BOJ คือใคร? ทำไมธนาคารกลางญี่ปุ่นถึงสำคัญกับตลาดโลก
- Bank of Japan หรือ BOJ คือธนาคารกลางของประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปี 1882
- มีหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพของราคาเงินเฟ้อ เสถียรภาพทางการเงิน และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- เป็นองค์กรอิสระ แต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลญี่ปุ่นในเชิงนโยบาย
ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น
- Kazuo Ueda ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2023
- นักเศรษฐศาสตร์ จบปริญญาเอกจาก MIT
- อดีตศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียว มีประสบการณ์เชิงนโยบายยุค ดร. Kuroda
- ปัจจุบันเน้นเดินหน้าเพิ่มดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป (ล่าสุด 0.5%) ในกรณีที่เงินเฟ้อและเศรษฐกิจเป็นไปตามเป้า
รองผู้ว่าการ (Deputy Governors)
- Shinichi Uchida
- Ryozo Himino
- ทั้งสองร่วมงาน BOJ ในปี 2023 โดยมีบทบาทในการกำหนดนโยบายทั่วไป
คณะกรรมการนโยบาย
Policy Board รวม 9 ท่าน นอกจากผู้ว่าการและรองผู้ว่าการ ยังมีผู้บริหารและอาจารย์เศรษฐศาสตร์ที่ลงมติร่วม
- Junko Nakagawa – มองสมดุลระหว่างอัตราดอกเบี้ยด้านลบและเงินเฟ้อ
- Hajime Takata, Naoki Tamura – มีแนวโน้มหย่อนนโยบาย เฝ้ากังวลผลกระทบจากการผ่อนคลาย
- Asahi Noguchi, Toyoaki Nakamura – สาย “พกพาน้ำหนัก” (dove) ที่ค่อนข้างกังวล SMEs และเสถียรภาพสังคม
- Junko Koeda – เข้าร่วมปี 2025 เสนอปรับนโยบายใกล้เคียงธนาคารกลางหลักของโลก ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ (Executive Directors)
- Koji Nakamura ได้รับแต่งตั้งเป็น Executive Director ดูแลนโยบายและตลาดการเงินเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2025
- ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจญี่ปุ่น เคยเป็นหัวหน้างานวิจัย
- ประสบการณ์ในช่วง BOJ เริ่มปรับดอกเบี้ยหลังสิ้นสุด QE
- Tokiko Shimizu
- ประธานกรรมการฝ่ายนโยบายการเงิน (Executive Director) และเป็นผู้หญิงคนแรกรับตำแหน่งนี้ในประวัติศาสตร์ปี 2020
ตารางสรุปตำแหน่งสำคัญ และ จุดเด่นของแต่ละตำแหน่ง
ตำแหน่ง | ชื่อ | จุดเด่น |
---|---|---|
ผู้ว่าการ | Kazuo Ueda | เน้นขึ้นดอกเบี้ยสู่เป้าเงินเฟ้อ 2% |
รองผู้ว่าการ | Shinichi Uchida / Ryozo Himino | ย้าย BOJ ไปสู่กรอบนโยบายแบบทั่วไป |
กรรมการนโยบาย | มีหลายคน, ล่าสุดเพิ่ม Junko Koeda | เพิ่มเสียงสนับสนุนการปรับนโยบายเข้มข้น |
Executive Director | Koji Nakamura | เสริมแนวคิดเศรษฐกิจเข้มข้น |
Executive Director | Tokiko Shimizu | ย้ำบทบาทผู้บริหารฝ่ายนโยบาย |
- ญี่ปุ่นเป็นเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลก จึงทำให้การเคลื่อนไหวของ BOJ ส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดเอเชีย ยุโรป และสหรัฐ
- เงินเยนเป็นหนึ่งในสกุลเงินหลักของโลก และถูกใช้เป็นสกุลเงินปลอดภัยในยามตลาดเผชิญความเสี่ยง (Safe Haven)
- นักลงทุนทั่วโลกต้องติดตามนโยบาย BOJ ใกล้ชิด เพราะสามารถกระตุ้นความผันผวนในคู่เงิน JPY ได้ในระดับสูง
- ทุกคำพูดของผู้ว่าการ BOJ มีน้ำหนักต่อตลาด โดยเฉพาะการส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงนโยบาย
- ค่าเงินเยนสามารถแข็งหรืออ่อนได้หลายร้อย pip ในเวลาอันสั้น หาก BOJ เปลี่ยนทิศทางนโยบาย
- นักลงทุนทั้งสายพื้นฐานและเทคนิคจึงจับตาคำแถลงของ BOJ อย่างใกล้ชิดทุกครั้งที่มีการประชุมหรือแถลงข่าว
ภาพเผยให้เห็นถึง Kazuo Ueda ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ของ Bank Of Japan โดยมี สมาชิก Policy Board รวม 9 ท่าน
นโยบายการเงินของ BOJ: จากดอกเบี้ยติดลบสู่การพิมพ์เงินไม่อั้น
- ตั้งแต่ยุคฟองสบู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นแตกในช่วงต้นยุค 90 BOJ เริ่มใช้ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ดอกเบี้ยของญี่ปุ่นถูกลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 0 และเข้าสู่โซนดอกเบี้ยติดลบในปี 2016
- เป้าหมายของการลดดอกเบี้ยคือ กระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน และลดแรงกดดันจากเงินฝืด
- นอกจากการลดดอกเบี้ย BOJ ยังซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) จำนวนมหาศาล เพื่ออัดฉีดสภาพคล่อง
- BOJ ใช้นโยบาย Yield Curve Control โดยกำหนดเพดานผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี เพื่อควบคุมโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยระยะยาว
- รูปแบบการใช้นโยบายของ BOJ ถูกวิจารณ์ว่า “อัดเงินไม่อั้น” โดยไม่ได้หยุดพัก แม้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวบางช่วง
- ความยาวนานของนโยบายแบบผ่อนคลายสุดขั้วนี้ ทำให้ BOJ แตกต่างจากธนาคารกลางอื่นอย่างชัดเจน
สรุปนโยบายเด่นของ BOJ ในช่วง 10 ปีหลัง
2015 – การเร่ง QE และการซื้อ ETF เพิ่ม
- BOJ เดินหน้านโยบาย “Quantitative and Qualitative Monetary Easing” (QQE) ที่เริ่มตั้งแต่ 2013
- เพิ่มขนาดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) และเริ่มซื้อ ETF ในตลาดหุ้น
- เป้าหมายคือกระตุ้นเงินเฟ้อให้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในระยะสั้น
ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ มกราคม 2016 ได้ออกมาเปิดเผยว่า BOJ ประกาศดอกเบี้ย -0.1% โดยมีจุดประสงค์คือ กดดันให้ธนาคารปล่อยกู้
2016 – ประกาศใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ (Negative Interest Rate)
- เดือนมกราคม 2016 BOJ ประกาศดอกเบี้ย -0.1 เปอร์เซ็นต์ สำหรับส่วนเกินของเงินฝากธนาคารพาณิชย์
- เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ
- จุดประสงค์เพื่อกดดันให้ธนาคารปล่อยกู้แทนการเก็บเงินไว้กับ BOJ
- ที่มาข่าว: BOJ jolts markets in surprise change to yield curve policy
2016 – เริ่มใช้ Yield Curve Control (YCC)
- เดือนกันยายน 2016 BOJ เปิดตัวนโยบาย “Yield Curve Control”
- กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ให้อยู่รอบ 0 เปอร์เซ็นต์
- เป็นการควบคุมทั้งดอกเบี้ยระยะสั้น (ผ่านอัตราดอกเบี้ยติดลบ) และระยะยาว (ผ่าน YCC) พร้อมกัน
- ที่มาข่าว: Yield Curve Control (YCC)
2017–2019 – คงนโยบายผ่อนคลาย แม้เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น
- BOJ ยังไม่ยกเลิกมาตรการใดแม้ GDP โตขึ้นบ้าง เพราะเงินเฟ้อยังไม่ถึงเป้าหมาย
- ยังคงซื้อพันธบัตร หุ้น ETF และตราสาร REIT ต่อเนื่อง
- ตลาดเริ่มวิจารณ์ว่า BOJ ติดกับดักนโยบายดอกเบี้ยต่ำถาวร
- ที่มาข่าว: อ่านคลิก
2020 – COVID-19 และการขยายขนาด QE อีกครั้ง
- ในช่วงการระบาดของ COVID-19 BOJ ขยายขอบเขตการซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
- เพิ่มการปล่อยกู้พิเศษแก่ภาคธุรกิจขนาดเล็ก
- สนับสนุนเสถียรภาพของตลาดการเงินภายในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด
2022 – เงินเฟ้อทั่วโลกสูง แต่ BOJ “ยังคงผ่อนคลาย”
- ขณะที่ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มขึ้นดอกเบี้ย BOJ ยังคงดอกเบี้ยติดลบและคุม YCC ต่อ
- เงินเยนอ่อนค่าหนักสุดในรอบ 32 ปี ทำให้ ตลาด Forex ผันผวนรุนแรง
- นักลงทุนจับตาว่า BOJ จะทนแรงกดดันของตลาดได้นานแค่ไหน
- ที่มาข่าว: BOJ jolts markets in surprise change to yield curve policy
ปลายปี 2022 – ขยายเพดาน YCC เป็น 0.50 เปอร์เซ็นต์
- BOJ ปรับเพดานผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี จาก ±0.25 เปอร์เซ็นต์ เป็น ±0.50 เปอร์เซ็นต์
- ตลาดตีความว่า BOJ เริ่มส่งสัญญาณเปลี่ยนนโยบาย ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าฉับพลัน
2023 – การเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ BOJ
- นาย Kazuo Ueda ขึ้นเป็นผู้ว่าการ BOJ คนใหม่ แทนนาย Haruhiko Kuroda
- ตลาดคาดหวังว่าจะเริ่มปรับนโยบายการเงิน แต่ BOJ ยังย้ำว่าจะยังคงผ่อนคลาย
- เงินเยนยังเคลื่อนไหวรุนแรงตามคำพูดของผู้ว่าฯ BOJ คนใหม่
2024 – เริ่มส่งสัญญาณเตรียม Exit Strategy อย่างระมัดระวัง
- BOJ เริ่มประเมินผลกระทบของดอกเบี้ยติดลบและ YCC ในระยะยาว
- ตลาดเริ่มคาดว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี หากเงินเฟ้อเริ่มนิ่ง
- ยังไม่ตัดสินใจชัดเจนว่าจะเลิก QE เมื่อใด
- ที่มาข่าว: BOJ’s long battle with deflation and the great unwinding
2025 – ความไม่แน่นอนยังคงอยู่
- แม้จะมีแรงกดดันให้เลิกใช้นโยบายผ่อนคลายสุดขั้ว แต่ BOJ ยังกังวลเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ
- นักลงทุนยังต้องจับตานโยบาย BOJ อย่างใกล้ชิด เพราะเพียงคำพูดหรือสัญญาณเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนทิศทางของ JPY ได้ทันที
ภาพนี้อธิบายได้จากข่าว รอยเตอร์ เกี่ยวกับปี 2024 ที่ BOJ มีการประเมินผลกระทบของดอกเบี้ยติดลบ แน่นอนว่าปี 2025 ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ เพราะจะต้องจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
Quantitative Easing สไตล์ญี่ปุ่น: พิมพ์เงินแล้วทำอะไรต่อ?
- การพิมพ์เงินของ BOJ ไม่ใช่การพิมพ์ธนบัตรจริง แต่เป็นการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินในตลาด เช่น พันธบัตรและ ETF
- เป้าหมายคือทำให้ธนาคารมีเงินเหลือใช้มากขึ้น เพื่อปล่อยกู้และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
- BOJ เป็นธนาคารกลางรายแรกๆ ที่เริ่มใช้มาตรการ QE อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2001
- ในช่วงหนึ่ง BOJ เป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ
- นอกจากพันธบัตรรัฐบาล BOJ ยังถือหุ้น ETF และสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับตลาดหุ้นอีกจำนวนมาก
- การพิมพ์เงินต่อเนื่องทำให้ขนาดงบดุลของ BOJ พุ่งทะลุระดับ 100+ เปอร์เซ็นต์ของ GDP
- งบดุลของ BOJ เคยพุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 760 ล้านล้านเยน ซึ่งใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ของญี่ปุ่นทั้งประเทศที่อยู่ที่ประมาณ 590-600 ล้านล้านเยน
- Bank of Japan (BOJ): งบดุลเคยสูงถึงประมาณ 130% ของ GDP ญี่ปุ่น
- European Central Bank (ECB): งบดุลสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 70% ของ GDP ยูโรโซน
- Federal Reserve (Fed) ของสหรัฐฯ: งบดุลสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP สหรัฐฯ
- แม้นโยบายจะช่วยให้เศรษฐกิจไม่ถดถอยหนัก แต่ก็มีคำถามเรื่องประสิทธิภาพในระยะยาว?
ทำไมเงินเยนจึงผันผวน? แม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศเศรษฐกิจมั่นคง
- เงินเยนถือเป็นสกุลเงินที่มีบทบาท Safe Haven เมื่อตลาดโลกเกิดความไม่แน่นอน เงินเยนจะได้รับความนิยม
- นโยบายการเงินของ BOJ ส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินเยน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยและปริมาณเงิน
- ในช่วงที่ BOJ ใช้ดอกเบี้ยติดลบ เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์จึงใช้เป็นสกุลเงิน Funding Currency
- เมื่อนักลงทุนทั่วโลกใช้เงินเยนกู้ไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นหรืออสังหา เมื่อเกิดความกลัวในตลาด พวกเขาจะปิดสถานะและกลับมาถือเงินเยน ทำให้เกิดการแข็งค่ารุนแรง
- ความผันผวนของเงินเยนจึงไม่ได้มาจากตัวเศรษฐกิจญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมของตลาดโลกด้วย
- การตัดสินใจเพียงเล็กน้อยของ BOJ เช่น ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย หรือหยุดซื้อพันธบัตร สามารถทำให้คู่เงิน JPY เคลื่อนไหวรุนแรงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ภาพแสดงถึงการเปิดตัว ธนบัตรใหม่ปี 2024 ที่มีการปรับโฉมธนบัตร 10,000 / 5,000 และ 1,000 เยน ใหม่
ตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่ BOJ ส่งแรงกระเพื่อมให้ตลาด Forex
- ปี 2016 BOJ ประกาศใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบครั้งแรก ส่งผลให้ USDJPY พุ่งขึ้นเกือบพัน pip ภายในเดือนเดียว
- ปี 2022 นักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่า BOJ จะเลิกคุม Yield Curve ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี
- เดือนธันวาคม 2022 BOJ ขยายเพดานอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ทำให้เงินเยนแข็งกว่า 300 pip ในวันเดียว
- ปี 2023 BOJ เปลี่ยนผู้ว่าการใหม่ ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิดว่าทิศทางนโยบายจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่อคู่เงิน JPY แทบทุกสัปดาห์
- แต่ละเหตุการณ์เหล่านี้ถูก เทรดเดอร์ ทั่วโลกจับตามอง เพราะการเข้าเทรดผิดจังหวะ อาจเจอความผันผวนรุนแรงจนพอร์ตเสียหาย
เทคนิคเทรดเงินเยนจากความผันผวนของนโยบาย BOJ
- ศึกษาตารางการประชุม BOJ ล่วงหน้า เพราะทุกคำพูดของผู้ว่าการมีผลต่อค่าเงิน
- ใช้กลยุทธ์รอความชัดเจนก่อนเข้าเทรด โดยสังเกตท่าทีของตลาดหลังข่าวออกแล้วประมาณ 15 ถึง 30 นาที
- หาก BOJ ยังใช้นโยบายเดิมต่อ เงินเยนอาจอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะคู่ USDJPY
- หาก BOJ ส่งสัญญาณเข้มงวด เช่น พูดถึงการลด QE หรือเลิกควบคุมอัตราผลตอบแทน JPY มักแข็งค่ารุนแรง
- หลีกเลี่ยงการตั้ง Stop Loss สั้นเกินไปเมื่อเทรดช่วงข่าว BOJ เพราะอาจเจอ Fake Move
- วางแผนเทรดล่วงหน้าโดยใช้แนวรับแนวต้านจากกราฟใหญ่ เช่น Time Frame H4 หรือ D1
- เลือกใช้โบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำและ Requote น้อยในช่วงข่าว เพราะการเข้าออกตลาดมีผลต่อกำไรอย่างมาก
ข้อควรระวังเมื่อเทรดคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับ JPY
- คู่เงิน JPY มักมี Spread ขยายในช่วงข่าวแรง โดยเฉพาะ USDJPY, EURJPY, GBPJPY
- ความผันผวนสูงอาจทำให้การวาง SL และ TP ไม่สัมพันธ์กับ Risk Reward
- บางโบรกเกอร์มี Slippage รุนแรงในช่วง BOJ ประกาศนโยบายหรือช่วงตลาดเปิดโตเกียว
- ควรทดสอบกลยุทธ์ในบัญชีเดโมก่อนใช้เงินจริง โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ใช้เทรดตามข่าว
- อย่าประมาทความแรงของกราฟแม้จะดูนิ่ง เพราะ BOJ อาจแถลงนอกกำหนด หรือใช้คำที่สื่อถึงการเปลี่ยนทิศทางนโยบายได้ตลอดเวลา
ภาพอธิบายถึงสถานที่ตั้งของ BOJ ตั้งอยู่เลขที่ 2-1-1 นิฮอนบาชิ-ฮงโกกุโช เขตชูโอ กรุงโตเกียว 103-0021 ประเทศญี่ปุ่น
คลิปที่น่าสนใจ
- เปิดคลิปที่น่าสนใจ เป็นประเด็นการพูดคุยในเรื่อง BOJ ขึ้นดอกเบี้ยทีไร…บรรลัยทุกที หรือว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง Podcast Available จากช่อง Beauty Investor
สรุป
- นโยบายการเงินของ BOJ สร้างผลกระทบในวงกว้างต่อค่าเงินเยน และตลาดการเงินทั่วโลก
- เทรดเดอร์ที่เข้าใจพฤติกรรมของ BOJ จะสามารถวางกลยุทธ์เทรด JPY ได้อย่างแม่นยำขึ้น
- แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นดูมีเสถียรภาพ แต่ค่าเงินเยนยังคงผันผวนอย่างมาก จึงต้องอาศัยการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
- การเทรด JPY ไม่ใช่แค่เรื่องกราฟ แต่ต้องผสมผสานการวิเคราะห์นโยบาย การเงิน สถิติ และพฤติกรรมตลาดร่วมด้วย
- ใครที่สามารถใช้โอกาสจากความผันผวนของ BOJ ได้ดี ย่อมมีโอกาสทำกำไรเหนือกว่าคู่เงินอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน
อ้างอิง
- Bank of Japan: https://en.wikipedia.org/wiki/Bank_of_Japan?utm_source=chatgpt.com
- Policy Board: https://www.boj.or.jp/en/about/organization/policyboard/index.htm
- Bank of Japan board reshuffle to bring it closer to ‘normal’ central banking: https://www.reuters.com/markets/asia/bank-japan-board-reshuffle-bring-it-closer-normal-central-banking-2025-01-30/?utm_source=chatgpt.com
- BOJ to keep raising rates if economy improves, Governor Ueda says: https://www.reuters.com/markets/asia/boj-keep-raising-rates-if-economy-improves-governor-ueda-says-2025-06-20/?utm_source=chatgpt.com
FAQ — รู้จัก BOJ ธนาคารกลางที่ “พิมพ์เงิน” ดุที่สุดในโลก และวิธีทำกำไรจากความผันผวนของเงินเยน
QE ของสหรัฐฯ กับ QE ของญี่ปุ่นแม้จะใช้ชื่อเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน คือกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต่างกันทั้งในแง่เป้าหมาย และระดับความเข้มข้น ในส่วนของสหรัฐฯ เริ่มใช้ QE ในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 (Hamburger) เพื่อกู้ชีพระบบเศรษฐกิจ ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปเยอะๆ หวังลดดอกเบี้ยระยะยาวและกระตุ้นการปล่อยกู้
แต่ในส่วนของญี่ปุ่นใช้ QE แบบสุดขั้ว Pro Max (หรือที่ BOJ เรียกว่า QQE – Quantitative and Qualitative Monetary Easing) เพื่อเปลี่ยนจิตวิทยา—ทำลายกำแพงระบบเศรษฐกิจที่ติดเงินฝืดมายาวนาน ด้วยการไม่ใช่แค่ซื้อพันธบัตร แต่ยังรวมถึง ETF และ REIT เพื่อสร้าง “Wealth Effect” กระตุ้นให้ผู้บริโภคมั่นใจและกล้าใช้จ่ายมากขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ สหรัฐฯ พยายามซ่อมกลไกตลาดที่พัง แต่ญี่ปุ่นกำลังพยายามสร้างกลไกใหม่ขึ้นมาทั้งระบบ