1. Warren Buffett — วอร์เรน บัฟเฟตต์ (#ราชาแห่ง Value Investing)
“จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว และจงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า” คำคมอมตะจากนักลงทุนที่รวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ที่สร้างผลตอบแทนกว่า 20% ต่อปีแบบทบต้นติดต่อกันถึงกว่า 50 ปี บัฟเฟตต์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของนักลงทุนแบบ Value Investing ที่ได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจาก เบน เกรแฮม ผู้เป็นอาจารย์และต้นตำรับของการวิเคราะห์หลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ
สไตล์การลงทุน
บัฟเฟตต์เน้น การลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) โดยลงทุนเสมือนซื้อกิจการเพื่อเป็นเจ้าของ ไม่ใช่แค่ซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร เขามองว่าการซื้อหุ้นคือ การซื้อธุรกิจ และจะถือหุ้นนานตราบเท่าที่พื้นฐานของธุรกิจยังดีและมีการเติบโตที่ดี บัฟเฟตต์ยังให้ความสำคัญกับบริษัทที่มี “Economic Moat” หรือข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่คู่แข่งยากจะลอกเลียนแบบได้
กลยุทธ์ที่คุณทำได้
- ลงทุนเฉพาะธุรกิจที่เข้าใจจริง
- ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าจริง 20-30% (Margin of Safety)
- เลือกบริษัทที่มี ROE สูงต่อเนื่อง
- ถือหุ้นระยะยาว ไม่หวั่นไหวตามกระแสตลาด
- เน้นธุรกิจเข้าใจง่าย มีประวัติทำกำไรดี
2. Philip Fisher — ฟิลิป ฟิสเชอร์ (#บิดาแห่ง Growth Investing)
ฟิลิป ฟิสเชอร์เป็นผู้เขียนหนังสือ “Common Stocks and Uncommon Profits” ซึ่งเป็นตำราคลาสสิกสำหรับนักลงทุนสาย Growth แม้ว่าบัฟเฟตต์จะได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนสาย Value แต่เขาก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของฟิสเชอร์ด้วย โดยเฉพาะในช่วงหลังของอาชีพนักลงทุน
สไตล์การลงทุน
ฟิสเชอร์มองหาบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงกว่าบริษัทอื่นในธุรกิจเดียวกัน เน้นบริษัทที่มีนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาด สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้กังวลมากนักเรื่องราคาที่ซื้อหากเชื่อมั่นว่าบริษัทมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวที่ดีมาก
กลยุทธ์ที่คุณทำได้
เลือกบริษัทที่เติบโตเร็ว (กำไรเพิ่ม 25-50% ต่อปีหรือมากกว่า)
- ลงทุนในบริษัทที่มีการวิจัยพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง
- รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง (ลูกค้า คู่แข่ง พนักงาน) ด้วยวิธี “Scuttlebutt”
- เลือกบริษัทที่มีทีมผู้บริหารคุณภาพสูง ซื่อสัตย์ และปรับตัวเก่ง
- ยอมจ่ายราคา P/E สูง หากเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตระยะยาว
3. John Bogle — จอห์น โบเกิล (#ผู้บุกเบิกการลงทุนแบบ Passive)
จอห์น โบเกิล คือผู้ก่อตั้งบริษัท Vanguard และผู้บุกเบิกกองทุนอิงดัชนี (Index Fund) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนทั่วโลก เขาสร้างแนวคิดที่ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว ดังนั้นการลงทุนตามดัชนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
สไตล์การลงทุน
โบเกิลเชื่อในการลงทุนแบบ Passive โดยอิงตามดัชนีตลาดมากกว่าการพยายามคัดเลือกหุ้นรายตัว เขาเน้น การซื้อและถือระยะยาว (Buy and Hold) โดยลงทุนในกองทุนที่กระจายความเสี่ยงดีและมีค่าธรรมเนียมต่ำ โบเกิลให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายในการลงทุน โดยเชื่อว่าค่าธรรมเนียมที่สูงจะกัดกร่อนผลตอบแทนของนักลงทุนในระยะยาว
กลยุทธ์ที่คุณทำได้
- ลงทุนแบบ DCA โดยทยอยลงทุนเท่ากันทุกเดือน ไม่สนใจตลาดขึ้นลง
- เลือกกองทุนดัชนี/ETF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
- กระจายการลงทุนระหว่างหุ้นและพันธบัตรตามอายุ (อายุของคุณ = % พันธบัตร)
- ไม่พยายามจับจังหวะตลาด เพราะมักทำให้ผลตอบแทนแย่ลง
- เน้นความเรียบง่าย ลงทุนในกองทุนดัชนีไม่กี่กองทุนที่ครอบคลุมสินทรัพย์หลัก
4. George Soros — จอร์จ โซรอส (#จอมเทรดเดอร์มหาอำนาจ)
จอร์จ โซรอส เป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงจากการเก็งกำไรค่าเงินและสร้างผลตอบแทนมหาศาล เขาเป็นที่รู้จักจากการ “ทุบค่าเงินปอนด์” ในปี 1992 ซึ่งทำกำไรได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่วัน โซรอสเกิดปีเดียวกับบัฟเฟตต์และลงทุนมานานโดยทำผลตอบแทนไม่น้อยกว่าบัฟเฟตต์ตามการประมาณของหลายแหล่งข่าว
สไตล์การลงทุน
โซรอสใช้การวิเคราะห์ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลก มองหาความ “ไม่สมดุล” ในระบบเศรษฐกิจและทำกำไรจากมัน เขาเป็น นักลงทุนแบบ Momentum และ Macro Trading ที่เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและแนวโน้มตลาด ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงของเขาคือ “ทฤษฎีสะท้อนกลับ” (Theory of Reflexivity) ซึ่งอธิบายว่าการรับรู้ของนักลงทุนและราคาสินทรัพย์มีอิทธิพลต่อกันและกัน
กลยุทธ์ที่คุณทำได้
- ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจมหภาคอย่างใกล้ชิด (นโยบายการเงิน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ)
- มองหาความไม่สมดุลในตลาดที่ราคาไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานจริง
- วิเคราะห์แนวโน้มตลาด (Trend Analysis) และลงทุนตามทิศทางที่ชัดเจน
- บริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ชัดเจน
- มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ (“เป็นหมีก็ได้ เป็นวัวก็ได้”)
5. Jesse Livermore — เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ (#นักเทรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก)
เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ เป็นนักเทรดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ได้ชื่อว่าเป็น “นักเทรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก” เขามีชีวิตที่น่าทึ่ง ทั้งประสบความสำเร็จและร่ำรวยระดับประเทศ แต่ก็มีช่วงที่ล้มเหลวล้มละลายหลายครั้ง และสุดท้ายจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย แต่เทคนิคการเทรดของเขายังคงเป็นที่ยึดถือและศึกษาจนถึงปัจจุบัน
สไตล์การลงทุน
ลิเวอร์มอร์เป็น นักเทรดระยะสั้นที่เชี่ยวชาญการเก็งกำไรจากความผันผวนของตลาด เขาได้พัฒนาระบบการเทรดของตัวเองโดยใช้การวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขาย เขามักจะรอให้ตลาดยืนยันทิศทางก่อนที่จะเข้าเทรด และเพิ่มขนาดการลงทุนเมื่อการเทรดเป็นไปตามที่คาดการณ์
กลยุทธ์ที่คุณทำได้
- ศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิค อ่านกราฟ แนวโน้ม และรูปแบบราคา
- รอตลาดยืนยันทิศทางก่อนเข้าเทรด ไม่เดาจุดกลับตัว
- เน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวหลัก (Main Move) ไม่ใช่การเทรดเล็กๆ น้อยๆ
- ให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขาย (Volume) ซึ่งมักเปลี่ยนก่อนราคา
- บริหารเงินทุนเข้มงวด ไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง และตัดขาดทุนเร็ว
6. John Templeton — จอห์น เทมเปิลตัน (#ผู้บุกเบิกการลงทุนระดับโลก)
เซอร์จอห์น เทมเปิลตัน เป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในการเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เขาก่อตั้งกองทุน Templeton Growth Fund ในปี 1954 และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในศตวรรษที่ 20
สไตล์การลงทุน
เทมเปิลตันเป็นนักลงทุนสาย Value แต่มีความโดดเด่นในการมองหาโอกาสในตลาดทั่วโลก เขามักจะลงทุนในประเทศที่กำลังฟื้นตัวจากวิกฤต หรือในตลาดที่ถูกมองข้าม เขาเชื่อในแนวคิด “ซื้อเมื่อมีเลือดนองถนน” (Buy when there’s blood in the streets) โดยมองหาหุ้นที่มีมูลค่าต่ำเกินไปในช่วงเวลาที่ตลาดมีความกลัวสูง
กลยุทธ์ที่คุณทำได้
- กระจายการลงทุนไปหลายประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทำกำไร
- มองวิกฤตเป็นโอกาส ลงทุนในประเทศที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจหรือการเมือง
- เลือกหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหรืออุตสาหกรรม
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานละเอียด แม้ในตลาดที่ไม่คุ้นเคย
- ลงทุนระยะยาว อดทนรอให้ตลาดเห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
7. Peter Lynch — ปีเตอร์ ลินช์ (#นักลงทุนคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา)
ปีเตอร์ ลินช์ เป็นผู้บริหารกองทุน Fidelity Magellan ที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการทำผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 29.2% ต่อปีในช่วง 13 ปีที่เขาบริหารกองทุน (1977-1990) ซึ่งเป็นผลงานที่โดดเด่นมากสำหรับกองทุนขนาดใหญ่ ลินช์เป็นที่รู้จักจากแนวคิด “ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จัก” (Invest in what you know) และการเขียนหนังสือยอดนิยมอย่าง “One Up on Wall Street”
สไตล์การลงทุน
ลินช์ผสมผสานแนวทางทั้ง Value และ Growth เข้าด้วยกัน โดยเขาจะมองหาบริษัทที่เติบโตเร็วแต่ยังมีราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งเขาเรียกว่า “GARP” (Growth At a Reasonable Price) เขาให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจธุรกิจอย่างถ่องแท้ และมักจะใช้ความรู้จากชีวิตประจำวันในการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพ ลินช์ชอบบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจที่เข้าใจง่าย และมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ชัดเจน
กลยุทธ์ที่คุณทำได้
- ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จัก ใช้ความได้เปรียบจากอาชีพหรือความชอบส่วนตัวของคุณในการหาหุ้นเด็ด สังเกตสินค้าหรือบริการรอบตัวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
- มองหาหุ้นโตเร็วในราคาที่สมเหตุสมผล (GARP) ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่ถูกที่สุด แต่จงหาบริษัทที่ดีเยี่ยมที่ตลาดยังประเมินมูลค่าไม่สูงเกินไป
- เลือกบริษัทที่อธิบายธุรกิจให้เด็ก 10 ขวบเข้าใจได้ หากธุรกิจซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายง่ายๆ ให้ข้ามไป
- ทำการบ้านเพื่อหาหุ้น 10 เด้ง (10-Baggers) มองหาบริษัทขนาดเล็กที่มีศักยภาพเติบโตสูงและมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง
- มีความยืดหยุ่นในการลงทุน เช่น ลินช์แบ่งหุ้นเป็นหลายประเภท (หุ้นโตช้า, หุ้นแข็งแกร่ง, หุ้นโตเร็ว, หุ้นวัฏจักร, หุ้นฟื้นตัว) จงเปิดใจและเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะกับหุ้นแต่ละประเภท
บทสรุป
การศึกษาสไตล์การลงทุนจาก 7 นักลงทุนดังทำให้เราเห็นว่าไม่มีวิธีลงทุนที่ถูกต้องเพียงวิธีเดียว แต่ทุกคนมีจุดร่วมคือความมุ่งมั่น การศึกษาหนัก มีวินัยเหล็ก และควบคุมอารมณ์ได้ดี
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความสม่ำเสมอและการรู้จักตัวเอง นักลงทุนต้องเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับบุคลิกภาพและเป้าหมายของตนเอง เพราะการลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนที่เหมาะกับตัวคุณ
อย่างที่บัฟเฟตต์กล่าวไว้ “ความเสี่ยงมาจากการไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่” ดังนั้น จงรู้จักตัวเองให้ดี เลือกสไตล์ที่เหมาะสม และลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ นี่คือกุญแจสู่ความสำเร็จในการลงทุน
FAQ — แกะรอย 7 นักลงทุนดังทุกสไตล์ สู่กลยุทธ์ลงทุนง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้