สำหรับใครที่อยาะจะเทรดทอง CFD ผ่านทางโบรกเกอร์ Forex จำเป็นมากที่จะต้องมีความรู้ กับบทความที่รวบรวมทุกเรื่องสำคัญเป็นคู่มือที่จะทำให้คุณเข้าในในการเทรดทองมากขึ้น ทุกคำตอบได้บอกเอาไว้แล้วว่าทำไมนักลงทุนถึงหันมานิยมการเทรดทองคำมากขึ้น

CFD คืออะไร และทำไมถึงได้รับความนิยมในการเทรดทองคำ

  • CFD (Contract for Difference) คือสัญญาทางการเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
  • ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ 
    • ทองคำ
    • หุ้น
    • ดัชนี
  • ไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์จริง

หลักการทำงานของ CFD

  • นักลงทุนสามารถเปิดคำสั่งซื้อ (Long) หากคาดว่าราคาจะขึ้น
  • เปิดคำสั่งขาย (Short) หากคาดว่าราคาจะลง
  • ทำกำไรจากส่วนต่างของราคาสินทรัพย์

ข้อดีของการเทรดทองคำผ่าน CFD

  • ไม่จำเป็นต้องซื้อทองคำจริง
  • สามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ
  • ดำเนินการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มการเทรดของโบรกเกอร์ Forex
  • ไม่มีความยุ่งยากในการจัดเก็บหรือถือครองสินทรัพย์จริง
  • ทำให้การลงทุนในทองคำง่ายและสะดวกมากขึ้น

ทำไม CFD ถึงได้รับความนิยมในการเทรดทองคำ

ไม่ต้องถือทองคำจริง

  • ไม่ต้องซื้อหรือเก็บรักษาทองคำจริง
  • สามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำได้อย่างสะดวก
  • ลดความยุ่งยากจากปัญหาเกี่ยวกับการเก็บรักษาทองคำจริง เช่น
    • ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
    • ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง

สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง

  • ขาขึ้น (Long) เมื่อคาดว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น
  • ขาลง (Short) เมื่อคาดว่าราคาทองคำจะลดลง
  • เพิ่มโอกาสในการทำกำไรในทุกสถานการณ์ของตลาด

ใช้เลเวอเรจ

  • ช่วยให้ควบคุมตำแหน่งการลงทุนที่มีมูลค่าสูงขึ้นโดยใช้เงินทุนน้อยกว่า
  • เพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
  • ข้อควรระวังคือ 
    • เลเวอเรจสามารถเพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวไม่ตรงตามการคาดการณ์ อาจเกิดการขาดทุนที่สูงกว่าทุนเริ่มต้น

การเข้าถึงตลาดทองคำได้ง่ายและสะดวก

  • สามารถเข้าถึงตลาดทองคำได้จากทุกที่ทุกเวลา
  • ใช้งานผ่านแพลตฟอร์มการเทรดของโบรกเกอร์ Forex เช่น

สภาพคล่องสูงและตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมง

  • ตลาดทองคำมีสภาพคล่องสูง
  • เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
  • นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้ทุกช่วงเวลาของวัน ไม่จำกัดสถานที่

ไม่มีค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียมสูง

  • โบรกเกอร์หลายรายมีค่าคอมมิชชันต่ำหรือไม่มีค่าคอมมิชชัน
  • ช่วยให้การเทรดมีความคุ้มค่ามากขึ้น

รูปที่ 1: แสดงถึงความนิยมของการเทรดทองคำ CFD ซึ่งมีข้อดี ความสะดวกในการทำกำไรมากมาย

ขั้นตอนการเลือกโบรกเกอร์ Forex สำหรับการเทรดทองคำ

เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแล

  1. ควรตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานทางการเงินที่มีชื่อเสียง
  2. หน่วยงานที่ควรพิจารณา ได้แก่
    1. FCA (Financial Conduct Authority) จากสหราชอาณาจักร
    2. CySEC (Cyprus Securities and Exchange Commission) จากไซปรัส
  3. ข้อดีของการเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแล:
    • ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าโบรกเกอร์ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด
    • มีความโปร่งใสในการดำเนินงาน
    • ลดความเสี่ยงจากการเจอโบรกเกอร์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ
    • มีกลไกการคุ้มครองเงินลงทุนของลูกค้า
    • การตรวจสอบข้อร้องเรียนหรือข้อพิพาทที่มีมาตรฐาน

รูปที่ 2: แสดงถึงขั้นตอนในการเลือกโบรกเกอร์ FOREX ที่ต้องพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ครอบคลุม

การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทองคำ (Gold Trading Options)

  • ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีผลิตภัณฑ์ทองคำให้เทรดอย่างหลากหลาย เพื่อรองรับกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่าง

ตัวเลือกที่ควรมี

  • XAU/USD 
    • การเทรดทองคำเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (Gold Spot)
  • ทองคำแบบ CFD (Contract for Difference)
    • ซื้อขายส่วนต่างราคาทองคำโดยไม่ต้องถือทองคำจริง
    • สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง
  • ตัวเลือกอื่น ๆ ที่อาจมี
    • Gold Futures
    • Gold ETFs (Exchange Traded Funds)
    • Gold Options

ข้อควรพิจารณา

  • ตรวจสอบสภาพคล่องและเงื่อนไขการซื้อขายของแต่ละผลิตภัณฑ์
  • ดูสเปรดและค่าธรรมเนียมสำหรับการเทรดทองคำ
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงในการลงทุน

ค่าสเปรด (Spreads) และ คอมมิชชั่น (Commission)

  • เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนจากการเทรด
  • ควรพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ที่มีเงื่อนไขเหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ

ค่าสเปรด (Spreads)

  • หมายถึงส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask)
  • โบรกเกอร์ที่มี สเปรดแคบ (ต่ำ) จะช่วยลดต้นทุนในการเทรด
  • เหมาะสำหรับนักเทรดที่เน้นทำกำไรระยะสั้น เช่น Scalping

 คอมมิชชั่น (Commission) เรียกว่า ค่าน้ำ 

  • ค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากการเปิดหรือปิดคำสั่งเทรด
  • ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าน้ำต่ำหรือไม่มีค่าน้ำเลย เพื่อเพิ่มความคุ้มค่า

ข้อควรพิจารณา

  • เปรียบเทียบสเปรดและค่าน้ำระหว่างโบรกเกอร์หลายราย
  • ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์คิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหรือไม่
  • เลือกเงื่อนไขที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ เช่น
    • หากเป็นนักลงทุนระยะยาว ค่าน้ำอาจสำคัญน้อยกว่าสเปรด
    • หากเป็นนักลงทุนระยะสั้น ค่าสเปรดต่ำมีความสำคัญมาก

ความสะดวกในการฝาก-ถอนเงิน (Deposit and Withdrawal Options)

 วิธีการฝาก-ถอนที่ควรมี

  • บัตรเครดิต/เดบิต
    • รองรับการฝาก-ถอนผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิตที่มีความสะดวกและรวดเร็ว
  • การโอนเงินผ่านธนาคารออนไลน์
    • รองรับการโอนเงินผ่านธนาคารออนไลน์ที่ปลอดภัยและสามารถดำเนินการได้ทันที

ข้อควรพิจารณา

  • ความปลอดภัย
    • ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรม เช่น การเข้ารหัสข้อมูล (SSL Encryption)
  • ค่าธรรมเนียม
    • เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำในการฝาก-ถอน เพื่อให้คุณไม่เสียค่าใช้จ่ายสูง
  • ระยะเวลาในการดำเนินการ
    • โบรกเกอร์ควรทำการฝาก-ถอนอย่างรวดเร็ว เช่น การโอนเงินที่เสร็จสิ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง
  • ตัวเลือกการถอน
    • รองรับหลายช่องทางการถอน เช่น การโอนเงินกลับไปยังบัตรเครดิต/เดบิตหรือบัญชีธนาคาร

รูปที่ 3: แสดงถึงการจัดอันดับโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดของ Thaibrokerforex.com ที่คุณเองก็เลือกอ่านได้ พร้อมข้อมูลแบบแน่น ๆ 

อ่านต่อได้ที่นี่: เลือก 10 โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด 

แพลตฟอร์มการเทรด (Trading Platform)

  • ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานง่ายและรองรับเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ครบครัน (ทุกอย่างต้องมีครบ ไม่ขาดไป ที่สำคัญใช้งานง่าย โบรกอื่น ๆ ทำได้ของเราที่ใช้ก็ต้องมี) 

คุณสมบัติที่ควรมีในแพลตฟอร์มการเทรด

  • ใช้งานง่าย
    • แพลตฟอร์มควรมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน
  • รองรับเครื่องมือการวิเคราะห์
    • ควรมีเครื่องมือการวิเคราะห์ที่หลากหลาย เช่น
      • กราฟราคา
      • อินดิเคเตอร์ (Indicators)
      • เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis Tools)
  • การเทรดทองคำ
    • รองรับการเทรดทองคำทั้งในรูปแบบ XAU/USD และทองคำแบบ CFD
  • แพลตฟอร์มที่นิยม
    • MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5)
      • แพลตฟอร์มยอดนิยมที่รองรับการเทรดทองคำและเครื่องมือการวิเคราะห์มากมาย
  • แพลตฟอร์มอื่น ๆ
    • หากโบรกเกอร์มีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ควรตรวจสอบว่าเหมาะสมกับการเทรดทองคำและมีฟีเจอร์ที่ครบถ้วน

ข้อควรพิจารณา

  • ตรวจสอบว่ามีฟังก์ชันการเทรดที่สำคัญ เช่น การตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop Loss) และการตั้งคำสั่งทำกำไร (Take Profit)
  • ความเสถียรของแพลตฟอร์มในการทำธุรกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการค้างหรือการล่าช้าในการเทรด

การสนับสนุนลูกค้า (Customer Support)

  • การบริการลูกค้าที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาหรือคำถามที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเทรด
  • ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีการสนับสนุนลูกค้าที่รวดเร็วและมีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย

ช่องทางการติดต่อที่ควรมี

  • แชทสด (Live Chat)
    • ให้บริการทันทีเมื่อมีปัญหาหรือคำถามฉุกเฉิน
  • อีเมล (Email)
    • รองรับการติดต่อผ่านอีเมลเพื่อการสอบถามที่ไม่เร่งด่วน
  • โทรศัพท์ (Phone Support)
    • มีบริการโทรศัพท์เพื่อให้การสนับสนุนที่เป็นส่วนตัวและรวดเร็ว

คุณสมบัติที่ควรมีในการสนับสนุนลูกค้า

  • ความเร็วในการตอบ:
    • ต้องตอบกลับอย่างรวดเร็วและไม่ปล่อยให้ลูกค้ารอนาน
  • ความรู้และความเชี่ยวชาญ:
    • ทีมสนับสนุนควรมีความรู้เกี่ยวกับการเทรดและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
  • บริการตลอด 24 ชั่วโมง
    • ควรมีบริการตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อรองรับลูกค้าที่อยู่ในเขตเวลาต่าง ๆ

ข้อควรพิจารณา

  • ตรวจสอบความพึงพอใจของผู้ใช้บริการจากความคิดเห็นหรือรีวิวออนไลน์
  • ทดลองติดต่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประเมินคุณภาพการบริการ

เครื่องมือการวิเคราะห์ (Analytical Tools)

  • โบรกเกอร์ที่ดีควรมีเครื่องมือการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้นักลงทุนทำการตัดสินใจได้ดีขึ้นในการเทรดทองคำ

 เครื่องมือการวิเคราะห์ที่ควรมี

  • กราฟราคา (Price Charts)
    • แสดงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงเวลาต่าง ๆ พร้อมกับการใช้เทคนิคกราฟิก
  • อินดิเคเตอร์ (Indicators)
  • เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis Tools)
    • เช่น Fibonacci Retracement, Support and Resistance Levels, Trend Lines
  • ข่าวสารและข้อมูลการตลาด (Market News and Data)
    • โบรกเกอร์ควรมีข้อมูลข่าวสารที่อัปเดตเกี่ยวกับตลาดทองคำ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจมีข้อมูลประกอบ

คุณสมบัติที่ควรมีในเครื่องมือการวิเคราะห์

  • การปรับแต่งได้ (Customizable)
    • ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเครื่องมือการวิเคราะห์ตามความต้องการ
  • ความแม่นยำและความเสถียร
    • เครื่องมือการวิเคราะห์ควรให้ข้อมูลที่แม่นยำและมีความเสถียรในการใช้งาน
  • การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis)
    • มีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เช่น การประกาศเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อตลาดทองคำ

บัญชีทดลอง (Demo Account)

  • ทดลองกลยุทธ์การเทรด สามารถทดลองกลยุทธ์การเทรดทองคำในสภาวะตลาดจริงโดยไม่เสี่ยงกับเงินทุน
  • ทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม ช่วยให้คุณคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการเทรด 
    • Meta Trader 4 
    • Meta Trader 5 
  • ฝึกทักษะการวิเคราะห์ ฝึกการใช้เครื่องมือการวิเคราะห์และเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดทองคำ
  • ไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องขาดทุนเพราะใช้เงินทดลอง 

ข้อควรพิจารณา

  • ระยะเวลาและข้อจำกัด
    • ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีระยะเวลาการใช้งานบัญชีทดลองนานเท่าไร และมีข้อจำกัดในเรื่องของฟังก์ชันหรือเครื่องมือที่สามารถใช้งานได้หรือไม่
  • สภาพแวดล้อมที่เหมือนจริง
    • เลือกโบรกเกอร์ที่มีบัญชีทดลองที่มีสภาพแวดล้อมเหมือนจริงที่สุด เพื่อให้คุณสามารถปรับตัวได้ดีเมื่อย้ายไปสู่บัญชีจริง
  • จำนวนบัญชีทดลองที่สามารถเปิดได้
    • ตรวจสอบว่าคุณสามารถเปิดหลายบัญชีทดลองเพื่อทดสอบหลายกลยุทธ์หรือไม่

วิธีเปิดบัญชีและฝากเงินเพื่อเริ่มการเทรดทองคำ

เมื่อเลือกโบรกเกอร์แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสมัครเปิดบัญชี โดยโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีแบบฟอร์มออนไลน์ที่คุณสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัวได้

กรอกข้อมูล และ รายละเอียดส่วนบุคคลที่โบรกเกอร์ร้องขอ 

  • ชื่อและนามสกุล
  • ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์
  • อีเมล
  • ประสบการณ์การเทรด (บางโบรกเกอร์อาจถามคำถามเพื่อประเมินประสบการณ์ของคุณในการเทรด)
  • รูปถ่ายบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต (เพื่อยืนยันตัวตน)
  • หลักฐานที่อยู่ เช่น ใบเสร็จค่าสาธารณูปโภค

ยืนยันตัวตน (KYC)

  • โบรกเกอร์ Forex จะต้องทำการยืนยันตัวตนของคุณก่อนที่จะให้คุณเริ่มการเทรด 
  • การยืนยันตัวตนนี้จำเป็นตามกฎหมาย KYC เพื่อป้องกันการฟอกเงินและกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ
  • เอกสารที่ต้องส่ง
    • บัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทาง
    • เอกสารยืนยันที่อยู่
  • ขั้นตอนการยืนยันตัวตน
    • โบรกเกอร์จะขอให้คุณส่งเอกสารดังกล่าวผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ หรืออีเมล
    • ตรวจสอบว่าเอกสารที่ส่งมีคุณภาพและชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการล่าช้าในการตรวจสอบ
  • ระยะเวลาในการยืนยันตัวตน
    • ระยะเวลาในการยืนยันตัวตนอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์
    • บางโบรกเกอร์อาจให้การยืนยันเร็วในไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่บางรายอาจใช้เวลานานกว่าหากมีความยุ่งยากในการตรวจสอบเอกสาร

รูปที่ 4: ภาพแสดงถึงการกรอกข้อมูลส่วนตัวในโบรกเกอร์ รวมไปถึงการเปิดบัญชีที่ต้องใช้ข้อมูลส่วนตัว เพื่อการยืนยันตัวตน และ ความถูกต้องของข้อมูล

เลือกประเภทบัญชี

หลังจากสมัครเปิดบัญชีแล้ว คุณจะต้องเลือกประเภทบัญชีที่ต้องการ ซึ่งอาจมีตัวเลือกหลายประเภท เช่น

  • บัญชีเดโม (Demo Account): สำหรับการฝึกฝนการเทรดโดยไม่ใช้เงินจริง
  • บัญชีจริง (Live Account): สำหรับการเทรดด้วยเงินจริง ซึ่งสามารถเลือกประเภทบัญชีที่มีค่าสเปรดต่างกันตามความต้องการ

ฝากเงิน

เมื่อบัญชีของคุณได้รับการยืนยันและเปิดใช้งานแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการฝากเงินเข้าสู่บัญชีเทรดของคุณ

วิธีการฝากเงินทั่วไป

  • บัตรเครดิต/เดบิต: ใช้วิธีนี้เพื่อฝากเงินอย่างรวดเร็ว โดยการกรอกข้อมูลบัตรของคุณ
  • การโอนเงินผ่านธนาคาร: โอนเงินจากบัญชีธนาคารของคุณไปยังบัญชีของโบรกเกอร์ โดยใช้ข้อมูลบัญชีที่โบรกเกอร์ให้มา
  • กระเป๋าเงินออนไลน์ (E-wallet): เช่น Skrill, Neteller, หรือ PayPal ซึ่งมักจะรวดเร็วและสะดวก
  • สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency): หากโบรกเกอร์รองรับการฝากเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin หรือ Ethereum

ขั้นตอนการฝากเงิน

  1. เข้าสู่ระบบบัญชีเทรดของคุณ
  2. เลือกวิธีการฝากเงินที่คุณต้องการ
  3. กรอกจำนวนเงินที่ต้องการฝาก
  4. ทำตามขั้นตอนที่โบรกเกอร์กำหนด (การกรอกข้อมูลบัตร หรือการโอนเงิน)
  5. รอการยืนยันและการอัปเดตยอดเงินในบัญชี

เริ่มการเทรดทองคำ

  1. เลือกคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับทองคำ
    • XAU/USD
      • XAU คือสัญลักษณ์ของทองคำ และ USD คือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การเลือกคู่สกุลเงินนี้หมายถึงการเทรดราคาทองคำเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
    • XAU/คู่สกุลเงินอื่น ๆ
      • บางโบรกเกอร์อาจมีคู่สกุลเงินทองคำที่เทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เช่น EUR (ยูโร) หรือ GBP (ปอนด์อังกฤษ)
  2. การเทรดทองคำในรูปแบบ CFD (Contract for Difference)
    • CFD ทองคำ
      • คุณสามารถเลือกเทรดทองคำในรูปแบบ CFD ซึ่งหมายถึงการเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำโดยไม่ต้องถือครองทองคำจริง
    • ไม่มีการเก็บทองคำจริง
      • คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของทองคำจริง แต่จะทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด
  3. ใช้แพลตฟอร์มการเทรดของโบรกเกอร์
    • MetaTrader 4/5
      • คุณสามารถทำการเทรดผ่านแพลตฟอร์มการเทรดที่โบรกเกอร์ให้บริการ เช่น MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 ซึ่งรองรับการเทรดทองคำในรูปแบบต่าง ๆ
    • การตั้งค่าคำสั่ง:
      • ใช้เครื่องมือในแพลตฟอร์ม เช่น การตั้งค่า Stop Loss, Take Profit หรือคำสั่ง Limit เพื่อควบคุมความเสี่ยงและผลกำไรของคุณ

การตั้งค่าคำสั่งการเทรด

เมื่อคุณพร้อมที่จะเริ่มการเทรด ให้ตั้งค่าคำสั่งการเทรด (Order) 

  • Market Order: การสั่งซื้อหรือขายทันทีตามราคาตลาด
  • Limit Order: การตั้งราคาที่ต้องการซื้อหรือขาย และคำสั่งจะทำงานเมื่อราคาถึงระดับที่คุณตั้ง
  • Stop Loss / Take Profit: การตั้งจุดหยุดขาดทุนหรือการทำกำไร เพื่อปกป้องทุนและกำไรของคุณ

การเปิดคำสั่งซื้อ-ขายทองคำผ่าน CFD

เลือกโบรกเกอร์ที่รองรับการเทรดทองคำ CFD

  • เลือกโบรกเกอร์ที่มีผลิตภัณฑ์ทองคำ CFD ให้บริการ
  • โบรกเกอร์ควรมีแพลตฟอร์มการเทรดที่รองรับการเทรด XAU/USD หรือผลิตภัณฑ์ทองคำอื่น ๆ
  • โบรกเกอร์เหล่านี้จะมีข้อมูลราคาทองคำในตลาดที่สามารถใช้ในการตัดสินใจ

เข้าสู่ระบบบัญชีเทรด

  • เข้าสู่ระบบบัญชีเทรดของคุณผ่านแพลตฟอร์มที่โบรกเกอร์ให้บริการ เช่น MetaTrader 4/5, WebTrader หรือแพลตฟอร์มเฉพาะของโบรกเกอร์
  • ไปที่ส่วนของทองคำ (XAU/USD หรือ Gold) เพื่อดูราคาปัจจุบัน

เลือกประเภทคำสั่งที่ต้องการเปิด

เมื่อคุณตัดสินใจว่าอยากจะเปิดคำสั่งซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ทองคำ คุณจะต้องเลือกประเภทคำสั่งตามต้องการ

  • คำสั่งซื้อ (Buy): หากคุณคิดว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
  • คำสั่งขาย (Sell): หากคุณคิดว่าราคาทองคำจะลดลงในอนาคต

ประเภทคำสั่งที่สามารถเลือกได้

  • Market Order: คำสั่งซื้อหรือขายทันทีตามราคาตลาด
  • Limit Order: คำสั่งซื้อหรือขายที่ตั้งราคาไว้ล่วงหน้า เมื่อราคาทองคำถึงราคาที่คุณตั้งไว้ คำสั่งจะถูกเปิดอัตโนมัติ
  • Stop Loss Order: การตั้งจุดหยุดขาดทุนเพื่อจำกัดการขาดทุนเมื่อราคาทองคำขยับไปในทิศทางตรงกันข้าม
  • Take Profit Order: การตั้งจุดทำกำไรเพื่อทำการขายเมื่อราคาทองคำถึงระดับที่คุณต้องการ

กำหนดขนาดของตำแหน่ง (Position Size)

  • เมื่อเลือกคำสั่งแล้ว คุณต้องกำหนดขนาดของตำแหน่งที่คุณต้องการเปิด
  • คำนึงถึงขนาดล็อต (lot size) ของการเทรด
  • พิจารณาระดับของเลเวอเรจที่คุณเลือกใช้
    • เลเวอเรจสูง: เพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงตามมา
    • เลเวอเรจต่ำ: ช่วยลดความเสี่ยง แต่กำไรที่ทำได้อาจน้อยลง

ตั้งคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit 

  • Stop Loss: เป็นการจำกัดการขาดทุน โดยจะตั้งราคาที่หากทองคำลดลงถึงระดับที่คุณตั้งไว้ คำสั่งจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ
  • Take Profit: คือการตั้งราคาที่เมื่อราคาทองคำขึ้นถึงระดับที่คุณตั้งไว้ ระบบจะปิดคำสั่งโดยอัตโนมัติเพื่อทำกำไร

 เปิดคำสั่ง (Open Position)

  • เมื่อกำหนดทุกอย่างเสร็จแล้ว ให้กดปุ่ม “เปิดคำสั่ง” หรือ “Open Position”
  • คำสั่งจะถูกส่งไปยังโบรกเกอร์เพื่อทำการซื้อหรือขายทองคำในตลาดทันทีตามราคาปัจจุบัน

ติดตามคำสั่ง (Monitor the Position)

  • หลังจากเปิดคำสั่งแล้ว ควรติดตามคำสั่งในแพลตฟอร์มการเทรด
  • ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
  • ดูว่าคำสั่งของคุณใกล้จะถึงระดับ Stop Loss หรือ Take Profit หรือไม่

ปิดคำสั่ง (Closing the Position)

  • หากต้องการปิดคำสั่งด้วยตนเองหรือคำสั่ง Stop Loss / Take Profit ยังไม่ทำงาน
  • สามารถปิดคำสั่งได้โดยการกด “ปิดคำสั่ง” หรือ “Close Position”
  • หากทำกำไรหรือขาดทุนจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ผลลัพธ์จะเห็นทันทีหลังจากปิดคำสั่ง

ตัวอย่างการเทรด ซื้อ-ขายทองคำผ่าน CFD

  • เปิดคำสั่งซื้อ (Buy) ทองคำ
    • คุณเปิดคำสั่งซื้อทองคำที่ราคา 1,900 USD ต่อออนซ์ และตั้ง Take Profit ที่ 1,950 USD และ Stop Loss ที่ 1,850 USD
    • หากราคาทองคำเคลื่อนที่ไปถึง 1,950 USD คำสั่งจะปิดโดยอัตโนมัติและทำกำไรให้คุณ
    • หากราคาทองคำลดลงถึง 1,850 USD คำสั่งจะปิดเพื่อจำกัดการขาดทุน

รูปที่ 5: ภาพแสดงถึงตัวอย่างในการเข้าเทรด CFD ทองคำ ตำแหน่ง Buy อธิบายว่ากราฟนี้จะ TP หรือ SL แบบเข้าใจง่าย

  • เปิดคำสั่งขาย (Sell) ทองคำ
    • คุณเปิดคำสั่งขายทองคำที่ราคา 1,900 USD ต่อออนซ์ โดยคาดว่าราคาทองคำจะลดลง
    • หากราคาทองคำลดลงไปถึง 1,850 USD คำสั่งจะปิดเพื่อทำกำไร
    • หากราคาทองคำขึ้นไปถึง 1,950 USD คำสั่งจะถูกปิดเพื่อจำกัดการขาดทุน

รูปที่ 6: ภาพแสดงถึงตัวอย่างในการเข้าเทรด CFD ทองคำ ตำแหน่ง Sell อธิบายว่ากราฟนี้จะ TP หรือ SL แบบเข้าใจง่าย

กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงในการเทรดทองคำ

การใช้ Stop Loss และ Take Profit

  • Stop Loss (SL)
    • การตั้งคำสั่ง Stop Loss จะช่วยจำกัดการขาดทุนของคุณเมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวัง
    • หากคุณเปิดคำสั่งซื้อที่ราคา 1,900 USD ต่อออนซ์ และตั้ง Stop Loss ที่ 1,850 USD 
    • คำสั่งจะปิดอัตโนมัติหากราคาทองคำลดลงถึง 1,850 USD เพื่อจำกัดการขาดทุน
  • Take Profit (TP): 
    • การตั้งคำสั่ง Take Profit จะช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรเมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดี โดยไม่ต้องคอยเฝ้าดูตลาดตลอดเวลา 
    • หากคุณเปิดคำสั่งซื้อที่ราคา 1,900 USD ต่อออนซ์ และตั้ง Take Profit ที่ 1,950 USD 
    • คำสั่งจะปิดอัตโนมัติเมื่อราคาทองคำขึ้นถึง 1,950 USD

การใช้ขนาดตำแหน่งที่เหมาะสม (Position Sizing)

  • คำนวณขนาดตำแหน่งที่คุณจะเปิดในแต่ละคำสั่งโดยพิจารณาจากขนาดของบัญชีและระดับความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับ โดยทั่วไปไม่ควรเสี่ยงมากเกินไปในแต่ละการเทรด ตัวอย่างเช่น หากคุณมีทุน 10,000 USD และพร้อมรับความเสี่ยง 1% ต่อการเทรด คำสั่งแต่ละคำสั่งของคุณไม่ควรมีขนาดเกิน 100 USD (1% ของ 10,000 USD)
  • การจัดการขนาดตำแหน่งที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนต่อเนื่องในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามคาด

การใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง

  • เลเวอเรจ (Leverage) ช่วยให้คุณสามารถเปิดตำแหน่งที่มีขนาดใหญ่กว่าทุนที่มีจริง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุน การใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไปอาจทำให้การขาดทุนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากคุณไม่ได้ควบคุมความเสี่ยงอย่างดี
  • ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เลเวอเรจ 1:50 การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของราคาทองคำอาจส่งผลกระทบต่อบัญชีของคุณได้อย่างมาก ดังนั้น ควรใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับ

การกระจายความเสี่ยง (Diversification)

  • การกระจายความเสี่ยงหมายถึงการไม่ลงทุนทั้งหมดในทองคำเพียงอย่างเดียว คุณสามารถกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น, สกุลเงิน, หรือคริปโตเคอเรนซี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในทองคำเพียงอย่างเดียว
  • การกระจายการลงทุนสามารถช่วยให้คุณรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดีขึ้น และป้องกันการขาดทุนที่เกิดจากการเทรดในสินทรัพย์เดียว

การติดตามข่าวสารและการวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • ข่าวสารทางเศรษฐกิจและการเมืองมักมีผลต่อราคาทองคำ ดังนั้นคุณควรติดตามข่าวสารสำคัญ เช่น การประชุมของธนาคารกลาง, การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ, หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อทองคำ
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาทองคำได้จากการศึกษาชาร์ตและตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เช่น แนวรับ (Support) แนวต้าน (Resistance) MACD, RSI, หรือ Moving Averages ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น

รูปที่ 7: ภาพแสดงถึงการบริหารความเสี่ยง การใช้ TP/SL กำหนดจุดได้ จุดยอมเสีย พร้อมทั้งควบคุมอารมณ์ในการเทรด เพราะจะทำให้มีสมาธิในการเทรดมากขึ้น 

การใช้กลยุทธ์เทรดตามกรอบเวลา (Time Frames)

  • การใช้กรอบเวลาหลายช่วงเวลา (Multiple Time Frames) เพื่อวิเคราะห์ตลาดและรับสัญญาณที่มีความแม่นยำมากขึ้น เช่น การดูกราฟในช่วงเวลาสั้น (1 ชั่วโมงหรือ 4 ชั่วโมง) และเปรียบเทียบกับกราฟในช่วงเวลายาว (Daily หรือ Weekly) เพื่อหาแนวโน้มที่ชัดเจน
  • การใช้กรอบเวลาในการวิเคราะห์หลายช่วงเวลาจะช่วยให้คุณเข้าใจทิศทางตลาดและสามารถตัดสินใจได้ดีกว่า

การควบคุมอารมณ์ในการเทรด

  • การเทรดที่มีความเสี่ยงสูงอาจทำให้คุณเกิดอารมณ์ต่างๆ เช่น ความตื่นเต้น, ความกลัว หรือความโลภ ซึ่งอาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาด
  • เพื่อการบริหารความเสี่ยงที่ดี ควรรักษาความสงบและมีวินัยในการเทรด การใช้ Stop Loss, Take Profit และการกระจายการลงทุนสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ถูกกระทบจากอารมณ์

การรีวิวและปรับกลยุทธ์

  • หลังจากการเทรดทุกครั้ง ควรทำการรีวิวและประเมินผลการเทรดของตัวเองเพื่อเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและหาวิธีในการปรับปรุงกลยุทธ์ในอนาคต
  • การติดตามผลลัพธ์ของการเทรดและปรับปรุงกลยุทธ์ตามสภาวะตลาดจะช่วยให้คุณสามารถปรับตัวและบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น

การวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการเทรดทองคำ

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจในการเทรดทองคำ
  • โดยใช้ข้อมูลราคาที่ผ่านมาเพื่อทำนายทิศทางในอนาคต 
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิคมุ่งเน้นไปที่การศึกษาชาร์ต (Charts) และตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Indicators) เพื่อทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาด 

แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance)

  • แนวรับ (Support): คือระดับราคาที่คาดว่าราคาทองคำจะหยุดตกลงหรือลงไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากมีการซื้ออย่างหนักที่จุดนั้น
  • แนวต้าน (Resistance): คือระดับราคาที่คาดว่าราคาทองคำจะหยุดขึ้นหรือลงไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากมีการขายอย่างหนักที่จุดนั้น

วิธีใช้งาน

  • หากราคาทองคำเข้าใกล้แนวรับแล้วเริ่มดีดขึ้น อาจจะเป็นสัญญาณของการกลับตัวและมีโอกาสซื้อ
  • หากราคาทองคำเข้าใกล้แนวต้านแล้วเริ่มตกลง อาจจะเป็นสัญญาณของการกลับตัวและมีโอกาสขาย

รูปที่ 8: ภาพแสดงถึงแนวรับ แนวต้าน ในระหว่างกราฟราคาอยู่ในกรอบ Side Way จุดวงกลมแดงคือ สามารถเข้าออเดอร์ได้ตามเทคนิค คือ “เข้าซื้อ ที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน”  

การใช้เส้นแนวโน้ม (Trend Lines)

การวาดเส้นแนวโน้ม (Trend Lines) ช่วยในการระบุทิศทางของตลาด ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ทิศทางหลัก:

  • ตลาดขาขึ้น (Uptrend): เมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาสูงสุดและต่ำสุดใหม่ๆ สูงกว่าเดิม
  • ตลาดขาลง (Downtrend): เมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวลงต่อเนื่อง โดยราคาสูงสุดและต่ำสุดใหม่ๆ ต่ำกว่าเดิม
  • ตลาดไซด์เวย์ (Sideways/Range-bound): เมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบระหว่างแนวรับและแนวต้าน

วิธีใช้งาน

  • หากราคาทองคำอยู่ในตลาดขาขึ้น คุณควรพิจารณาการเปิดคำสั่งซื้อ (Buy) ที่จุดที่ราคาทองคำมีการทดสอบเส้นแนวโน้มขาขึ้น
  • หากราคาทองคำอยู่ในตลาดขาลง คุณควรพิจารณาการเปิดคำสั่งขาย (Sell) ที่จุดที่ราคาทองคำทดสอบเส้นแนวโน้มขาลง

รูปที่ 9: ภาพแสดงถึงแนวรับ แนวต้าน ในระหว่างกราฟราคาอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น จุดวงกลมแดงคือ สามารถเข้าออเดอร์ได้ตามเทคนิค คือ “เข้าซื้อ ที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน”  

ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Indicators)

ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ทองคำมีหลายตัว ซึ่งสามารถช่วยในการตัดสินใจในการเปิดและปิดคำสั่งการเทรด:

  • Moving Averages (MA): เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ใช้ในการระบุทิศทางของแนวโน้ม
    • Simple Moving Average (SMA): ค่าเฉลี่ยราคาของทองคำในช่วงเวลาหนึ่ง
    • Exponential Moving Average (EMA): ค่าเฉลี่ยที่ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุด
    • การข้ามของค่า MA สองตัว (เช่น การข้ามกันระหว่าง SMA 50 วันและ SMA 200 วัน) มักจะใช้เป็นสัญญาณของการกลับตัวของตลาด
  • Relative Strength Index (RSI): ตัวบ่งชี้ที่ช่วยระบุระดับการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100
    • RSI > 70: ราคาทองคำอาจจะมีการซื้อมากเกินไปและมีโอกาสที่จะกลับตัวลง
    • RSI < 30: ราคาทองคำอาจจะมีการขายมากเกินไปและมีโอกาสที่จะกลับตัวขึ้น
  • Moving Average Convergence Divergence (MACD): เครื่องมือที่ใช้ในการระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
    • MACD Line: เป็นผลต่างระหว่างค่า EMA ที่เร็วและช้า
    • Signal Line: คือค่า EMA ของ MACD Line ที่ใช้ในการระบุสัญญาณซื้อหรือขาย
    • การข้ามกันของ MACD กับ Signal Line จะเป็นสัญญาณของการเปิดคำสั่ง
  • Bollinger Bands: เครื่องมือที่ช่วยวัดความผันผวนของราคาทองคำ โดยจะประกอบด้วยเส้นกลาง (SMA) และเส้นบนและล่างที่ห่างจากเส้นกลางตามค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
    • หากราคาทองคำสัมผัสหรือทะลุเส้นบน (Upper Band) อาจเป็นสัญญาณของการซื้อมากเกินไป
    • หากราคาทองคำสัมผัสหรือทะลุเส้นล่าง (Lower Band) อาจเป็นสัญญาณของการขายมากเกินไป

รูปที่ 10: ภาพแสดงถึงแนวรับ แนวต้าน ในระหว่างกราฟราคาอยู่ในเทรนด์ขาลง จุดวงกลมแดงคือ สามารถเข้าออเดอร์ได้ตามเทคนิค คือ “เข้าซื้อ ที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน”  

รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)

การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) เช่น

  • Head and Shoulders (หัวและไหล่): รูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มที่สามารถบ่งชี้การกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงหรือจากขาลงเป็นขาขึ้น
  • Double Top / Double Bottom: รูปแบบที่สามารถบ่งชี้ถึงการกลับตัวของราคาในทิศทางตรงกันข้าม
  • Triangles: แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะมีการแตกออกจากกรอบนั้นในทิศทางที่มีความชัดเจน

การใช้กราฟเวลา (Time Frames)

การใช้กราฟเวลาหลายช่วงเวลา (Multiple Time Frames) จะช่วยให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำมากขึ้น เช่น:

  • กราฟระยะสั้น (5 นาที, 15 นาที, 1 ชั่วโมง): ใช้สำหรับการเทรดในระยะสั้น
  • กราฟระยะกลาง (4 ชั่วโมง, 1 วัน): ใช้สำหรับการเทรดในระยะกลาง
  • กราฟระยะยาว (สัปดาห์, เดือน): ใช้ในการดูแนวโน้มระยะยาว

โดยการวิเคราะห์กราฟในหลายๆ ช่วงเวลาจะช่วยให้เห็นภาพรวมของทิศทางตลาดและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ

การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา (Price Action)

การศึกษาและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาทองคำโดยไม่ต้องใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Indicators) ใช้การสังเกตแบบธรรมชาติของราคา เช่น:

  • Candlestick Patterns (แท่งเทียน): การอ่านรูปแบบแท่งเทียน เช่น Doji, Engulfing, Hammer หรือ Shooting Star สามารถให้สัญญาณของการกลับตัวของราคา
  • Price Rejection: เมื่อราคาทองคำเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ จะมีการปฏิเสธการเคลื่อนไหวในช่วงราคาเหล่านั้น
  • การใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น แนวรับและแนวต้าน, เส้นแนวโน้ม, ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค, รูปแบบกราฟ และการวิเคราะห์ราคาเพื่อทำนายทิศทางของทองคำในอนาคต
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการเทรดทองคำช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจในการเปิดคำสั่งซื้อหรือขายได้อย่างมีเหตุผล

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อราคาทองคำ

  • เป็นการศึกษาข้อมูลและเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานของทองคำในตลาดโลก
  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำในระยะยาวและระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates)

  • อัตราดอกเบี้ยสูง
    • อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักจะส่งผลให้ราคาทองคำลดลง เพราะทองคำไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเหมือนกับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร
    • เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูง นักลงทุนอาจเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากมีดอกเบี้ยที่สามารถสร้างรายได้จากการถือครอง
  • อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
    • การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) และธนาคารกลางอื่น ๆ เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีผลกระทบโดยตรงต่อราคาทองคำ
    • การปรับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสามารถทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่า ซึ่งจะส่งผลต่อราคาทองคำในตลาดโลก เนื่องจากทองคำมักถูกซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar)

  • ความสัมพันธ์ตรงข้าม (Inverse Correlation)
    • ทองคำมักมีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กล่าวคือ เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำมักจะลดลง และในทางกลับกัน เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำมักจะเพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของดอลลาร์
    • เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การเคลื่อนไหวของดอลลาร์ในตลาดโลกมีผลอย่างมากต่อการกำหนดราคาทองคำ
    • การเปลี่ยนแปลงในค่าเงินดอลลาร์จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำโดยตรง ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มเพิ่มหรือลดตามทิศทางของค่าเงินดอลลาร์

การเติบโตของเศรษฐกิจ (Economic Growth)

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจสามารถส่งผลต่อความต้องการทองคำได้ หากเศรษฐกิจเติบโตดี นักลงทุนอาจจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น หุ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำลดลง
  • ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจตกต่ำหรือมีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจ (เช่น ภาวะถดถอย) นักลงทุนมักจะมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น

เงินเฟ้อ (Inflation)

  • ทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปกป้องจากเงินเฟ้อ เนื่องจากทองคำมีมูลค่าคงที่และไม่ได้รับผลกระทบจากการพิมพ์เงินจำนวนมากโดยรัฐบาล
  • เมื่อมีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น ราคาทองคำมักจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะนักลงทุนมองว่าทองคำสามารถรักษามูลค่าได้ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง

เหตุการณ์ทางการเมือง (Geopolitical Events)

  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง 
    • สงคราม 
    • ความตึงเครียดระหว่างประเทศ
    • หรือการเลือกตั้งที่มีความเสี่ยงสูงสามารถกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลในตลาด พร้อมทั้งส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
    • ตัวอย่างเช่น การปะทะกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือเหตุการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางมักจะมีผลกระทบต่อราคาทองคำ

ความเชื่อมั่นของนักลงทุน (Investor Sentiment)

  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดราคา ทองคำมักจะเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในช่วงที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจในตลาดการเงิน
  • หากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจหรือการเงิน พวกเขามักจะเลือกลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งสามารถดันราคาทองคำขึ้น

การผลิตทองคำ (Gold Supply)

  • ปริมาณการผลิตทองคำมีผลต่ออุปทานของทองคำในตลาด หากการผลิตทองคำในเหมืองทองคำลดลงหรือลดลงอย่างมาก อาจทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเนื่องจากอุปทานลดลง
  • นอกจากนี้ การสำรองทองคำของธนาคารกลางก็มีผลต่ออุปทานทองคำในตลาดด้วย หากธนาคารกลางตัดสินใจที่จะขายหรือซื้อทองคำในปริมาณมากๆ อาจทำให้ราคาทองคำมีความผันผวน

การลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ (Gold ETFs)

  • กองทุน ETF ทองคำเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายทองคำได้ง่ายและสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องซื้อทองคำจริงๆ
  • เมื่อกองทุน ETF ทองคำได้รับความสนใจและมีการซื้อขายมาก ราคาทองคำมักจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากการซื้อทองคำผ่าน ETF จะกระตุ้นความต้องการทองคำในตลาด

การระดมทุนของรัฐบาลและหนี้สิน (Government Debt and Bond Yields)

  • รัฐบาลที่มีหนี้สินสูงหรือการเพิ่มหนี้ภาครัฐสามารถสร้างความวิตกกังวลในตลาดการเงิน ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น
  • อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yields) มักจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการตัดสินใจในการลงทุน โดยหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่ำ นักลงทุนอาจหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อราคาทองคำช่วยให้คุณเข้าใจปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระยะยาว เช่น

  • การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ เช่น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ
  • การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินของธนาคารกลาง

รูปที่ 11 : ภาพแสดงถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อราคาของทองคำ การประกาศดอกเบี้ยของธนาคารกลาง, สงคราม และ การระบาดของไวรัส พร้อมทั้งเหตุการณ์ที่ส่งผลให้คนต้องหันมาถือทองคำจะรู้สึกปลอดภัยมากกว่า

คลิป

  • อยากเทรดทองคำต้องรู้อะไรบ้าง ในคลิปนี้จะสอนการเริ่มเทรดทองคำที่เริ่มจาก 0 ต้องเรียนรู้เรื่องใดบ้าง และ ทำยังไงถึงจะได้กำไรแบบเต็มเม็ด เต็มหน่วย 

สรุป

จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้สรุปประเด็นสำคัญมานั้น ไม่ว่าคุณเองจะเป็นมือใหม่ หรือ มืออาชีพ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือ 

  • ทองคำ CFD คืออะไร สัญญาต่อราคา (ซื้อ/ขาย) โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ช่วยทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคา
  • วิธีในการเลือกโบรกเกอร์ Forex ให้รองรับการเทรด CFD มากที่สุด ซึ่งมีปัจจัยสำคัญที่เป็นองค์ประกอบมากมาย คือ 
    • ความน่าเชื่อถือ 
    • การให้บริการที่ตอบโจทย์
    • ความสเถียร ระบบกราฟ ความลื่นไหลในการเทรด 
    • การฝาก-ถอนเงิน ค่าธรรมเนียมแฝง 
    • การให้ความช่วยเหลือของโบรกเกอร์ 

ข้อดีของการเทรดทองผ่าน CFD

  • เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
  • ไม่ต้องถือครองทองคำจริง
  • ใช้ leverage เพิ่มโอกาสกำไร

ข้อควรระวัง

  • Leverage มีความเสี่ยงสูง
  • ความผันผวนของราคาทองคำอาจทำให้ขาดทุน
  • ควรวางแผนการลงทุนและใช้ Stop Loss

ส่วนราคาของทองคำนั้น จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน เช่น ข่าวเศรษฐกิจและการเมือง อัตราดอกเบี้ย โดยตลาดแห่งนี้นั้นจะเหมาะกับ ผู้ที่มีความเข้าใจตลาดและสามารถรับความเสี่ยงจาก leverage ได้

 

อ้างอิง: 

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen