ISM services pmi คืออะไร
คือ ดัชนีที่ใช้วัดสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของภาคบริการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผลนั้นเป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อและจัดหาจากกว่า 400 บริษัทในภาคบริการ
ดัชนีประกอบด้วย 10 องค์ประกอบ โดยมี 4 องค์ประกอบหลักที่มีน้ำหนักเท่ากัน ได้แก่:
- กิจกรรมทางธุรกิจ
- ยอดคำสั่งซื้อใหม่
- การจ้างงาน
- การส่งมอบของซัพพลายเออร์
การแปลผล:
- ค่าดัชนีมากกว่า 50 = ภาคบริการกำลังขยายตัว
- ค่าดัชนีต่ำกว่า 50 = ภาคบริการกำลังหดตัว
- จัดทำและเผยแพร่เป็นรายเดือนโดยสถาบัน Institute for Supply Management (ISM)
ความสำคัญ:
- เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญที่นักลงทุนและ Fed ใช้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ
- มีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์และตลาดการเงิน
- ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจนโยบายการเงินของ Fed
ผู้ประกาศและเหตุผลของการประกาศ ISM Services PMI
- ผู้ประกาศ: Institute for Supply Management (ISM) ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพด้านการจัดซื้อจัดหาที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก
เหตุผลของการประกาศ:
- เพื่อให้เห็นภาพรวมสุขภาพเศรษฐกิจของภาคบริการสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของ GDP สหรัฐฯ
- เพื่อเป็นตัวชี้นำทางเศรษฐกิจ (Leading Economic Indicator) ที่ช่วยคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
- เพื่อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจนโยบายการเงิน
- เพื่อให้นักลงทุนและผู้ประกอบการใช้วางแผนการลงทุนและธุรกิจ
- เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริหารในภาคบริการต่อสภาวะเศรษฐกิจ
- เพื่อให้เห็นแนวโน้มการจ้างงาน การใช้จ่าย และการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม
หน้าที่สำคัญของ ISM Services PMI
หน้าที่สำคัญของ ISM Services PMI แบ่งเป็น 3 ด้านหลักดังนี้
1.ด้านเศรษฐกิจมหภาค
- เป็นเครื่องมือวัดสุขภาพเศรษฐกิจ
- สะท้อนภาพรวมของภาคบริการซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของ GDP สหรัฐฯ
- บ่งชี้ทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- แสดงระดับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
- ช่วยกำหนดนโยบายการเงิน
- FED ใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย
- ช่วยประเมินความเสี่ยงเงินเฟ้อ
- สะท้อนประสิทธิผลของนโยบายที่ใช้อยู่
2.ด้านการลงทุนและการเงิน
- เป็นตัวชี้นำตลาดการเงิน
- ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์
- กระทบการตัดสินใจของนักลงทุน
- มีผลต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ
- ช่วยประเมินความเสี่ยง
- บ่งชี้จังหวะการลงทุน
- แสดงแนวโน้มตลาดในอนาคต
- ช่วยจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
3.ด้านธุรกิจและแรงงาน
- สะท้อนภาพรวมตลาดแรงงาน
- แสดงแนวโน้มการจ้างงาน
- บ่งชี้ทิศทางค่าจ้างและเงินเดือน
- สะท้อนความต้องการแรงงานในแต่ละสาขา
- ช่วยวางแผนธุรกิจ
- ประเมินจังหวะการลงทุนและขยายกิจการ
- ติดตามแนวโน้มคำสั่งซื้อและความต้องการตลาด
- คาดการณ์ทิศทางต้นทุนและราคา
ปฏิทินเกี่ยวกับ ISM Services PMI ที่นักลงทุนควรรู้
ISM Services PMI ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ การประกาศตัวเลขในทุกวันทำการและมักสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินทั่วโลก
นักลงทุนจำเป็นต้องรู้จักตารางเวลาและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพราะตัวเลขนี้ไม่เพียงส่งผลต่อค่าเงิน แต่ยังกระทบถึงตลาดหุ้น พันธบัตร และสินทรัพย์อื่น เรามาทำความเข้าใจปฏิทินและช่วงเวลาสำคัญของ ISM Services PMI ที่นักลงทุนควรจับตา เพื่อให้สามารถวางแผนและบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพกัน ดังนี้ค่ะ
- กำหนดการ: วันทำการที่ 3 ของทุกเดือน เวลา 22:00 น. (เวลาไทย)
- หากตรงกับวันหยุด จะเลื่อนเป็นวันทำการถัดไป
- มักประกาศหลัง ISM Manufacturing PMI 2 วัน
- ความถี่: เดือนละ 1 ครั้ง
- ระยะเวลารายงาน: ข้อมูลของเดือนก่อนหน้า
ช่วงเวลาสำคัญที่เกี่ยวข้อง:
- 21:45 น. – ตลาดเริ่มระมัดระวังการเทรด
- 22:00 น. – ประกาศตัวเลข ISM Services PMI
- 22:00-23:00 น. – ช่วงความผันผวนสูง
- 23:00-24:00 น. – ตลาดเริ่มปรับตัวเข้าสู่สมดุล
ตัวเลขสำคัญที่ประกาศพร้อมกัน:
- ดัชนีราคาภาคบริการ (Prices Index)
- ดัชนีการจ้างงาน (Employment Index)
- ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders Index)
- ดัชนีการส่งมอบสินค้า (Supplier Deliveries)
- ดัชนีสินค้าคงคลัง (Inventories)
การเตรียมตัวก่อนประกาศ:
- 2-3 วันก่อนประกาศ: ติดตามตัวเลขคาดการณ์
- 1 วันก่อนประกาศ: ดูทิศทางตลาดและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
- วันประกาศ: เตรียมพร้อมรับความผันผวน
ข้อควรระวัง:
- ช่วงต้นปีและปลายปีอาจมีความผันผวนสูงเป็นพิเศษ
- เดือนที่มีวันหยุดยาวอาจมีการเลื่อนประกาศ
- ควรตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจล่วงหน้าเสมอ
ทำความเข้าใจตัวเลขของ ISM Services PMI
1.ค่าพื้นฐานที่ต้องรู้
- จุดแบ่งที่สำคัญคือ 50
- มากกว่า 50 = เศรษฐกิจขยายตัว
- เท่ากับ 50 = เศรษฐกิจทรงตัว
- น้อยกว่า 50 = เศรษฐกิจหดตัว
2.การอ่านความแรงของตัวเลข
- ยิ่งห่างจาก 50 มากเท่าไร ยิ่งมีนัยสำคัญมากเท่านั้น
- 55-60 = ขยายตัวแข็งแกร่ง
- 50-55 = ขยายตัวปานกลาง
- 45-50 = หดตัวเล็กน้อย
- 40-45 = หดตัวรุนแรง
- ต่ำกว่า 40 = หดตัวรุนแรงมาก
3.การเปรียบเทียบตัวเลข
- เทียบกับเดือนก่อน
- เพิ่มขึ้น = แนวโน้มดีขึ้น
- ลดลง = แนวโน้มแย่ลง
- เทียบกับที่คาดการณ์
- สูงกว่าคาด = เซอร์ไพรส์บวก +
- ต่ำกว่าคาด = เซอร์ไพรส์ลบ –
4.ผลกระทบต่อตลาดการเงิน
- ตัวเลขแข็งแกร่ง (>55)
- ดอลลาร์สหรัฐมักแข็งค่า
- ตลาดหุ้นมีแนวโน้มบวก
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น
- ตัวเลขอ่อนแอ (<45)
- ดอลลาร์สหรัฐมักอ่อนค่า
- ตลาดหุ้นมีแนวโน้มลบ
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
5.ข้อควรระวังในการอ่านตัวเลข
- ดูแนวโน้มระยะยาว ไม่ควรดูแค่ตัวเลขเดือนเดียว
- พิจารณาร่วมกับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ
- ระวังผลกระทบจากปัจจัยฤดูกาลหรือเหตุการณ์พิเศษ
ตัวเลข ISM Services PMI จึงเป็นเหมือนเครื่องวัดอุณหภูมิเศรษฐกิจที่ละเอียดและแม่นยำ ช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ISM Services PMI
1.ปัจจัยภายในประเทศสหรัฐฯ
นโยบายการเงิน
- เมื่อ FED ปรับดอกเบี้ยขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมจะสูงขึ้น ทำให้การใช้จ่ายในภาคบริการชะลอตัว
- การเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย 0.25% เป็นจุดสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เพราะกระทบต้นทุนการกู้ยืม
- ยิ่งมีเงินในระบบมาก ยิ่งกระตุ้นการใช้จ่ายในภาคบริการ ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้น
ตลาดแรงงาน
- เมื่อคนว่างงานน้อยกว่า 4% แสดงว่าคนมีงานทำเยอะ มีรายได้ประจำ ส่งผลดีต่อการใช้จ่ายภาคบริการ
- การจ้างงานใหม่ที่เพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง/เดือน บ่งชี้ว่าธุรกิจกำลังเติบโต มีความต้องการแรงงานสูง
- เมื่อค่าแรงสูงขึ้น คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ส่งผลให้ใช้จ่ายในภาคบริการเพิ่มขึ้น
2.ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค
อัตราเงินเฟ้อ
- ถ้า Core PCE สูงเกิน 2% FED มักจะเข้มงวดนโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้การใช้จ่ายชะลอตัว
- เมื่อ CPI สูงกว่าคาด ค่าครองชีพจะแพงขึ้น ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
- เงินเฟ้อสูงทำให้ต้นทุนการให้บริการเพิ่ม ธุรกิจอาจต้องขึ้นราคา ส่งผลให้ยอดใช้บริการลดลง
GDP
- การเติบโตของ GDP เกิน 2% สะท้อนว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ
- หาก GDP ติดลบ 2 ไตรมาสติดกัน แสดงว่าเศรษฐกิจถดถอย การใช้จ่ายภาคบริการจะชะลอตัวมาก
- ภาคบริการคิดเป็น 65-70% ของ GDP จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของเศรษฐกิจโดยรวม
3.ปัจจัยภายนอกประเทศ
เศรษฐกิจโลก
- การค้าระหว่างประเทศที่คึกคักช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออกบริการ เช่น ท่องเที่ยว ขนส่ง
- ถ้าประเทศคู่ค้าประสบปัญหาเศรษฐกิจ จะกระทบการส่งออกบริการของสหรัฐฯ
- ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงเพิ่มต้นทุนการขนส่ง ส่งผลให้ต้นทุนภาคบริการสูงขึ้น
ภูมิรัฐศาสตร์
- สงครามการค้าสร้างความไม่แน่นอน ธุรกิจชะลอการลงทุนและขยายกิจการ
- ความขัดแย้งระหว่างประเทศทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ส่งผลต่อต้นทุนและการให้บริการ
- นโยบายการค้าที่เข้มงวดอาจจำกัดโอกาสในการส่งออกบริการ
4.ปัจจัยตามฤดูกาล
- ไตรมาส 4 เป็นช่วงช้อปปิ้งเทศกาล ทำให้การใช้จ่ายภาคบริการพุ่งสูง
- วันหยุดยาวกระตุ้นการท่องเที่ยวและใช้บริการต่างๆ
- ฤดูร้อนมักมีกิจกรรมกลางแจ้ง การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
5.ปัจจัยพิเศษ
- โรคระบาดอย่าง COVID-19 ทำให้ธุรกิจบริการหลายแห่งต้องปิดตัว กระทบดัชนีอย่างรุนแรง
- ภัยพิบัติทำให้การให้บริการในพื้นที่หยุดชะงัก ต้องใช้เวลาฟื้นฟู
- เทคโนโลยีใหม่ๆ เปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ เช่น การให้บริการออนไลน์แทนออฟไลน์
การติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้เข้าใจทิศทาง ISM Services PMI ได้ดีขึ้น เพราะทุกปัจจัยเชื่อมโยงกันและส่งผลต่อภาคบริการทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้นเองค่ะ
ISM Services PMI ส่งผลต่อตลาดการเงินอย่างไร
ISM Services PMI ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่เป็นเหมือนเข็มทิศสำคัญที่ชี้นำทิศทางตลาดการเงินโลก ในฐานะดัชนีที่สะท้อนสุขภาพของภาคบริการสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของ GDP กล่าวคือ เมื่อตัวเลขนี้ถูกประกาศออกมา ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดเงิน หรือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ต่างต้องจับตาและปรับตัวตามทิศทางของดัชนีนี้
ยิ่งในยุคที่ตลาดการเงินเชื่อมโยงกันทั่วโลก ISM Services PMI จึงไม่ได้ส่งผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังสร้างคลื่นกระเพื่อมไปถึงการลงทุนในทุกมุมโลก มาทำความเข้าใจกันว่าดัชนีนี้ส่งผลต่อตลาดการเงินในแต่ละด้านต่างๆ ดังนี้
1.ผลต่อตลาดหุ้น
เมื่อดัชนีสูงกว่า 50
- ดัชนี S&P500 มักปรับตัวขึ้น เพราะแสดงถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
- หุ้นกลุ่มบริการมักมี Upside 3-5% ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังประกาศตัวเลข
- กลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยวมักได้ประโยชน์มากที่สุด
เมื่อดัชนีต่ำกว่า 50
- ตลาดหุ้นมักปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริการ
- นักลงทุนอาจย้ายเงินไปยังหุ้นกลุ่ม Defensive
- อาจเห็นแรงขายในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม
2.ผลต่อค่าเงินดอลลาร์
ดัชนีแข็งแกร่ง (>55)
- ดอลลาร์มักแข็งค่าขึ้น 0.3-0.5% ในวันประกาศผล
- EUR/USD มักปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญ
- เงินสกุลในภูมิภาคเอเชียมักอ่อนค่าลง
ดัชนีอ่อนแอ (<45)
- ดอลลาร์มักอ่อนค่าลง
- สกุลเงินปลอดภัย เช่น เยน และฟรังก์สวิส มักแข็งค่าขึ้น
- ทองคำมักปรับตัวขึ้นเพราะดอลลาร์อ่อนค่า
3.ผลต่อตลาดพันธบัตร
ดัชนีสูงกว่าคาด
- Yield พันธบัตรมักปรับตัวขึ้น
- ตลาดคาดการณ์ว่า FED อาจคงดอกเบี้ยสูงนานขึ้น
- ราคาพันธบัตรมักปรับตัวลง
ดัชนีต่ำกว่าคาด
- Yield พันธบัตรมักปรับตัวลง
- เกิดแรงซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็น Safe Haven
- ตลาดเริ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ FED
4.ผลต่อสินค้าโภคภัณฑ์
ดัชนีแข็งแกร่ง
- ราคาน้ำมันมักปรับตัวขึ้นเพราะคาดการณ์ความต้องการสูงขึ้น
- โลหะอุตสาหกรรมได้แรงหนุน
- สินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการบริโภคมักปรับตัวขึ้น
ดัชนีอ่อนแอ
- ราคาน้ำมันมักปรับตัวลงจากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว
- ทองคำอาจได้ประโยชน์จากการเป็น Safe Haven
- สินค้าโภคภัณฑ์มักเผชิญแรงขาย
5.ผลต่อการลงทุนทั่วโลก
ผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่
- ดัชนีแข็งแกร่งอาจทำให้เงินไหลออกจาก EM
- ตลาดหุ้นเอเชียมักได้รับผลกระทบมากที่สุด
- อาจเห็นความผันผวนในตลาดพันธบัตร EM
ผลต่อการลงทุนข้ามประเทศ
- กระทบการตัดสินใจ Global Asset Allocation
- อาจเห็นการปรับพอร์ตการลงทุนในระดับโลก
- กระทบ Risk Premium ของสินทรัพย์เสี่ยง
มาดูกันว่า ISM Services PMI ส่งผลต่อตลาด Forex อย่างไรบ้าง
ผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ:
เมื่อดัชนีสูงกว่า 50 (ขยายตัว)
- ดอลลาร์สหรัฐมักแข็งค่าขึ้น 0.3-0.5% ในวันประกาศผล
- EUR/USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
- USD/JPY มักปรับตัวขึ้น เพราะเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย
เมื่อดัชนีต่ำกว่า 50 (หดตัว)
- ดอลลาร์สหรัฐมักอ่อนค่าลง
- สกุลเงินปลอดภัยอย่าง JPY และ CHF แข็งค่าขึ้น
- เงินสกุลหลักอื่นๆ เช่น EUR, GBP มีโอกาสแข็งค่าขึ้นเทียบดอลลาร์
ผลต่อคู่เงินหลัก: EUR/USD
- ดัชนี > 55: มักเห็นการอ่อนค่าของยูโร 0.2-0.4%
- ดัชนี < 45: ยูโรมีโอกาสแข็งค่าขึ้น
- ความผันผวนมักเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 ชั่วโมงหลังประกาศ
ผลต่อคู่เงินหลัก: GBP/USD
- ปรับตัวในทิศทางคล้าย EUR/USD แต่มักผันผวนมากกว่า
- ความอ่อนไหวต่อตัวเลขสูงกว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาซื้อขายที่ตรงกัน
- มักเห็นการเคลื่อนไหว 0.3-0.6% ในวันประกาศ
ผลต่อคู่เงินหลัก: USD/JPY
- ดัชนีแข็งแกร่ง: เงินเยนมักอ่อนค่า เพราะลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
- ดัชนีอ่อนแอ: เงินเยนแข็งค่าจากการเป็น Safe Haven
- มักเห็นการเคลื่อนไหวชัดเจนใน 30 นาทีแรกหลังประกาศ
เงินสกุลในตลาดเกิดใหม่
- มักได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของดัชนี
- ดัชนีแข็งแกร่งอาจทำให้เงินไหลออก ทำให้ค่าเงินอ่อนลง
- ความผันผวนสูงกว่าเงินสกุลหลัก 2-3 เท่า
เงินสกุลสินค้าโภคภัณฑ์ (AUD, CAD, NZD)
- ดัชนีดี: มักได้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ
- ดัชนีแย่: มักปรับตัวลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์
- AUD/USD และ NZD/USD มักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน
คำแนะนำสำหรับนักเทรด Forex:
- ควรติดตามตัวเลขคาดการณ์ก่อนประกาศผล
- เตรียมพร้อมรับความผันผวนในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรก
- ดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น นโยบาย FED หรือข่าวสำคัญอื่นๆ
- อาจใช้ Stop Loss ที่กว้างขึ้นในวันประกาศตัวเลข
- ระวังการเทรดในช่วงก่อนประกาศ 30 นาที เพราะสภาพคล่องอาจต่ำ
ตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูล ISM Services PMI
ข้อมูลวิเคราะห์กราฟ ISM Services PMI ล่าสุด (ธันวาคม 2024)
- ตัวเลข PMI เดือนล่าสุดอยู่ที่ 52.1 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 55.5 และลดลงจากเดือนก่อนที่ 56.0
- แม้ว่าจะต่ำกว่าคาด แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50
- ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการยังคงขยายตัว เพียงแต่อัตราการขยายตัวชะลอลง
การวิเคราะห์แนวโน้มย้อนหลัง 6 เดือน
- กรกฎาคม 2024: PMI = 48.8 (หดตัวครั้งแรกในรอบหลายเดือน)
- สิงหาคม 2024: PMI = 51.4 (ฟื้นตัวกลับมาขยายตัว)
- กันยายน 2024: PMI = 54.9 (ขยายตัวต่อเนื่องและแข็งแกร่งขึ้น)
- ตุลาคม 2024: PMI = 56.0 (จุดสูงสุดในรอบ 6 เดือน)
- พฤศจิกายน 2024: PMI = 52.1 (ชะลอตัวลงแต่ยังขยายตัว)
“จะเห็นว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา PMI มีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยมีจุดต่ำสุดที่ 48.8 ในเดือนกรกฎาคม และจุดสูงสุดที่ 56.0 ในเดือนตุลาคม”
การวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว (2017-2024)
- ช่วงก่อน COVID-19 (2017-2019):
- PMI เคลื่อนไหวในกรอบ 55-60 แสดงถึงการขยายตัวที่แข็งแกร่ง
- มีความผันผวนน้อย สะท้อนเสถียรภาพของภาคบริการ
- ช่วง COVID-19 (2020): จุดต่ำสุดประวัติศาสตร์
- สาเหตุจาก COVID-19 Lockdown
- PMI ดิ่งลงแรงสู่ระดับ 42 ในเดือนเมษายน 2020
- 0 (เมษายน 2020)
- ผลกระทบรุนแรงต่อภาคบริการทั่วประเทศ
- ช่วงฟื้นตัว (2021-2022):
- แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- PMI พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ประมาณ 69 ในช่วงต้นปี 2022
- สะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคบริการ
- แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ
- ช่วงปัจจุบัน (2023-2024):
- PMI กลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ 50-60
- แสดงถึง การกลับสู่ภาวะปกติของภาคบริการ
- แต่มีความผันผวนมากขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินที่เข้มงวด
ผลกระทบต่อการเทรด Forex
- ผลต่อค่าเงินดอลลาร์:
- PMI ต่ำกว่าคาด มักส่งผลลบต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะสั้น
- หากต่ำกว่า 50 อาจกดดันดอลลาร์รุนแรง
- PMI ที่แข็งแกร่งมักหนุนดอลลาร์
- PMI < 50: มักกดดัน USD
- PMI > 55: มักหนุน USD
- ข้อมูลความสัมพันธ์จาก Investing.com
- ความสัมพันธ์กับนโยบาย Fed:
- PMI เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ Fed ใช้ประกอบการตัดสินใจ
- PMI อ่อนแอต่อเนื่องอาจนำไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงิน
- PMI แข็งแกร่งอาจทำให้ Fed คงนโยบายเข้มงวด
- PMI อ่อนแอ → โอกาสลดดอกเบี้ยสูงขึ้น
- PMI แข็งแกร่ง → Fed อาจคงนโยบายเข้มงวด
- ข้อมูลนโยบาย Fed
บทสรุป: ISM Services PMI เข็มทิศสำคัญของตลาดการเงินโลก
ISM Services PMI เป็นมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ เพราะสะท้อนสุขภาพของภาคบริการสหรัฐฯ ที่คิดเป็น 2 ใน 3 ของ GDP โดยประกาศทุกวันที่ 3 ของเดือน เวลา 22:00 น. (ไทย) และส่งผลต่อตลาดการเงินในวงกว้าง
- ตลาดหุ้น – มักผันผวนทันทีหลังประกาศ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริการ
- ค่าเงิน – ดอลลาร์สหรัฐอาจแกว่งตัว 0.3-0.5% ภายในชั่วโมงแรก
- พันธบัตร – อัตราผลตอบแทนปรับตัวตามความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ
- ตัวเลขเหนือ 50 หมายถึง เศรษฐกิจขยายตัว
- ตัวเลขต่ำกว่า 50 หมายถึง เศรษฐกิจหดตัว
ดัชนีนี้ส่งผลสำคัญต่อ:
- ค่าเงินดอลลาร์และ Forex
- ทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตร
- การเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ
- การตัดสินใจนโยบายของ FED
สำหรับนักลงทุน การติดตาม ISM Services PMI ไม่เพียงช่วยประเมินทิศทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นโอกาสในการทำกำไร หากเข้าใจผลกระทบและเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของตลาด การบริหารความเสี่ยงและการวางแผนการลงทุนที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญในช่วงประกาศตัวเลขนี้
ดัชนี ISM Services PMI จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกต้องติดตามและเข้าใจ เพื่อโอกาสในการทำกำไรและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในตลาดการเงินระยะยาวอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Bureau of Economic Analysis. (2024). Gross Domestic Product by Industry. Retrieved from https://www.bea.gov/data/gdp/gdp-services
- Federal Reserve Economic Data. (2024). ISM Services PMI [NMFCI]. Retrieved from https://fred.stlouisfed.org/series/NMFCI
- Institute for Supply Management. (2024). ISM Report On Business®. Retrieved from https://www.ismworld.org/supply-management-news-and-reports/reports/ism-report-on-business/
- Investing.com. (2024). U.S. ISM Non-Manufacturing PMI. Retrieved from https://www.investing.com/economic-calendar/ism-non-manufacturing-pmi-176