ในโลกของการเทรดที่เต็มไปด้วยความผันผวนและกราฟที่ดูเหมือนเขาวงกต Moving Averages (MA) คือหนึ่งในเครื่องมือสุดคลาสสิกที่ช่วยให้นักเทรดทุกระดับมองเห็น “เทรนด์” ได้ชัดเจนขึ้น เหมือนเป็นแว่นขยายที่ช่วยให้คุณมองเห็นความเคลื่อนไหวของตลาดในมุมที่เฉียบคม

แล้วถ้าเราไม่ได้ใช้แค่ Moving Average เส้นเดียวล่ะ? แต่ลองเพิ่มเป็น สามเส้น ดูสิ! Three Moving Averages Indicator จะเปลี่ยนจากเครื่องมือธรรมดาให้กลายเป็นตัวช่วยสุดอัจฉริยะที่ช่วย “กรอง” สัญญาณตลาดได้อย่างแม่นยำได้เลยทีเดียวครับ ดังนั้นไปดูกันว่าเจ้า TMA นั้นดีอย่างไรและใช้งานแบบไหน

Three Moving Averages คืออะไร?

รูปที่ 1 รูปภาพตัวอย่าง Three Moving Averages หรือ Moving Averages สามเส้นร่วมกัน บนแพลตฟอร์ม Tradingview

  • Three Moving Averages คือการใช้เครื่องมือ Moving Averages สามเส้นร่วมกันบนกราฟ เพื่อช่วยให้นักเทรดวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น 
  • โดยเส้นแต่ละเส้นมักถูกตั้งค่าต่างกัน เช่น ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยกรองสัญญาณการซื้อขาย ลด Noise และชี้ให้เห็นจุดเข้า-ออกเทรดที่เหมาะสม
  • ลองนึกภาพการทำงานของ Three Moving Averages เหมือนกับการใช้สามเลนส์กล้องที่ปรับโฟกัสต่างกัน คุณจะได้ภาพรวมที่คมชัดของตลาดมากกว่าการใช้เลนส์เดียว

ความแตกต่างระหว่าง Simple, Exponential และ Weighted Moving Averages

อันที่จริงแล้ว Moving Averages นั้นยังแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก แต่ละแบบมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และส่งผลต่อการใช้งาน TMA ดังนี้

  • Simple Moving Average (SMA)
    คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาย้อนหลังในช่วงเวลาที่กำหนด เหมาะสำหรับการดูแนวโน้มใหญ่ในตลาด

    • ข้อดี: ใช้ง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่
    • ข้อเสีย: ตอบสนองช้าต่อการเปลี่ยนแปลงราคาที่รวดเร็ว
  • Exponential Moving Average (EMA)
    ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่า SMA ทำให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ไวกว่า SMA

    • ข้อดี: เหมาะสำหรับตลาดที่มีความผันผวน
    • ข้อเสีย: อาจเกิดสัญญาณหลอกในตลาด Sideway
  • Weighted Moving Average (WMA)
    ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดในลักษณะเชิงเส้น ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการจับจุดเปลี่ยนแปลง

    • ข้อดี: แม่นยำสูง ลด Noise ได้ดี
    • ข้อเสีย: คำนวณซับซ้อนกว่า SMA และ EMA
  • เกี่ยวข้องกับ TMA อย่างไร?
    Three Moving Averages สามารถใช้ผสมระหว่าง SMA, EMA และ WMA เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการตอบสนองของสัญญาณได้อย่างลงตัว…เหมือนเบอร์ดี้ 3 in 1

Three Moving Averages ควรใช้ Moving Averages ประเภทไหนดี?

การเลือกประเภทของ Moving Averages ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและลักษณะตลาดที่คุณเทรด

  • หากคุณต้องการจับเทรนด์ระยะยาวในตลาดที่ค่อนข้างนิ่ง SMA อาจเหมาะสมที่สุด
  • หากคุณต้องการจับจังหวะการเข้าออกในตลาดที่มีความผันผวน EMA จะช่วยให้คุณตอบสนองได้ไว
  • หากคุณต้องการความแม่นยำสูงและลด Noise ในการวิเคราะห์ WMA คือตัวเลือกที่ควรพิจารณา
  • หากคุณต้องการคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา…งั้นทดลองใช้ 3 ชนิดไปเลยดีไหมล่ะครับ

คำแนะนำ

  • ใช้ SMA สำหรับระยะยาว (เช่น 200 วัน)
  • ใช้ EMA สำหรับระยะกลาง (เช่น 50 วัน)
  • ใช้ EMA หรือ WMA สำหรับระยะสั้น (เช่น 10 วัน)

Three Moving Averages คือการผสมผสานที่ลงตัวของความช้า ความเร็ว และความแม่นยำ ทำให้นักเทรดได้เปรียบในการวิเคราะห์ตลาดอย่างรอบด้านนั่นเองครับ

ทำไมต้องสามเส้น?

เหตุผลที่การใช้ Moving Averages สามเส้นช่วยเพิ่มความแม่นยำ

การใช้ Moving Averages เพียงเส้นเดียวอาจช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาด แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น สัญญาณหลอก หรือการไม่สามารถบอกจุดเข้า-ออกเทรดได้ชัดเจน การเพิ่มเส้นค่าเฉลี่ยเป็น สามเส้น ทำให้คุณสามารถกรองสัญญาณได้ดีขึ้น เพราะ:

  • เส้นระยะสั้น (Short-Term): แสดงการเคลื่อนไหวของราคาในปัจจุบัน
  • เส้นระยะกลาง (Mid-Term): บ่งบอกแนวโน้มของตลาดในช่วงกลาง
  • เส้นระยะยาว (Long-Term): แสดงภาพรวมใหญ่ของตลาด

เมื่อทั้งสามเส้นทำงานร่วมกัน คุณจะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าตลาดกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน และช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดได้มากยิ่งขึ้น

วิธีการใช้งาน Three Moving Averages ในการเทรด ด้วยเทคนิค Cross Over

รูปที่ 2 วิธีการใช้งาน Three Moving Averages ในการเทรด ด้วยเทคนิค Cross Over ในเปิดออเดอร์ Buy

การใช้งาน Three Moving Averages ด้วยเทคนิค Cross Over คือการดูการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเพื่อบอกจุดเข้า-ออกในการเทรด โดยจะเพิ่มความแม่นยำมากขึ้นด้วยการกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio หรือ RR) เท่ากับ 1:2 เพื่อช่วยให้คุณรักษาผลกำไรได้แม้ขาดทุนในบางออเดอร์

  1. ตั้งค่าเส้น Moving Averages ในคู่เงิน XAUUSD
  • กำหนด Moving Averages ดังนี้:
    • เส้นระยะสั้น (Short-Term): EMA 10
    • เส้นระยะกลาง (Mid-Term): EMA 50
    • เส้นระยะยาว (Long-Term): EMA 200
  1. เทคนิค Cross Over: จุดเข้าเทรด (Entry Point)

เมื่อเส้นระยะสั้น EMA 10 ตัดขึ้นผ่านเส้นระยะกลาง EMA 50 และอยู่เหนือเส้นระยะยาว EMA 200 นั่นคือ สัญญาณซื้อ (Buy Signal)

  • ตัวอย่างการเข้าเทรด Buy
    • ราคาอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น (Bullish Trend)
    • รอให้เส้น EMA 10 ตัด EMA 50 และ EMA 200 ขึ้น
    • วางคำสั่งซื้อเมื่อราคาปิดแท่งเทียนเหนือจุดตัดหรือบริเวณใกล้เคียง
  1. เทคนิค Cross Over: จุดออกเทรด (Exit Point)
  • ตั้ง Stop Loss ที่ Swing Low ล่าสุด หรือ ตำแหน่งที่เหมาะสม
  • ตั้ง Take Profit ให้เป็น 2 เท่าของ Stop Loss (ตาม RR 1:2)
  • ตัวอย่าง:
    • หาก Stop Loss อยู่ที่ 50 จุด (pips)
    • Take Profit ควรตั้งที่ 100 จุด (pips)
  1. เคล็ดลับการตั้งค่า RR 1:2 ให้ได้ผล
  • ใช้กรอบเวลา (Time Frame) ที่เหมาะสม:
    • Day Trading: ใช้ Time Frame 15 นาที – 1 ชั่วโมง
    • Swing Trading: ใช้ Time Frame 4 ชั่วโมง – 1 วัน
  • หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดในช่วงตลาด Sideway เพราะสัญญาณอาจผิดพลาด
  • ใช้อินดี้อื่นๆ (เช่น RSI, MACD) ร่วมกับ Three Moving Averages เพื่อยืนยันเทรนด์

สรุป

เมื่อพูดถึงการเทรดให้ได้กำไรอย่างยั่งยืน Three Moving Averages Indicator ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทั้งทรงพลังและใช้งานง่าย ช่วยให้นักเทรดมองเห็นแนวโน้มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมจุดเข้า-ออกที่แม่นยำ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์มือโปร การนำเทคนิคนี้ไปใช้สามารถช่วยยกระดับการเทรดของคุณให้มั่นใจมากขึ้น

ดังนั้นลองนำ Three Moving Averages ไปปรับใช้ในกลยุทธ์ของคุณในวันนี้ดูเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบกับบัญชีเดโม่ หรือเริ่มต้นกับตลาดจริง เพราะบางครั้ง “ไม้เด็ด” เล็กๆ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพอร์ตการลงทุนคุณก็ได้

แหล่งอ้างอิง

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon