ข่าว PPI (Producer Price Index) คืออะไร

PPI หรือ Producer Price Index (ดัชนีราคาผู้ผลิต) คือ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตได้รับจากการขายในระดับค้าส่ง โดย PPI มักถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้เงินเฟ้อในอนาคต เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นในระดับผู้ผลิตอาจถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค ส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และนโยบายการเงินของธนาคารกลาง

ข่าว PPI ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ราคาพลังงานที่พุ่งสูง สงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน การประกาศ PPI ที่สูงหรือต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ มักทำให้เกิดความผันผวนในตลาด Forex ทั้ง คู่เงินสินทรัพย์ ทองคำ หุ้น และพันธบัตร

เมื่อไหร่ที่ PPI กลายเป็นข่าวใหญ่?

  • เมื่อ PPI สูงเกินคาด: บ่งชี้ว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve (Fed) อาจพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้สกุลเงินแข็งค่า
  • เมื่อ PPI ต่ำเกินคาด: สะท้อนว่าต้นทุนการผลิตลดลงหรืออุปสงค์อ่อนแอ อาจนำไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงิน เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้สกุลเงินอ่อนค่า
  • ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2025 PPI สหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมชะลอตัวจาก 0.5% เป็น 0.3% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 0.4% สร้างความผันผวนใน USD และเพิ่มความคาดหวังว่า Fed อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องรู้เกี่ยวกับ PPI

PPI วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในระดับผู้ผลิต ซึ่งแตกต่างจาก CPI ที่วัดในระดับผู้บริโภค โดยครอบคลุมภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การผลิต การเกษตร การก่อสร้าง และบริการ

  • การคำนวณ PPI: คำนวณจากราคาขายของสินค้าและบริการในระดับค้าส่ง โดยเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์
  • ประเภทของ PPI:
    • PPI สินค้าสำเร็จรูป (Final Demand): วัดราคาสินค้าที่พร้อมจำหน่ายให้ผู้บริโภค
    • PPI สินค้ากึ่งสำเร็จรูป: วัดราคาวัตถุดิบหรือสินค้าที่ใช้ในกระบวนการผลิต
    • PPI ตามอุตสาหกรรม: วัดราคาในภาคส่วนเฉพาะ เช่น พลังงานหรือการก่อสร้าง
  • ความถี่ในการประกาศ:
    • สหรัฐฯ: ประกาศโดย Bureau of Labor Statistics (BLS) ทุกเดือน ราววันที่ 10-15 ของเดือนถัดไป
    • ประเทศอื่น ๆ: เช่น ยูโรโซน (โดย Eurostat) และญี่ปุ่น (โดย Bank of Japan) มีกำหนดการคล้ายกัน
  • ความสัมพันธ์กับเงินเฟ้อ: PPI มักนำหน้า CPI เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นในระดับผู้ผลิตอาจถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค
  • ผลกระทบต่อตลาด:
    • PPI สูงเกินคาด: สกุลเงินแข็งค่า (Hawkish signal)
    • PPI ต่ำเกินคาด: สกุลเงินอ่อนค่า (Dovish signal)

ข้อดีและข้อเสียของข่าว PPI

ข้อดี

  • ตัวบ่งชี้เงินเฟ้อล่วงหน้า: PPI ช่วยคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อก่อนที่ CPI จะสะท้อน ทำให้นักลงทุนสามารถเตรียมตัวล่วงหน้า
  • สร้างโอกาสในตลาด: การประกาศ PPI มักทำให้เกิดความผันผวนในคู่สกุลเงิน เช่น USD/JPY หรือ EUR/USD สร้างโอกาสทำกำไร
  • ครอบคลุมหลายภาคส่วน: PPI วัดราคาในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พลังงาน การผลิต และบริการ ทำให้เป็นตัวชี้วัดที่ครอบคลุม
  • ข้อมูลโปร่งใส: รายงาน PPI เผยแพร่โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น BLS พร้อมคำอธิบาย ทำให้เทรดเดอร์วิเคราะห์ได้ง่าย
  • ช่วยคาดการณ์นโยบายการเงิน: PPI ที่สูงหรือต่ำเกินคาดช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์การตัดสินใจของธนาคารกลาง เช่น การขึ้นหรือลดดอกเบี้ย
  • สนับสนุน Carry Trade: PPI ที่สูงอาจนำไปสู่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้สกุลเงินนั้นน่าสนใจสำหรับ Carry Trade

ข้อเสีย

  • ความผันผวนที่รุนแรง: หาก PPI ผิดจากที่คาดการณ์มาก อาจทำให้ตลาดผันผวนเกินคาด เสี่ยงต่อการขาดทุน
  • ผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราว: ราคาวัตถุดิบ เช่น น้ำมันหรือโลหะ อาจผันผวนจากเหตุการณ์ชั่วคราว ทำให้ PPI ไม่สะท้อนภาพรวมที่แท้จริง
  • ความซับซ้อนในการตีความ: PPI มีหลายประเภท เช่น สินค้าสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์ซับซ้อน
  • ขึ้นอยู่กับบริบท: PPI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องพิจารณาควบคู่กับ CPI, การจ้างงาน หรือ GDP
  • ความแตกต่างระหว่างประเทศ: การคำนวณ PPI อาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทำให้เปรียบเทียบข้ามสกุลเงินได้ยาก
  • อาจถูกตีความผิด: การสื่อสารจากนักวิเคราะห์หรือธนาคารกลางเกี่ยวกับ PPI อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในตลาด

รู้จัก PPI: ดัชนีราคาผู้ผลิต

ประวัติและการพัฒนา

  • เริ่มใช้เมื่อใด: PPI เริ่มใช้ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1902 โดย BLS เดิมชื่อ Wholesale Price Index (WPI) และเปลี่ยนเป็น PPI ในปี 1978 เพื่อครอบคลุมภาคบริการ
  • หน่วยงานที่รับผิดชอบ:
    • สหรัฐฯ: Bureau of Labor Statistics (BLS)
    • ยูโรโซน: Eurostat
    • ญี่ปุ่น: Bank of Japan (BOJ)
  • วัตถุประสงค์: วัดต้นทุนการผลิตเพื่อติดตามเงินเฟ้อในระดับค้าส่ง และสนับสนุนการกำหนดนโยบายการเงิน

โครงสร้างการคำนวณ

  • ตะกร้าสินค้าและบริการ: ครอบคลุมสินค้าวัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป และสินค้าสำเร็จรูป รวมถึงบริการ เช่น การขนส่ง
  • น้ำหนักของหมวดหมู่: ขึ้นอยู่กับความสำคัญของอุตสาหกรรม เช่น พลังงานและการผลิตมีน้ำหนักสูง
  • การเก็บข้อมูล: รวบรวมจากผู้ผลิตและผู้ให้บริการทั่วประเทศ

ทำไม PPI ถึงสำคัญกับการเทรด Forex?

1. ขับเคลื่อนสกุลเงิน (Currency Driver)

PPI สูงเกินคาด = สกุลเงินแข็งค่า

  • ตัวอย่างจริง: ถ้า PPI สหรัฐฯ ออกมา 0.5% แต่คาดการณ์ไว้ 0.3% USD จะแข็งค่าทันที
  • กลไก: ตลาดคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น นักลงทุนซื้อ USD ราคา USD ขึ้น
  • ข้อมูลประกอบ: USD/JPY อาจพุ่งขึ้น 50-100 pips ภายใน 15 นาทีแรก

PPI ต่ำเกินคาด = สกุลเงินอ่อนค่า

  • ตัวอย่างจริง: PPI ออกมา 0.1% แต่คาดไว้ 0.4% USD อ่อนค่าลง
  • เหตุผล: แรงกดดันเงินเฟ้อน้อย Fed ไม่ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย USD น่าสนใจน้อยลง
  • ผลกระทบ: EUR/USD อาจขึ้น 60-120 pips ในวันเดียว

2. สร้างความผันผวน (Volatility Creation)

ความเคลื่อนไหวรุนแรงในช่วงสั้น

  • ก่อนข่าว: คู่เงิน USD/JPY เคลื่อนไหว 20-30 pips/ชั่วโมง (ปกติ)
  • หลังข่าว PPI: อาจเคลื่อนไหว 80-150 pips ใน 30 นาทีแรก
  • โอกาสการเทรด: Scalper สามารถทำกำไร 30-50 pips ภายใน 10 นาที

ตัวอย่างการเคลื่อนไหวจริง:

  • EUR/USD: จาก 1.0850 เป็น 1.0920 ใน 20 นาที (70 pips)
  • GBP/USD: จาก 1.2650 เป็น 1.2580 ใน 15 นาที (70 pips)
  • AUD/USD: มักผันผวนมากกว่าคู่อื่น เพราะเป็นสกุลเงิน Risk-On

3. ให้สัญญาณเงินเฟ้อระยะยาว (Long-term Inflation Signal)

PPI เป็นตัวนำ CPI 1-2 เดือน

  • กลไก: ต้นทุนผู้ผลิตเพิ่ม ราคาสินค้าแพงขึ้น CPI สูงตาม
  • ตัวอย่าง: PPI สูง 3 เดือนติด คาดว่า CPI จะสูงตาม Fed ขึ้นดอกเบี้ยแน่นอน

การวิเคราะห์แนวโน้ม:

  • PPI เฉลี่ย 6 เดือน > 0.4%/เดือน = สัญญาณเงินเฟ้อกดดัน
  • แนวโน้มขาขึ้น: Fed อาจขึ้นดอกเบี้ย 0.25-0.50% ในการประชุมถัดไป
  • ผลต่อ USD: แข็งค่าค่อยเป็นค่อยไป 2-3% ใน 3-6 เดือน

4. ส่งผลต่อสกุลเงินอื่น (Spillover Effect)

PPI สหรัฐฯ กระทบ Commodity Currencies

  • CAD (ดอลลาร์แคนาดา): PPI สหรัฐฯ สูง ความต้องการน้ำมันเพิ่ม ราคาน้ำมันขึ้น CAD แข็งค่า
  • AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย): PPI สูง ความต้องการโลหะเพิ่ม ราคาทองแดง/เหล็กขึ้น AUD แข็งค่า
  • NZD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์): มักเคลื่อนไหวตาม AUD เพราะเศรษฐกิจคล้ายกัน
  • ความเชื่อมโยงทางการค้า:
  • สหรัฐฯ-แคนาดา: การค้า 70% PPI สหรัฐฯ กระทบ CAD โดยตรง
  • สหรัฐฯ-เม็กซิโก: MXN มักอ่อนค่าเมื่อ USD แข็ง เพราะเป็นคู่ค้าหลัก

5. โอกาส Carry Trade (Interest Rate Differential)

PPI สูง ดอกเบี้ยสูง Carry Trade

  • กลไก: PPI สหรัฐฯ สูงต่อเนื่อง Fed ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 5.5% ส่วนต่างดอกเบี้ย USD-JPY เป็น 5.0%
  • กลยุทธ์: กู้เงินเยน (ดอกเบี้ยต่ำ 0.5%) ไปลงทุน USD (ดอกเบี้ยสูง 5.5%) = กำไร 5.0%/ปี
  • ความเสี่ยง: ถ้า USD อ่อนค่า 5% จะขาดทุนแม้ได้ดอกเบี้ย
  • ตัวอย่างการคำนวณ Carry Trade:
  • เงินลงทุน: $100,000
  • ส่วนต่างดอกเบี้ย: 5%/ปี = $5,000/ปี = $416/เดือน
  • แต่: ถ้า USD/JPY ลดลง 2% = สูญเสีย $2,000 ใน 1 เดือน

6. ตัวชี้วัดความเชื่อมั่น (Confidence Indicator)

PPI สูง = เศรษฐกิจแข็งแกร่ง

  • ตรรกะ: ผู้ผลิตขายได้ราคาสูง อุปสงค์แข็งแกร่ง เศรษฐกิจดี
  • ผลต่อ Risk Appetite: นักลงทุนกล้าเสี่ยงมากขึ้น ซื้อสกุลเงิน Risk-On (AUD, NZD, SEK)
  • ขายสกุลเงิน Safe Haven: ขาย JPY, CHF, USD (ในบางกรณี)

Risk-On vs Risk-Off:

  • Risk-On (PPI สูง): AUD/JPY, NZD/JPY, EUR/JPY ขึ้น
  • Risk-Off (PPI ต่ำมาก): USD/JPY, EUR/CHF ลง, Gold ขึ้น

7. ปฏิทินเศรษฐกิจชัดเจน (Predictable Schedule)

การวางแผนล่วงหน้า

  • กำหนดการ: PPI สหรัฐฯ ออกวันที่ 12-15 ของทุกเดือน เวลา 20:30 น. (เวลาไทย)
  • การเตรียมตัว: เทรดเดอร์สามารถ: 
    • ศึกษาข้อมูลล่วงหน้า 1-2 วัน
    • ตั้ง Pending Order ไว้ก่อนข่าว
    • วางแผน Risk Management

กลยุทธ์เฉพาะ:

  • ก่อนข่าว 30 นาที: ปิดทุก Position ที่ไม่จำเป็น
  • ช่วงข่าว: ใช้ OCO Order (Buy Stop + Sell Stop)
  • หลังข่าว 1 ชั่วโมง: วิเคราะห์แนวโน้มใหม่

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ PPI

ปัจจัยภายในประเทศ

  • ราคาวัตถุดิบ: การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน โลหะ หรือสินค้าเกษตร ส่งผลโดยตรงต่อ PPI
  • ต้นทุนการผลิต: ค่าแรงที่สูงขึ้นหรือต้นทุนพลังงานเพิ่ม ส่งผลให้ PPI สูงขึ้น
  • อุปสงค์ในภาคอุตสาหกรรม: ความต้องการสินค้าสูงขึ้นอาจผลักดันราคาในระดับผู้ผลิต

ปัจจัยระหว่างประเทศ

  • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก: ราคาน้ำมันหรือโลหะที่พุ่งสูง ส่งผลต่อ PPI ในหลายประเทศ
  • ห่วงโซ่อุปทาน: การหยุดชะงัก เช่น จากสงครามการค้าหรือ COVID-19 เพิ่มต้นทุนการผลิต
  • อัตราแลกเปลี่ยน: สกุลเงินที่อ่อนค่าทำให้วัตถุดิบนำเข้าแพงขึ้น ผลักดัน PPI

ปัจจัยด้านความเสี่ยง

  • ภัยธรรมชาติ: เช่น ภัยแล้งหรือน้ำท่วม อาจทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น
  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง: สงครามหรือความขัดแย้งอาจเพิ่มต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบ

ปัจจัยด้านเทคโนโลยี

  • นวัตกรรมการผลิต: เทคโนโลยีที่ลดต้นทุนอาจทำให้ PPI ลดลง
  • การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม: การใช้พลังงานหมุนเวียนอาจลดต้นทุนในบางภาคส่วน

 

ตัวอย่างข่าว PPI สหรัฐฯ

สรุปข่าวเศรษฐกิจ 12 มิถุนายน 2025

เหตุผลที่ต้องจับตา USD (7:30pm) – ข่าวหลัก

  • ข้อมูล Core PPI และ PPI ออกมา ต่ำกว่าคาดการณ์อย่างมาก
  • Core PPI ที่ 0.1% ต่ำกว่าคาดการณ์ 0.3%
  • PPI m/m ที่ 0.1% ต่ำกว่าคาดการณ์ 0.2%
  • Unemployment Claims เท่ากับก่อนหน้าที่ 248K แต่สูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อย

ผลกระทบ

  • USD อ่อนค่าลงอย่างรุนแรง หลังข้อมูล PPI ต่ำกว่าคาดการณ์ แสดงว่า:
  • แรงกดดันเงินเฟ้อลดลง
  • Fed อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
  • โอกาส Short USD ในระยะสั้น
  • GBP สัญญาณผสม – ภาคก่อสร้างดี แต่การผลิตและการค้ายังอ่อนแอ

ข่าวครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

สำหรับ USD: เงินเฟ้อที่ลดลงกว่าคาด หมายถึง Fed มีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบาย นักลงทุนเริ่มขายทิ้ง USD เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในสกุลเงินอื่น

สำหรับตลาดโดยรวม

  • Risk-on Sentiment เพิ่มขึ้น เพราะดอกเบี้ย USD อาจไม่ขึ้นต่อ
  • Carry Trade กลับมาน่าสนใจ
  • ตลาดหุ้น อาจได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย

Bottom Line

  • PPI ต่ำกว่าคาดการณ์อย่างมาก ทำให้ USD ถูกขายหนัก ตลาดคาดว่า Fed จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน นี่คือสัญญาณเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายการเงินสหรัฐ

วิเคราะห์การเคลื่อนไหวจากกราฟ USD/JPY

การเคลื่อนไหวจากกราฟ

  • ก่อนข่าว: ราคาอยู่ที่ประมาณ 145.000-145.200 ในช่วงท้ายวันที่ 11 มิ.ย.
  • หลังข่าว PPI: ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรงจาก 145.000+ มาที่บริเวณ 143.500-143.800
  • ปัจจุบัน: ราคาพยายาม Rebound เล็กน้อยขึ้นมาที่ 143.592 แต่ยังอยู่ใกล้ Support
  • การเปลี่ยนแปลง: ลดลงประมาณ 150-170 pips จากจุดก่อนข่าว

สิ่งที่เห็นชัดเจน

  • เกิด Gap Down อย่างรุนแรงหลังข่าว PPI
  • ราคาทะลุ Support ลำดับต่างๆ ลงมา
  • ตอนนี้กำลังติดอยู่ในโซน 143.068-143.592
  • แรงขายยังคงแรงมาก จากการที่ราคายังไม่สามารถกลับขึ้นไปหาระดับเดิมได้

นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงมากหลังข่าว PPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ทำให้ USD อ่อนค่าลงอย่างชัดเจน

คลิปที่น่าสนใจ

สรุปข้อมูลสำคัญ Producer Price Index (PPI)

  • นาทีที่ 0:15-0:19
    • ผู้เผยแพร่: Bureau of Labor Statistics (BLS) – หน่วยงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ
    • ชื่อเต็ม: Producer Price Index หรือ PPI
  • นาทีที่ 0:28-0:37
    • PPI = ตัวชี้วัดเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการ ของสหรัฐฯ
    • วัดการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของราคาขายสินค้าและบริการที่ผลิตในสหรัฐฯ
    • วัดจากมุมมองผู้ขาย (Seller’s perspective) ไม่ใช่ผู้บริโภค
    • ออกมาในรูปแบบดัชนีราคา (Price Indexes)
  • นาทีที่ 0:41-0:54
    • ครอบคลุม 10,000 ดัชนี สำหรับสินค้าแต่ละประเภทและกลุ่มสินค้า
    • เผยแพร่ทุกเดือน อย่างสม่ำเสมอ
    • ครอบคลุมอุตสาหกรรม: เกือบทุกเหมืองแร่และการผลิต
    • รวมบริการ: การค้า, ขนส่ง, สุขภาพ, และบริการวิชาชีพ
  • นาทีที่ 1:00-1:05
    • ผู้ใช้หลัก: รัฐบาลและธุรกิจใช้เพื่อตัดสินใจทางธุรกิจที่มีข้อมูลครบถ้วน
  • นาทีที่ 1:05-1:19
    • การใช้งานเฉพาะของธุรกิจ: 
      • การปรับสัญญา (Contract adjustment)
      • ติดตามสินค้าและอุตสาหกรรมเฉพาะ
      • การพยากรณ์ (Forecasting)
      • การประเมินสินค้าคงคลัง LIFO (Last-In-First-Out inventory valuation)
      • ตัวชี้วัดเศรษฐกิจ (Economic indicator)
  • นาทีที่ 1:26-1:32
    • ความน่าเชื่อถือ: ข้อมูล PPI แม่นยำและทันเวลา
    • มาตรฐานคุณภาพ: เผยแพร่รายเดือนและตรงตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุด
  • นาทีที่ 1:32-1:38
    • ความเป็นกลาง: ข้อมูล PPI เป็นกลางทางการเมือง
    • หลักการ: BLS ผลิตข้อมูลไม่ใช่ความเห็น – ให้ผู้ใช้ตัดสินใจเองว่าจะใช้อย่างไร
  • นาทีที่ 1:43-1:48
    • การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: PPI ปรับปรุงดัชนีหลายพันตัวอย่างต่อเนื่อง
    • ขยายความครอบคลุม: เพิ่มการครอบคลุมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้มากขึ้น
  • นาทีที่ 1:53-1:58
    • การเข้าถึงฟรี: ข้อมูล PPI เข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
    • การยอมรับ: ใช้กันอย่างแพร่หลายและได้รับการยอมรับ ในวงกว้าง
  • นาทีที่ 2:03-2:17
    • ความโปร่งใส: BLS เปิดเผยวิธีการและกระบวนการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
    • การปกป้องข้อมูล: PPI เป็นการสำรวจแบบสมัครใจ และปกป้องความลับของผู้ตอบแบบสำรวจ

สรุป

PPI มีบทบาทสำคัญในการบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคต เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอาจถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคผ่านดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve (Fed) หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB) การประกาศ PPI แต่ละครั้งได้รับความสนใจจากนักลงทุนและเทรดเดอร์ในตลาด Forex เนื่องจากมักก่อให้เกิดความผันผวนในคู่สกุลเงินหลัก เช่น USD/JPY, EUR/USD หรือ GBP/USD รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ทองคำ หุ้น และพันธบัตร

สัญญาณสำคัญจาก PPI มีดังนี้:

  • PPI สูงเกินคาด: บ่งชี้ว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ธนาคารกลางอาจตอบสนองด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่า (Hawkish signal) ตัวอย่างเช่น หาก PPI สหรัฐฯ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ค่าเงิน USD อาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ JPY หรือ EUR
  • PPI ต่ำเกินคาด: สะท้อนถึงต้นทุนการผลิตที่ลดลงหรืออุปสงค์ในตลาดที่อ่อนแอ ซึ่งอาจนำไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้สกุลเงินอ่อนค่าลง (Dovish signal) เช่น หาก PPI สหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด USD อาจอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น

อ้างอิง

FAQ — ข่าว PPI (Producer Price Index) คืออะไร?

เกิดขึ้นบ่อยเมื่อ PPI ที่สูงกว่าคาด มาจากปัจจัยที่ผันผวนง่าย เช่น “พลังงาน” หรือ “อาหาร” ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยเงินเฟ้อถาวร ตลาดก็จะหันไปโฟกัสที่ Core PPI แทน (ตัวเลขที่หักหมวดอาหารและพลังงานออก) เพราะ Core PPI สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อพื้นฐานได้ชัดเจนกว่า ถ้า Core PPI ยังอยู่ในระดับต่ำ ก็ตีความได้ว่า เงินเฟ้อยังไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ทำให้ตลาดไม่ยังไม่สนใจตัวเลข Headline PPI ที่สูงเกินคาด
สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่า Spillover Effect (ข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศ A ส่งผลบวกกับประเทศ B) คือเมื่อ PPI ใน US ที่สูงก็แปลว่าภาคอุตสาหกรรมกำลังมาแรง และก็หมายความได้อีกว่าความต้องการใช้วัตถุดิบ เช่น “น้ำมันดิบ” ก็จะสูงขึ้นด้วย และด้วยความที่แคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ไป US ก็ทำให้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จะส่งผลดีกับเศรษฐกิจแคนาดา ก็เลยทำให้ค่าเงิน CAD แข็งค่าขึ้นอีก
ในสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ที่ “เงินเฟ้อภาคบริการ” น่ากังวลกว่าเงินเฟ้อจากราคาสินค้า Fed ก็ย่อมจะให้ความสำคัญกับ ECI (ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน) มากกว่า PPI เพราะ ECI สามารถสะท้อนต้นทุนค่าแรงในภาคบริการได้โดยตรง ซึ่งเป็นเงินเฟ้อที่ลดลงได้ยาก จัดการได้ยุ่งยากด้วย ทำให้ ECI + Core PCE คือตัวเลขที่ Fed ใช้ดูต้นตอของปัญหา แล้วใช้ PPI ดูภาพรวมมากกว่า
ให้ดูแนวโน้มของ PPI ตลอด 2-3 quarter ที่ผ่านมา เพื่อหาแนวโน้มของ PPI เช่น ถ้าค่อยๆ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็พอจะสร้าง bias ได้ว่า ยังไง Fed ก็มีแนวโน้มที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยในท้ายที่สุด ก็สามารถวางแผน หาโอกาสซื้อ USD เมื่อราคาย่อตัว หรือ Buy on Dips ไปเรื่อย ๆ แทนที่จะแค่รอเทรดตามข่าวรายเดือน ก็ใช้ข้อมูลที่สะสมมาเพื่อสร้างภาพใหญ่แทน
มาจากการสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ หรือ จากสถาบันการเงินและสำนักข่าวชั้นนำต่างๆ เช่น Reuters และ Bloomberg โดยจะสร้างแบบจำลองทางสถิติและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพื่อ forecast ตัวเลขที่จะออกมา แต่ก็พลาดเป้าไปเยอะได้ เพราะมีปัจจัยที่คาดไม่ถึง เช่น ภัยธรรมชาติที่ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบ หรือเรื่องการตัดสินใจบางอย่างของผู้นำประเทศ ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน ทำให้การจำลองทางสถิติไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์พวกนี้ล่วงหน้าได้เลย

 

เขียนโดย

Somchai Witthtaya

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon