊ด !

ตัวอย่าง

  • คุณตั้ง TP ที่ 200 pips บนคู่เงินที่มีค่าเฉลี่ยเคลื่อนไหวเพียง 50 pips ต่อวัน
  • กราฟพุ่งขึ้นใกล้ TP เพียง 40 pips แล้วกลับตัวลงจนสูญเสียกำไรที่ควรจะได้

วิธีแก้

  1. ตั้ง TP ให้เหมาะสมกับ Momentum
    • ใช้อินดิเคเตอร์เช่น MACD หรือ RSI เพื่อดู Momentum ของตลาด
    • ตั้ง TP ในระดับที่เป็นไปได้ตามแนวโน้มและปริมาณการเคลื่อนไหวจริง
  2. อิงแนวรับ/แนวต้าน (Support/Resistance)
    • วิเคราะห์กราฟและตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป หากคุณเปิดออเดอร์ Buy
    • สำหรับออเดอร์ Sell ให้ตั้ง TP ที่แนวรับสำคัญ เป็นต้น
  3. ปรับ TP ตาม Risk-Reward Ratio (RR)
    • หากตั้ง SL ที่ 20 pips ให้ตั้ง TP อย่างน้อย 40 pips (RR 1:2) เพื่อให้มีโอกาสได้กำไรมากขึ้น

สรุป

SL (Stop Loss) และ TP (Take Profit) ไม่ใช่แค่ตัวช่วยธรรมดา แต่เปรียบเหมือน “เพื่อนสนิท” ที่คอยดูแลและปกป้องพอร์ตของคุณในโลกแห่ง Forex ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง การตั้ง SL จะช่วยให้คุณรอดพ้นจากการขาดทุนที่เกินควบคุม ขณะที่ TP ช่วยล็อกกำไรไว้ก่อนที่ตลาดจะพลิกกลับมาหักล้างทุกอย่าง

การเทรดโดยไม่มี SL/TP ก็เหมือนการขับรถโดยไม่ใส่เข็มขัดนิรภัย คุณอาจรอด…หรือไม่รอดก็ได้ แต่ถ้าคุณมีแผนที่ชัดเจนและตั้ง SL/TP อย่างเหมาะสม คุณจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ในเส้นทางการเทรดอย่างมั่นคงนั่นเอง