ตลาด Options คืออะไร?

  • เป็นตลาดซื้อขาย “สิทธิในการซื้อหรือขาย” สินทรัพย์ ไม่ใช่การซื้อของจริง
  • คนซื้อ Option มีสิทธิ “เลือก” จะใช้หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำ
  • แตกต่างจากการซื้อ หุ้น | ทอง | Forex โดยตรง เพราะไม่ต้องถือครองสินทรัพย์
  • ใช้ Option ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น ขาลง หรือแม้แต่ตอนตลาดนิ่ง (ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์)
  • ตัวอย่างสินทรัพย์ที่นิยมออก Option 
    • หุ้น (เช่น Apple, Tesla), 
    • ดัชนี (SP500), 
    • สินค้าโภคภัณฑ์, Crypto และ Forex

ทำความเข้าใจพื้นฐานของ Option: Call และ Put

  • Call Option คือสิทธิในการซื้อสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด (Strike Price) ภายในเวลาที่กำหนด
  • ถ้าเชื่อว่าราคาจะขึ้น ก็ซื้อ Call Option เพื่อรอทำกำไรจากราคาที่สูงขึ้นในอนาคต
  • Put Option คือสิทธิในการขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด ภายในเวลาที่กำหนด
  • ถ้าเชื่อว่าราคาจะลง ก็ซื้อ Put Option เพื่อทำกำไรจากราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด
  • ทั้ง Call และ Put ต้องจ่ายต้นทุนล่วงหน้าที่เรียกว่า “พรีเมียม” ซึ่งเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับสิทธิใช้ Option
  • ไม่จำเป็นต้องรอให้ราคาทะลุ Strike Price เต็มที่ ขอแค่ราคาขยับในทิศทางที่คาดไว้มากพอให้กำไรครอบคลุมพรีเมียม ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

ภาพอธิบายความหมายคำว่า ตลาด Option  พร้อมกับตัวอย่างสินทรัพย์ที่นิยมออกจาก Option อย่าง Apple และ Tesla

สัญญา Option ต่างจากสัญญา Futures อย่างไร

  • Futures คือสัญญาที่ผูกมัดให้คุณต้องซื้อหรือขายสินทรัพย์ตามราคาที่ตกลง กันไว้เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดสัญญา ซึ่งความเสี่ยงจะสูงเพราะคุณไม่มีทางเลี่ยง ต้องทำตามสัญญา
  • Options คือสิทธิที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์ตามราคาที่กำหนด แต่คุณเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิหรือไม่ ทำให้ความเสี่ยงจำกัดแค่เงินพรีเมียมที่จ่ายไปตั้งแต่แรก
  • การเทรด Futures ต้องวางเงินประกันหรือ Margin ไว้ หากราคาขยับผิดทาง คุณอาจโดนเรียกเพิ่มเงินประกัน (Call Margin) หรือโดนบังคับขาย (Liquidate) ซึ่งอาจทำให้เสียเงินเกินกว่าที่ลงทุน
  • ในทางกลับกัน Options ไม่มีการเรียก Margin เพิ่ม เพราะคุณจ่ายเงินพรีเมียมไปตั้งแต่ต้นแล้ว ความเสี่ยงสูงสุดของคุณจึงจำกัดแค่เงินพรีเมียมเท่านั้น

กลไกการซื้อขายในตลาด Options

  • ต้องเลือก 4 สิ่งในการเปิด Position
    1. ประเภท Option: Call หรือ Put
    2. Strike Price: ราคาที่ล็อกไว้ในสัญญา
    3. Expiration Date: วันหมดอายุของ Option
    4. จำนวนสัญญา (Contract Size): 1 สัญญาอาจแทนสินทรัพย์ 100 หน่วย
  • พรีเมียมที่จ่ายจะขึ้นกับ
    • เวลาเหลือก่อนหมดอายุ
    • ความผันผวนของราคา
    • ความสัมพันธ์ของราคาตลาดกับ Strike
  • ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ที่รองรับ Options เช่น CBOE, Interactive Brokers, หรือ CFD Platform

ประเภทของ Options: American vs European

  • American Option
    • ใช้สิทธิเมื่อไหร่ก็ได้ก่อนหมดอายุ
    • ยืดหยุ่น เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมเวลาในการปิดกำไร
  • European Option
    • ใช้สิทธิได้ “เฉพาะ” วันหมดอายุเท่านั้น
    • เหมาะกับกลยุทธ์ที่เน้นวางแผนแบบแม่น ๆ ล่วงหน้า
  • แม้ชื่อจะสื่อถึงทวีป แต่ทั้งสองประเภทมีให้เลือกในตลาดทั่วโลก

ภาพที่เปิดเผยถึง ความเหมาะสมของตลาด Option กับ เทรดเดอร์ ที่ต้องมีความเข้าใจความเสี่ยง รวมไปถึง เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว ไม่เหมาะกับคนไร้วินัย

การใช้ Option เพื่อการเก็งกำไร และการป้องกันความเสี่ยง (Hedging)

  • สำหรับเก็งกำไร
    • ถ้าคาดว่าหุ้นจะขึ้นแรง จะซื้อ Call Option เพื่อทำกำไรจากราคาที่สูงขึ้น
    • ถ้าคาดว่าราคาจะตกหนัก จะซื้อ Put Option เพื่อทำกำไรจากราคาที่ลดลง
    • การใช้ Options มีเลเวอเรจสูง ทำให้กำไรที่ได้มากกว่าเทรดหุ้นตรง ๆ
  • สำหรับป้องกันความเสี่ยง
    • ถือหุ้นอยู่แต่กลัวราคาจะตก จึงซื้อ Put Option เพื่อปกป้องพอร์ตไม่ให้ขาดทุนหนัก (ลด Drawdown)
    • ถือสัญญา Futures และกังวลข่าวหรือเหตุการณ์ที่จะทำให้ราคาผันผวน รอซื้อ Option มาเป็นเหมือนเกราะคุ้มกัน
    • ใช้ Options เป็นเครื่องมือประกันความเสี่ยงสำหรับพอร์ตขนาดใหญ่ ที่ต้องการความมั่นคง

เรื่องแนะนำ

ตัวอย่างการเทรด Options แบบเข้าใจง่าย

  • สมมติว่าหุ้น XYZ ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 100 บาท คุณซื้อ Call Option ที่ Strike Price 105 บาท โดยจ่ายพรีเมียม 3 บาท
  • ถ้าหุ้นขึ้นไปถึง 115 บาทก่อนวันหมดอายุ คุณสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นในราคา 105 บาท แล้วขายที่ราคา 115 บาท
  • กำไรจากส่วนต่างราคา คือ 10 บาท แต่ต้องหักต้นทุนพรีเมียม 3 บาท ทำให้ได้กำไรสุทธิ 7 บาทต่อหุ้น
  • แต่ถ้าหุ้นไม่ขึ้นเกิน 105 บาท คุณก็ไม่ใช้สิทธิ และขาดทุนจำกัดแค่พรีเมียม 3 บาทเท่านั้น
  • จุดเด่นของ Option คือ กำไรมีโอกาสไม่จำกัด แต่ขาดทุนจะถูกจำกัดไว้แค่เงินพรีเมียมที่จ่ายไป

ตัวอย่างการเทรด Option แบบเข้าใจง่าย โดยการซื้อหุ้นราคา 100 บาท แต่ กด Call Option Stike ไปที่ 105 พร้อมทั้งจ่าย พรีเมียม บอกถึงข้อดีของการเทรดออปชั่นด้วย

ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการลงทุน Options

  • ความเสี่ยง หมดอายุไร้ค่า (Expire Worthless) เกิดขึ้นถ้าทิศทางราคาผิด
  • Time Decay (Theta) ทำให้มูลค่า Option ลดลงเรื่อย ๆ แม้ราคาจะไม่เปลี่ยน
  • ถ้าใช้กลยุทธ์หลาย Legs เช่น Spread/Straddle แล้ววางแผนผิดจะขาดทุนหนัก
  • มือใหม่มัก “ซื้ออย่างเดียว” ไม่รู้จักการ “ขาย Option” ซึ่งมีความเสี่ยงไม่จำกัด

ปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่า Option (Time, Volatility, Intrinsic Value)

  • Intrinsic Value คือมูลค่าที่แท้จริงของ Option ถ้าคุณใช้สิทธิในตอนนั้นทันที
    • สำหรับ Call Option คือส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับ Strike Price (ถ้าราคาตลาดสูงกว่า Strike)
    • สำหรับ Put Option คือส่วนต่างระหว่าง Strike Price กับราคาตลาด (ถ้าราคาตลาดต่ำกว่า Strike)
  • Time Value คือมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากความเป็นไปได้ในอนาคต
    • ยิ่งเวลาที่เหลือก่อนหมดอายุมาก Option จะมีราคาพรีเมียมสูงขึ้น
  • Volatility (Vega) คือความผันผวนของราคาสินทรัพย์
    • ยิ่งราคาผันผวนสูง พรีเมียมของ Option ก็จะยิ่งแพง เพราะความเสี่ยงมากขึ้น
  • Interest Rate และ Dividend มีผลกระทบเล็กน้อยต่อราคาของ Option ที่อ้างอิงกับหุ้น

ตลาด Options ในระดับโลกและความนิยม

  • ตลาด Options หลักทั่วโลก

    • CBOE (สหรัฐอเมริกา) เป็นตลาด Options ที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก
    • Eurex (ยุโรป) เป็นตลาดหลักในยุโรปที่ได้รับความนิยมสูง
    • HKEX (ฮ่องกง) เป็นตลาดสำคัญในเอเชียที่รองรับ Options หลากหลาย
  • สินทรัพย์ยอดนิยมที่มี Options ให้เทรด
    • หุ้นรายตัว เช่น Apple (AAPL), Tesla (TSLA), NVIDIA (NVDA)
    • ดัชนีหลัก ๆ เช่น S&P 500, Nasdaq
    • กองทุน ETF ยอดนิยม เช่น QQQ, SPY
  • ตลาด Options ในสินทรัพย์ใหม่
    • ปัจจุบันมี Options สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) เพิ่มขึ้นตามความนิยม
  • ตลาด Options ในประเทศไทย
    • อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Thailand Futures Exchange: TFEX)
    • ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเทรดได้มีแค่ SET50 Index Options

ภาพเผยถึงหน้าเว็บไซต์ CBOE ของสหรัฐ ที่เป็นเว็บเทรด Optionที่ใหญ่ที่สุด และ สภาพคล่องดีที่สุดในโลก

ตลาด Options เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน

  • คนที่มองตลาดแบบ “มีแนวโน้ม” และเข้าใจแนวคิดความเสี่ยง
  • นักเทรดที่ชำนาญ Technical หรือ Event Trading (เช่น ข่าวงบการเงิน)
  • นักลงทุนสาย DCA หรือถือยาว ก็ใช้ Options เพื่อป้องกันพอร์ตได้
  • ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีวินัย หรือไม่พร้อมจัดการความเสี่ยง

แนะนำแพลตฟอร์มหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการ Options

ต่างประเทศ (สำหรับคนไทยที่เปิดบัญชีได้)

  • ThinkorSwim (TD Ameritrade) – ใช้งานง่าย เครื่องมือครบ
  • Interactive Brokers – ถูกกฎหมาย มี Option ครบเกือบทุกสินทรัพย์
  • Deriv – รองรับ Binary และ Vanilla Options บางประเภท

โบรกเกอร์เทรด Options ในไทย (TFEX Options ที่ถูกกฎหมาย)

  1. บล. กรุงศรี (Krungsri Securities)
  • บริการเทรด SET50 Options, Futures ครบ
  • แพลตฟอร์มมีทั้ง eFin Trade Plus และแอป Krungsri Securities
  • มีบทวิเคราะห์ TFEX รายวัน
  • จุดเด่น: มีระบบเทรดอัตโนมัติ และอบรม TFEX ฟรี
  1. บล. ฟินันเซีย ไซรัส (Finansia Syrus Securities)
  • รองรับการเทรด Options ผ่านโปรแกรม Finansia HERO
  • จุดเด่น: กราฟสวย คำนวณค่ากำไร-ขาดทุนล่วงหน้าได้
  • มีคอร์ส TFEX สำหรับมือใหม่ และกลยุทธ์ Options เฉพาะ
  1. บล. กสิกรไทย (Kasikorn Securities)
  • ให้บริการ Options ในตลาด TFEX
  • ใช้แพลตฟอร์ม K-Cyber Trade หรือ KS Super Stock
  • จุดเด่น: เชื่อมต่อบัญชีธนาคารกสิกรได้ง่าย
  1. บล. ฟิลลิป (Phillip Securities)
  • ให้บริการ TFEX Options มานาน
  • มีระบบเทรดผ่าน POEMS
  • มีบทความ กลยุทธ์ Options และคอร์สอบรมฟรีเกือบทุกเดือน
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการเน้น TFEX แบบจริงจัง

ภาพอธิบายถึงโบรกเกอร์เทรด Option ในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยธนาคารดัง 2 แห่งอย่าง ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารกรุงศรีฯ

คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น

ปูพื้นฐานให้ชัดเจน

  • เข้าใจว่า Options คือ “สิทธิ” ไม่ใช่ “ภาระ”
  • ทำความเข้าใจคำสำคัญ เช่น Call, Put, Strike Price, Expiry, Premium
  • รู้วิธีได้กำไรและขาดทุนจาก Option
  • อย่าเริ่มเทรดจนกว่าจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้คนอื่นเข้าใจได้

ใช้บัญชี Demo ฝึกเทรด

  • สมัครโบรกเกอร์ที่มี Demo Options เช่น Deriv, IQ Option, ThinkorSwim
  • ทดลองซื้อ Call/Put ใน Strike ต่าง ๆ และสินทรัพย์ที่คุ้นเคย
  • สังเกตผลกระทบของเวลาและความผันผวนต่อราคา

เริ่มฝึกกลยุทธ์ง่าย ๆ

  • เริ่มจาก Long Call หรือ Long Put เพื่อเก็งกำไรทิศทางเดียว
  • ฝึกวิเคราะห์จังหวะซื้อ Call เมื่อแนวโน้มขึ้น และซื้อ Put เมื่อตลาดเริ่มลง
  • จดบันทึกผลลัพธ์เมื่อหมดอายุ

ศึกษา Greeks เบื้องต้น

  • เข้าใจผลกระทบของ Delta, Theta, Vega แบบคร่าว ๆ
  • ฝึกดู Option Chain เพื่อประเมินความคุ้มค่า

เรียนรู้จากกรณีศึกษา

  • ดูข่าว Earnings และฝึกวางแผนการซื้อ Option
  • วิเคราะห์กราฟหลังเหตุการณ์สำคัญ เช่น FOMC
  • ฝึกคิดว่ากำไรหรือขาดทุนจริงจะเป็นอย่างไร

จัดการทุนอย่างระมัดระวัง

  • ใช้เงินไม่เกิน 1-3% ของพอร์ตต่อ Position
  • เริ่มจาก Option ที่พรีเมียมไม่สูงและวันหมดอายุไม่สั้นเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใส่เงินก้อนใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น

ฝึกกลยุทธ์ขั้นสูงเมื่อชำนาญ

  • เช่น Covered Call, Protective Put, Vertical Spread
  • กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงและเป็นพื้นฐานของมืออาชีพ

ติดตามผู้เชี่ยวชาญ

  • ดูช่อง YouTube เช่น The Trading Channel, Tastytrade
  • เข้าร่วมกลุ่มหรือฟอรัม เช่น Reddit r/options
  • อ่านบทวิเคราะห์และ Option Chain จากโบรกเกอร์

เริ่มเทรดเงินจริงแบบควบคุมความเสี่ยง

  • ใช้เงินจริงทีละน้อย ไม่เกิน 2% ต่อเทรด
  • ใช้เฉพาะกลยุทธ์ที่ซ้อมมาแล้วใน Demo
  • มีวินัย รู้จักรับกำไรเล็กและหยุดเมื่อขาดทุน

ประเมินผลและปรับปรุง

  • สรุปผลการเทรดทุกเดือน
  • วิเคราะห์กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลและความเข้าใจผิด
  • บันทึกไดอารี่เทรดเพื่อพัฒนาต่อเนื่อง

คลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้อง 

  • ขอแนะนำคลิปที่เกี่ยวกับการทำความ รู้จัก Options ตัวช่วยนักลงทุนสร้างกลยุทธ์พิชิตทุกสภาพตลาดจากช่องไดอารี่การเงิน – Money Diaries

สรุป

ตลาด Options คือพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ซื้อสิทธิ์ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในอนาคตตามราคาที่ตกลงกันไว้โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง ต่างจากตลาด Forex ที่เน้นการซื้อขายสกุลเงินแบบตรง ๆ Options ช่วยเพิ่มโอกาสบริหารความเสี่ยงและทำกำไรด้วยต้นทุนและความเสี่ยงที่จำกัดกว่า จึงเหมาะกับคนที่ต้องการกลยุทธ์ลงทุนที่ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้นเมื่อเทียบกับการ เทรด Forex แบบทั่วไป.

อ้างอิง

FAQ — ตลาด Options คืออะไร เข้าใจใน 5 นาที 

จริงแน่นอน แต่จริงแค่ครึ่งเดียว ที่ว่าขาดทุนจำกัดก็ถูกต้อง เพราะยังไงเราก็เสียเงินไม่เกินค่าพรีเมียมที่จ่ายไปอยู่แล้ว แต่ที่คนมักมองข้ามคือ โอกาสที่จะเสียค่าพรีเมียมก้อนนั้นไปทั้งหมด มีสูงมาก เพราะ Options เป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าลดลงทุกวันจาก Time Decay (Theta) ไม่ต่างจากถือหวยที่มีวันหมดอายุ ถ้าทิศทางราคาไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ เร็วและแรงพอ ก่อนวันหมดอายุ สิทธิ์ที่ซื้อมาก็จะหมดค่ากลายเป็นศูนย์ เกมนี้ไม่ใช่แค่ทายทิศทาง แต่ต้องแข่งกับเวลาด้วย
เพราะ Options ให้ความได้เปรียบทั้งในเรื่องกลยุทธ์และเงินทุน คือมีทั้ง Leverage และให้ความยืดหยุ่น จะใช้ Options ไว้ป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตได้ เป็น Hedging หรือแม้แต่ทำกำไรในตอนที่ตลาดนิ่งๆ ไม่ไปไหนเลย Options เลยไม่ใช่แค่เครื่องมือเก็งกำไร แต่ถ้าใช้เป็นก็ได้ทั้งรุกและรับในอันเดียวกัน
ประโยชน์มหาศาล และนี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนสายถือยาวในต่างประเทศใช้กันเป็นปกติ เช่น ถือหุ้นอยู่เต็มพอร์ต แต่กังวลว่าตลาดระยะสั้นจะปรับฐานแรง ก็สามารถ Put Options ของหุ้นที่ถือ หรือดัชนีตลาด มาถือไว้ได้ เป็นเหมือนกรมธรรม์ประกันภัย ถ้าราคาหุ้นตกจริง มูลค่าของ Put Options ที่ซื้อไว้จะสูงขึ้น มาชดเชยการขาดทุนในพอร์ตหลัก ด้วยต้นทุนที่ต่ำ เลยเป็นอีกวิธีป้องกันพอร์ตที่มีประสิทธิภาพมาก ต่างจาก Hedge แบบถือ 2 ฝั่งที่เมื่อราคาไม่ไปไหน ก็จะติดทั้งคู่ (ต้นทุนสูง + วางแผนยาก + อาจติดทั้งสองฝั่งไปยาวๆ)
การเทรด Options ในไทยจะผ่านตลาด TFEX แต่ตอนนี้มีให้เทรดแค่ SET50 Index Options ไม่สามารถเทรด Options ของหุ้นรายตัว พวก Tesla หรือ Apple ได้ตรง ๆ เหมือนในตลาดต่างประเทศ ทำให้คนไทยที่ต้องการเทรด ต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ในต่างประเทศที่ให้บริการ Options เช่น Interactive Brokers หรือ ThinkorSwim 
การทำกำไรจาก Options แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือการทายทิศทาง (Direction) + ขนาดของการเคลื่อนไหว (Magnitude) + กรอบเวลา (Timeframe) ที่ต้องตอบให้ได้ว่า ราคาจะไปทางไหน? จะไปถึงราคาเท่าไหร่? และจะไปถึงภายในเมื่อไหร่? ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งไป โอกาสที่จะเสียค่าพรีเมียมฟรีๆ ก็มีสูง

 

เขียนโดย

Somchai Witthtaya

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon