ตลาด Options คืออะไร?
- เป็นตลาดซื้อขาย “สิทธิในการซื้อหรือขาย” สินทรัพย์ ไม่ใช่การซื้อของจริง
- คนซื้อ Option มีสิทธิ “เลือก” จะใช้หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำ
- แตกต่างจากการซื้อ หุ้น | ทอง | Forex โดยตรง เพราะไม่ต้องถือครองสินทรัพย์
- ใช้ Option ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น ขาลง หรือแม้แต่ตอนตลาดนิ่ง (ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์)
- ตัวอย่างสินทรัพย์ที่นิยมออก Option
ทำความเข้าใจพื้นฐานของ Option: Call และ Put
- Call Option คือสิทธิในการซื้อสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด (Strike Price) ภายในเวลาที่กำหนด
- ถ้าเชื่อว่าราคาจะขึ้น ก็ซื้อ Call Option เพื่อรอทำกำไรจากราคาที่สูงขึ้นในอนาคต
- Put Option คือสิทธิในการขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด ภายในเวลาที่กำหนด
- ถ้าเชื่อว่าราคาจะลง ก็ซื้อ Put Option เพื่อทำกำไรจากราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด
- ทั้ง Call และ Put ต้องจ่ายต้นทุนล่วงหน้าที่เรียกว่า “พรีเมียม” ซึ่งเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับสิทธิใช้ Option
- ไม่จำเป็นต้องรอให้ราคาทะลุ Strike Price เต็มที่ ขอแค่ราคาขยับในทิศทางที่คาดไว้มากพอให้กำไรครอบคลุมพรีเมียม ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ภาพอธิบายความหมายคำว่า ตลาด Option พร้อมกับตัวอย่างสินทรัพย์ที่นิยมออกจาก Option อย่าง Apple และ Tesla
สัญญา Option ต่างจากสัญญา Futures อย่างไร
- Futures คือสัญญาที่ผูกมัดให้คุณต้องซื้อหรือขายสินทรัพย์ตามราคาที่ตกลง กันไว้เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดสัญญา ซึ่งความเสี่ยงจะสูงเพราะคุณไม่มีทางเลี่ยง ต้องทำตามสัญญา
- Options คือสิทธิที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์ตามราคาที่กำหนด แต่คุณเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิหรือไม่ ทำให้ความเสี่ยงจำกัดแค่เงินพรีเมียมที่จ่ายไปตั้งแต่แรก
- การเทรด Futures ต้องวางเงินประกันหรือ Margin ไว้ หากราคาขยับผิดทาง คุณอาจโดนเรียกเพิ่มเงินประกัน (Call Margin) หรือโดนบังคับขาย (Liquidate) ซึ่งอาจทำให้เสียเงินเกินกว่าที่ลงทุน
- ในทางกลับกัน Options ไม่มีการเรียก Margin เพิ่ม เพราะคุณจ่ายเงินพรีเมียมไปตั้งแต่ต้นแล้ว ความเสี่ยงสูงสุดของคุณจึงจำกัดแค่เงินพรีเมียมเท่านั้น
กลไกการซื้อขายในตลาด Options
- ต้องเลือก 4 สิ่งในการเปิด Position
1. ประเภท Option: Call หรือ Put
2. Strike Price: ราคาที่ล็อกไว้ในสัญญา
3. Expiration Date: วันหมดอายุของ Option
4. จำนวนสัญญา (Contract Size): 1 สัญญาอาจแทนสินทรัพย์ 100 หน่วย - พรีเมียมที่จ่ายจะขึ้นกับ
- เวลาเหลือก่อนหมดอายุ
- ความผันผวนของราคา
- ความสัมพันธ์ของราคาตลาดกับ Strike
- ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ที่รองรับ Options เช่น CBOE, Interactive Brokers, หรือ CFD Platform
ประเภทของ Options: American vs European
- American Option
- ใช้สิทธิเมื่อไหร่ก็ได้ก่อนหมดอายุ
- ยืดหยุ่น เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมเวลาในการปิดกำไร
- European Option
- ใช้สิทธิได้ “เฉพาะ” วันหมดอายุเท่านั้น
- เหมาะกับกลยุทธ์ที่เน้นวางแผนแบบแม่น ๆ ล่วงหน้า
- ใช้สิทธิได้ “เฉพาะ” วันหมดอายุเท่านั้น
- แม้ชื่อจะสื่อถึงทวีป แต่ทั้งสองประเภทมีให้เลือกในตลาดทั่วโลก
ภาพที่เปิดเผยถึง ความเหมาะสมของตลาด Option กับ เทรดเดอร์ ที่ต้องมีความเข้าใจความเสี่ยง รวมไปถึง เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว ไม่เหมาะกับคนไร้วินัย
การใช้ Option เพื่อการเก็งกำไร และการป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
- สำหรับเก็งกำไร
- ถ้าคาดว่าหุ้นจะขึ้นแรง จะซื้อ Call Option เพื่อทำกำไรจากราคาที่สูงขึ้น
- ถ้าคาดว่าราคาจะตกหนัก จะซื้อ Put Option เพื่อทำกำไรจากราคาที่ลดลง
- การใช้ Options มีเลเวอเรจสูง ทำให้กำไรที่ได้มากกว่าเทรดหุ้นตรง ๆ
- สำหรับป้องกันความเสี่ยง
- ถือหุ้นอยู่แต่กลัวราคาจะตก จึงซื้อ Put Option เพื่อปกป้องพอร์ตไม่ให้ขาดทุนหนัก (ลด Drawdown)
- ถือสัญญา Futures และกังวลข่าวหรือเหตุการณ์ที่จะทำให้ราคาผันผวน รอซื้อ Option มาเป็นเหมือนเกราะคุ้มกัน
- ใช้ Options เป็นเครื่องมือประกันความเสี่ยงสำหรับพอร์ตขนาดใหญ่ ที่ต้องการความมั่นคง
เรื่องแนะนำ
ตัวอย่างการเทรด Options แบบเข้าใจง่าย
- สมมติว่าหุ้น XYZ ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 100 บาท คุณซื้อ Call Option ที่ Strike Price 105 บาท โดยจ่ายพรีเมียม 3 บาท
- ถ้าหุ้นขึ้นไปถึง 115 บาทก่อนวันหมดอายุ คุณสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นในราคา 105 บาท แล้วขายที่ราคา 115 บาท
- กำไรจากส่วนต่างราคา คือ 10 บาท แต่ต้องหักต้นทุนพรีเมียม 3 บาท ทำให้ได้กำไรสุทธิ 7 บาทต่อหุ้น
- แต่ถ้าหุ้นไม่ขึ้นเกิน 105 บาท คุณก็ไม่ใช้สิทธิ และขาดทุนจำกัดแค่พรีเมียม 3 บาทเท่านั้น
- จุดเด่นของ Option คือ กำไรมีโอกาสไม่จำกัด แต่ขาดทุนจะถูกจำกัดไว้แค่เงินพรีเมียมที่จ่ายไป
ตัวอย่างการเทรด Option แบบเข้าใจง่าย โดยการซื้อหุ้นราคา 100 บาท แต่ กด Call Option Stike ไปที่ 105 พร้อมทั้งจ่าย พรีเมียม บอกถึงข้อดีของการเทรดออปชั่นด้วย
ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการลงทุน Options
- ความเสี่ยง หมดอายุไร้ค่า (Expire Worthless) เกิดขึ้นถ้าทิศทางราคาผิด
- Time Decay (Theta) ทำให้มูลค่า Option ลดลงเรื่อย ๆ แม้ราคาจะไม่เปลี่ยน
- ถ้าใช้กลยุทธ์หลาย Legs เช่น Spread/Straddle แล้ววางแผนผิดจะขาดทุนหนัก
- มือใหม่มัก “ซื้ออย่างเดียว” ไม่รู้จักการ “ขาย Option” ซึ่งมีความเสี่ยงไม่จำกัด
ปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่า Option (Time, Volatility, Intrinsic Value)
- Intrinsic Value คือมูลค่าที่แท้จริงของ Option ถ้าคุณใช้สิทธิในตอนนั้นทันที
- สำหรับ Call Option คือส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับ Strike Price (ถ้าราคาตลาดสูงกว่า Strike)
- สำหรับ Put Option คือส่วนต่างระหว่าง Strike Price กับราคาตลาด (ถ้าราคาตลาดต่ำกว่า Strike)
- Time Value คือมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากความเป็นไปได้ในอนาคต
- ยิ่งเวลาที่เหลือก่อนหมดอายุมาก Option จะมีราคาพรีเมียมสูงขึ้น
- Volatility (Vega) คือความผันผวนของราคาสินทรัพย์
- ยิ่งราคาผันผวนสูง พรีเมียมของ Option ก็จะยิ่งแพง เพราะความเสี่ยงมากขึ้น
- Interest Rate และ Dividend มีผลกระทบเล็กน้อยต่อราคาของ Option ที่อ้างอิงกับหุ้น
ตลาด Options ในระดับโลกและความนิยม
- ตลาด Options หลักทั่วโลก
- CBOE (สหรัฐอเมริกา) เป็นตลาด Options ที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก
- Eurex (ยุโรป) เป็นตลาดหลักในยุโรปที่ได้รับความนิยมสูง
- HKEX (ฮ่องกง) เป็นตลาดสำคัญในเอเชียที่รองรับ Options หลากหลาย
- สินทรัพย์ยอดนิยมที่มี Options ให้เทรด
- หุ้นรายตัว เช่น Apple (AAPL), Tesla (TSLA), NVIDIA (NVDA)
- ดัชนีหลัก ๆ เช่น S&P 500, Nasdaq
- กองทุน ETF ยอดนิยม เช่น QQQ, SPY
- ตลาด Options ในสินทรัพย์ใหม่
- ปัจจุบันมี Options สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) เพิ่มขึ้นตามความนิยม
- ตลาด Options ในประเทศไทย
- อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Thailand Futures Exchange: TFEX)
- ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเทรดได้มีแค่ SET50 Index Options
ภาพเผยถึงหน้าเว็บไซต์ CBOE ของสหรัฐ ที่เป็นเว็บเทรด Optionที่ใหญ่ที่สุด และ สภาพคล่องดีที่สุดในโลก
ตลาด Options เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน
- คนที่มองตลาดแบบ “มีแนวโน้ม” และเข้าใจแนวคิดความเสี่ยง
- นักเทรดที่ชำนาญ Technical หรือ Event Trading (เช่น ข่าวงบการเงิน)
- นักลงทุนสาย DCA หรือถือยาว ก็ใช้ Options เพื่อป้องกันพอร์ตได้
- ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีวินัย หรือไม่พร้อมจัดการความเสี่ยง
แนะนำแพลตฟอร์มหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการ Options
ต่างประเทศ (สำหรับคนไทยที่เปิดบัญชีได้)
- ThinkorSwim (TD Ameritrade) – ใช้งานง่าย เครื่องมือครบ
- Interactive Brokers – ถูกกฎหมาย มี Option ครบเกือบทุกสินทรัพย์
- Deriv – รองรับ Binary และ Vanilla Options บางประเภท
โบรกเกอร์เทรด Options ในไทย (TFEX Options ที่ถูกกฎหมาย)
- บริการเทรด SET50 Options, Futures ครบ
- แพลตฟอร์มมีทั้ง eFin Trade Plus และแอป Krungsri Securities
- มีบทวิเคราะห์ TFEX รายวัน
- จุดเด่น: มีระบบเทรดอัตโนมัติ และอบรม TFEX ฟรี
- รองรับการเทรด Options ผ่านโปรแกรม Finansia HERO
- จุดเด่น: กราฟสวย คำนวณค่ากำไร-ขาดทุนล่วงหน้าได้
- มีคอร์ส TFEX สำหรับมือใหม่ และกลยุทธ์ Options เฉพาะ
- ให้บริการ Options ในตลาด TFEX
- ใช้แพลตฟอร์ม K-Cyber Trade หรือ KS Super Stock
- จุดเด่น: เชื่อมต่อบัญชีธนาคารกสิกรได้ง่าย
- ให้บริการ TFEX Options มานาน
- มีระบบเทรดผ่าน POEMS
- มีบทความ กลยุทธ์ Options และคอร์สอบรมฟรีเกือบทุกเดือน
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการเน้น TFEX แบบจริงจัง
ภาพอธิบายถึงโบรกเกอร์เทรด Option ในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยธนาคารดัง 2 แห่งอย่าง ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารกรุงศรีฯ
คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น
ปูพื้นฐานให้ชัดเจน
- เข้าใจว่า Options คือ “สิทธิ” ไม่ใช่ “ภาระ”
- ทำความเข้าใจคำสำคัญ เช่น Call, Put, Strike Price, Expiry, Premium
- รู้วิธีได้กำไรและขาดทุนจาก Option
- อย่าเริ่มเทรดจนกว่าจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้คนอื่นเข้าใจได้
ใช้บัญชี Demo ฝึกเทรด
- สมัครโบรกเกอร์ที่มี Demo Options เช่น Deriv, IQ Option, ThinkorSwim
- ทดลองซื้อ Call/Put ใน Strike ต่าง ๆ และสินทรัพย์ที่คุ้นเคย
- สังเกตผลกระทบของเวลาและความผันผวนต่อราคา
เริ่มฝึกกลยุทธ์ง่าย ๆ
- เริ่มจาก Long Call หรือ Long Put เพื่อเก็งกำไรทิศทางเดียว
- ฝึกวิเคราะห์จังหวะซื้อ Call เมื่อแนวโน้มขึ้น และซื้อ Put เมื่อตลาดเริ่มลง
- จดบันทึกผลลัพธ์เมื่อหมดอายุ
ศึกษา Greeks เบื้องต้น
- เข้าใจผลกระทบของ Delta, Theta, Vega แบบคร่าว ๆ
- ฝึกดู Option Chain เพื่อประเมินความคุ้มค่า
เรียนรู้จากกรณีศึกษา
- ดูข่าว Earnings และฝึกวางแผนการซื้อ Option
- วิเคราะห์กราฟหลังเหตุการณ์สำคัญ เช่น FOMC
- ฝึกคิดว่ากำไรหรือขาดทุนจริงจะเป็นอย่างไร
จัดการทุนอย่างระมัดระวัง
- ใช้เงินไม่เกิน 1-3% ของพอร์ตต่อ Position
- เริ่มจาก Option ที่พรีเมียมไม่สูงและวันหมดอายุไม่สั้นเกินไป
- หลีกเลี่ยงการใส่เงินก้อนใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น
ฝึกกลยุทธ์ขั้นสูงเมื่อชำนาญ
- เช่น Covered Call, Protective Put, Vertical Spread
- กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงและเป็นพื้นฐานของมืออาชีพ
ติดตามผู้เชี่ยวชาญ
- ดูช่อง YouTube เช่น The Trading Channel, Tastytrade
- เข้าร่วมกลุ่มหรือฟอรัม เช่น Reddit r/options
- อ่านบทวิเคราะห์และ Option Chain จากโบรกเกอร์
เริ่มเทรดเงินจริงแบบควบคุมความเสี่ยง
- ใช้เงินจริงทีละน้อย ไม่เกิน 2% ต่อเทรด
- ใช้เฉพาะกลยุทธ์ที่ซ้อมมาแล้วใน Demo
- มีวินัย รู้จักรับกำไรเล็กและหยุดเมื่อขาดทุน
ประเมินผลและปรับปรุง
- สรุปผลการเทรดทุกเดือน
- วิเคราะห์กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลและความเข้าใจผิด
- บันทึกไดอารี่เทรดเพื่อพัฒนาต่อเนื่อง
คลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้อง
- ขอแนะนำคลิปที่เกี่ยวกับการทำความ รู้จัก Options ตัวช่วยนักลงทุนสร้างกลยุทธ์พิชิตทุกสภาพตลาดจากช่องไดอารี่การเงิน – Money Diaries
สรุป
ตลาด Options คือพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ซื้อสิทธิ์ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในอนาคตตามราคาที่ตกลงกันไว้โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง ต่างจากตลาด Forex ที่เน้นการซื้อขายสกุลเงินแบบตรง ๆ Options ช่วยเพิ่มโอกาสบริหารความเสี่ยงและทำกำไรด้วยต้นทุนและความเสี่ยงที่จำกัดกว่า จึงเหมาะกับคนที่ต้องการกลยุทธ์ลงทุนที่ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้นเมื่อเทียบกับการ เทรด Forex แบบทั่วไป.
อ้างอิง
- What Is Options Trading? A Beginner’s Overview: https://www.investopedia.com/options-basics-tutorial-4583012
- What is Options Trading : https://www.bajajfinserv.in/what-is-option-trading
- Understanding Options: https://www.investopedia.com/terms/o/option.asp
FAQ — ตลาด Options คืออะไร เข้าใจใน 5 นาที