คริปโตเคอเรนซี่คืออะไร? ทำไมคนถึงให้ความสนใจ
- คริปโตเคอเรนซี่คือเงินดิจิทัลที่ไม่มีตัวตนจริง ไม่มีธนาคารกลางคอยควบคุม
- สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้
- Bitcoin เป็นเหรียญแรกของโลก เริ่มปี 2009 จากนั้น Ethereum, BNB, และเหรียญอื่น ๆ ตามมา
- คนให้ความสนใจเพราะมันเปิดโอกาสให้ “คนธรรมดา” เข้าถึงระบบการเงินแบบไม่ต้องผ่านคนกลาง
- การเติบโตของราคาที่รุนแรง (บางช่วงขึ้นเป็นร้อยเท่า) ดึงดูดนักลงทุนเข้ามามหาศาล
ประวัติของคริปโตเคอเรนซี่
- คริปโตเคอเรนซี่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีแนวคิดมายาวนานตั้งแต่ยุค 1980s
- ยุคนั้นมีแนวคิดเรื่อง เงินดิจิทัลที่ไร้ตัวกลาง จากกลุ่มนักวิจัยและแฮกเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า “Cypherpunks”
- พยายามสร้างระบบเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือรัฐบาล
- ก่อน Bitcoin จะถือกำเนิด มีความพยายามสร้างเงินดิจิทัลมากมาย เช่น
- DigiCash โดย David Chaum (1990s) – แนวคิดดี แต่ล้มเหลวเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีบล็อกเชน
- HashCash โดย Adam Back – ระบบ Proof-of-Work แบบที่ต่อมานำไปใช้ใน Bitcoin
- B-money โดย Wei Dai – โมเดลเงินดิจิทัลที่อยู่ใน Whitepaper ของ Bitcoin ด้วย
จุดเริ่มต้นของ Bitcoin
- ปี 2008 หลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ถล่มระบบการเงินโลก
- มีเอกสารหนึ่งชื่อ “Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System” ปล่อยออกมาโดยบุคคลลึกลับชื่อ Satoshi Nakamoto
- เอกสารนี้เสนอระบบเงินที่ไม่ต้องใช้ธนาคาร ไม่มีคนกลาง
- ใช้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ Blockchain บันทึกธุรกรรมแบบโปร่งใสและปลอมแปลงไม่ได้
- มกราคม 2009 บล็อกแรกของโลกถือกำเนิด (Genesis Block)
- เป็นบล็อกแรกของ Bitcoin
- มีข้อความฝังไว้ว่า “The Times 03/Jan/2009 Chancellor on brink of second bailout for banks” สื่อถึงความล้มเหลวของระบบธนาคาร
- เป็นสัญลักษณ์ของการก่อตั้ง “เงินที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของรัฐ”
ภาพแสดงถึงเหรียญคริปโตฯ เงินดิจัทัล ที่ได้รับความนิยมสูงสุด BTC,ETH และ BNB เป็นเงินที่ไม่มีคนกลาง สร้างบนบล็อกเชน
การเติบโตของ Bitcoin และกำเนิด Altcoin
- ช่วงแรก Bitcoin ถูกใช้แค่ในวงแคบ คนทั่วไปยังไม่รู้จัก
- ราคายังไม่มีมูลค่า แลกพิซซ่า 2 ถาดครั้งแรกปี 2010 ด้วย 10,000 BTC (ตอนนี้ 1 BTC = $120,000 เข้าไปแล้ว)
- ปี 2011 เริ่มมีเว็บเทรดอย่าง Mt. Gox และเริ่มเกิด Altcoin ตัวแรกอย่าง Litecoin, Namecoin
- Ethereum เกิดในปี 2015 ทำให้วงการคริปโตเปลี่ยนจากแค่เงิน มาเป็นระบบ Smart Contract สร้างแอปแบบกระจายศูนย์ได้
จุดสำคัญที่ทำให้คริปโตเป็นที่รู้จักทั่วโลก
- ปี 2017
- กระแส ICO (Initial Coin Offering) บูม เหรียญใหม่เกิดรายวัน
- ราคา Bitcoin ทะลุ $19,000 เป็นครั้งแรก
- คนเริ่มเทรดกันจริงจัง แต่ฟองสบู่แตกช่วงต้น 2018
- ปี 2020 – 2021
- กระแส DeFi, NFT, และ GameFi ดันให้คนใหม่ ๆ เข้าตลาด
- สถาบันการเงินเริ่มลงทุน เช่น Tesla, MicroStrategy ซื้อ Bitcoin
- ประเทศเอลซัลวาดอร์ประกาศให้ Bitcoin เป็นเงินถูกกฎหมาย
วิวัฒนาการสู่อนาคต
- จากแค่ “เงิน” กลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบใหม่”
- DeFi = ธนาคารไร้คนกลาง
- NFT = ทรัพย์สินดิจิทัลเฉพาะตัว
- GameFi = เกมที่แจกเงิน
- Web3 = อินเทอร์เน็ตที่ผู้ใช้มีสิทธิในข้อมูลของตัวเอง
- ปัจจุบันแม้ราคาจะเหวี่ยง แต่เทคโนโลยียังเดินต่อไม่หยุด
- Blockchain ถูกนำไปใช้ใน logistics, การเงิน, ประกัน, อสังหาฯ
- รัฐบาลหลายประเทศกำลังทดสอบ CBDC (Central Bank Digital Currency)
“คริปโตไม่ใช่แค่เหรียญที่ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่คือการปฏิวัติระบบการเงิน จุดเริ่มต้นเกิดจากความไม่พอใจระบบธนาคารเดิม จนกลายเป็นเทคโนโลยีแห่งเสรีภาพจากปี 2009 จนวันนี้ คริปโตยังพัฒนาไม่หยุด และอนาคตยังอีกยาว”
ภาพแสดงถึงวิวัฒนาการของ Bitcoin เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2008-2021 ที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในทุกช่วงเวลา
การเทรดคริปโตต่างจากการลงทุนระยะยาวยังไง
- เทรดคริปโต เน้นกำไรระยะสั้น ต้องจับจังหวะเข้า-ออกเร็ว ใช้กราฟและเทคนิคเป็นหลัก
- ลงทุนระยะยาว (HODL) ถือเหรียญยาว เชื่อในโปรเจกต์ ไม่สนความผันผวนรายวัน
- เทรดเดอร์ต้องติดตามตลาดตลอดเวลา ส่วน HODLer เน้นศึกษาพื้นฐานแล้วถือรอรอบโต
- เทรดเสี่ยงสูง กำไรเร็ว-ขาดทุนเร็ว / ลงทุนยาวความเสี่ยงต่ำกว่า แต่ต้องอดทนและวางแผนดี
เทรดคริปโตเน้นเก็งกำไรจากความผันผวนระยะสั้น
- เทรดเดอร์มองจังหวะเข้าออกใน Timeframe สั้น เช่น 5 นาที, 15 นาที, หรือรายวัน
- ไม่สนใจพื้นฐานเหรียญมากเท่าไร สนใจว่าราคาจะขึ้น-ลงตอนไหน
- ใช้ Leverage เพื่อขยายผลตอบแทน (และความเสี่ยง)
- ส่วนใหญ่มองเป้ากำไรทีละ 2%-5% แล้วออก ไม่ถือยาว
นักลงทุนระยะยาว (HODLer) มักซื้อแล้วถือยาว ไม่แคร์ความแกว่งระหว่างวัน
- มองภาพใหญ่ เช่น แนวโน้ม 6 เดือน – 2 ปี
- เชื่อในโปรเจกต์ที่ลงทุน เช่น Ethereum, Solana, Bitcoin
- ไม่ตกใจถ้าราคาลงแรงในระยะสั้น เพราะรู้ว่าพื้นฐานยังแข็งแรง
- มักใช้วิธี DCA (ทยอยซื้อ) เพื่อเฉลี่ยต้นทุน
เทรดเดอร์ต้องติดจอ วิเคราะห์กราฟ หาโอกาสเข้าออกตลอดเวลา
- ใช้อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เช่น RSI, MACD, EMA เพื่อหาจังหวะ
- ต้องมีวินัยสูง กล้าตัดขาดทุน และไม่โลภเวลาชนะ
- ต้องตามข่าว, ดูความเคลื่อนไหวตลาดตลอดทั้งวัน
- ถ้าเทรดใน Futures ยิ่งต้องระวังการถูก Liquidate
- มีโอกาส “Burnout” ถ้าไม่รู้จักพักหรือไม่วางแผนเวลาให้ดี
การเทรดต้องรู้เรื่อง Technical, Stop Loss, การจัดพอร์ต ฯลฯ
- ไม่ใช่แค่ดูกราฟอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักควบคุมความเสี่ยงด้วย
- การตั้ง Stop Loss เป็นเครื่องมือป้องกันพอร์ตพัง
- การจัดพอร์ตช่วยให้ไม่เทเงินหมดในออเดอร์เดียว
- ถ้าใช้ Leverage สูง ต้องคำนวณ Margin อย่างรอบคอบ
การลงทุนยาวต้องเข้าใจโปรเจกต์ เข้าใจพื้นฐานเหรียญ ไม่ใช่แค่ราคาวันนี้
- ต้องศึกษาว่าเหรียญนั้นแก้ปัญหาอะไร ใช้งานจริงไหม ใครอยู่เบื้องหลัง
- ดู Tokenomics, Supply, ความสามารถในการ Scale
- การถือยาวต้องรู้ว่าเหรียญมีอนาคต ไม่ใช่แค่ “กระแส”
- เหรียญบางตัวอาจนอนนิ่ง ๆ หลายเดือน แต่ถ้าพื้นฐานดี อาจโตเป็น 10x ในรอบตลาดถัดไป
“สายเทรด เน้นจังหวะ ต้องเร็ว วางแผนจบในวันหรือในสัปดาห์สายลงทุน เน้นคุณค่า ต้องเข้าใจเหรียญ เชื่อมั่น และอดทนถือผ่านรอบตลาดจะเลือกแบบไหนก็ได้ แต่อย่าปนกันมั่ว เพราะจะเสียทั้งคู่”
ภาพแสดงถึงนักเทรดสายเทรด กับ สายลงทุนยาว ซึ่งมีพฤติกรรม พร้อมทั้งเป้าหมายของการลงทุนที่แตกต่างกัน
ประเภทของเหรียญคริปโตที่ควรรู้: Coin vs Token
- Coin: เป็นเหรียญที่มีบล็อกเชนของตัวเอง เช่น BTC, ETH, BNB
- Token: ไม่มีบล็อกเชนของตัวเอง ใช้งานบนบล็อกเชนอื่น เช่น USDT, SHIB, LINK
- Coin มักใช้เป็น “รากฐาน” ของระบบ
- Token มักเกิดจากโปรเจกต์ที่พัฒนา DeFi, GameFi, NFT
- ต้องดูด้วยว่าเหรียญนั้นมีมูลค่าจากการใช้งานจริง หรือแค่สร้างมาเก็งกำไร
วิธีเริ่มต้นเทรดคริปโตสำหรับมือใหม่
- สมัครบัญชีกับเว็บเทรด เช่น Bitkub, Binance, Bybit
- ยืนยันตัวตน (KYC) ให้เรียบร้อย เพื่อเปิดการถอน
- ฝากเงินบาทเข้าไปผ่านธนาคาร หรือโอน USDT จากกระเป๋าอื่น
- เริ่มจากซื้อเหรียญหลัก เช่น BTC, ETH ก่อน อย่าเพิ่งไปสายมืด
- ฝึกใช้ Limit Order, Market Order ให้คล่อง
- ค่อย ๆ ศึกษา ไม่ต้องรีบเทรดทุกวัน
แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตยอดนิยมในไทยและต่างประเทศ
- ในไทย: Bitkub, Zipmex (อันนี้ไม่ควรเทรดด้วย แนะนำให้อ่านบทความที่เกี่ยวข้องของเคส Zipmex), Orbix, Upbit TH
- ต่างประเทศ: Binance, OKX, Bybit, MEXC, KuCoin
- แต่ละที่มีจุดเด่นต่างกัน เช่น ค่าธรรมเนียม, เหรียญที่รองรับ, ความเร็วในการฝาก-ถอน
- ถ้าเริ่มใหม่ให้เลือกเว็บที่มีภาษาไทยและฝากเงินง่ายก่อน
- ระวังพวกเว็บปลอม หรือแอปเลียนแบบ
ภาพแสดงถึงความง่ายของการสมัครบัญชี Bitkub ที่ง่ายมาก กรอกข้อมูลเพียง 3 อย่างก็สามารถที่จะลงทุนได้
ความแตกต่างระหว่าง Spot, Margin และ Futures ในตลาดคริปโต
- Spot (สปอต): เหรียญจริง จ่ายจริง ถือเองได้
- เป็นการซื้อขาย “เหรียญจริง” ที่มีอยู่บนบล็อกเชน เช่น ซื้อ BTC ก็ได้ BTC จริงไปใส่ในกระเป๋า
- ใช้เงินตัวเอง 100% ไม่มี Leverage หรือการกู้เงินมาเทรด
- ถ้าซื้อในเว็บเทรดไทย เช่น Bitkub หรือ Binance สามารถถอนเหรียญไปเก็บใน Wallet ได้
- เหมาะกับการซื้อเพื่อเก็บสะสม (HODL) หรือซื้อไว้รอขายในจังหวะดี ๆ
- ความเสี่ยงน้อยสุด เพราะไม่มีการกู้ ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มี Liquidation
- แต่ก็ไม่สามารถ “ทำกำไรจากราคาลง” ได้ เพราะต้องซื้อก่อนถึงจะขาย
- Margin (มาร์จิ้น): ยืมเงินเทรดได้ แต่อย่าประมาท
- เป็นการ “ยืมเงินจากแพลตฟอร์ม” เพื่อเปิดออเดอร์ใหญ่กว่าทุนที่มี เช่น มีทุน $100 ยืมอีก $100 รวมเป็น $200
- เทรดในตลาด Spot เหมือนเดิม แต่ใช้เงินที่ยืมมาเพื่อขยายขนาด
- ต้องจ่ายดอกเบี้ยรายวันให้กับเงินที่ยืม
- มีความเสี่ยง ถูก Liquidate หากราคาวิ่งสวนเกินกว่าระยะที่ระบบรับไหว
- เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ และรู้วิธีบริหารความเสี่ยง
- ถ้าเทรดพลาด ไม่ใช่แค่กำไรหาย แต่ “ขาดทุนเกินเงินตัวเองได้”
- Futures (ฟิวเจอร์ส): สัญญาเดิมพันราคา ไม่ต้องถือเหรียญ
- เป็นการซื้อขาย “สัญญา” ที่อิงกับราคาเหรียญจริง เช่น ซื้อสัญญา BTCUSDT
- สามารถ “เปิด Long” (เดาว่าราคาขึ้น) หรือ “เปิด Short” (เดาว่าราคาลง) ได้
- ใช้ Leverage ได้สูง เช่น 10x, 50x, หรือแม้แต่ 100x ขึ้นกับแพลตฟอร์ม
- ยิ่ง Leverage สูง ความเสี่ยงยิ่งสูง ราคาวิ่งผิดทางเพียงนิดเดียว ก็โดน Liquidate ได้
- ไม่มีเหรียญจริงให้โอนเข้า Wallet แค่ถือสัญญาซื้อขาย
- เหมาะกับสายเทรดมือโปรที่ควบคุมอารมณ์และความเสี่ยงได้ดี
- ต้องเข้าใจเรื่อง Margin Level, Maintenance Margin, Funding Rate ด้วย
“มือใหม่ควรเริ่มจาก Spot เพื่อเข้าใจธรรมชาติของตลาดก่อน ถ้าจะไปต่อที่ Margin หรือ Futures ต้องเรียนรู้การตั้ง Stop Loss และการจัดการทุนอย่างเคร่งครัด ตลาดคริปโตผันผวนแรง อย่าหลงกับคำว่า “Leverage = กำไรง่าย” เพราะถ้าใช้ไม่เป็น มันจะกลายเป็น “Leverage = ล้างพอร์ตเร็ว”
ภาพแสดงถึงการจัดการความเสี่ยงของบัญชีเทรด ที่มีการลงทุนแบบ 70 – 30 เพราะการเทหมดหน้าตักไม่เรียกกว่าการลงทุน เรียกว่า “ไม่มีแผน”
การใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล (Crypto Wallet) เพื่อเก็บเหรียญ
- มี 2 แบบหลัก
- Hot Wallet = กระเป๋าที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น Trust Wallet, Metamask
- Cold Wallet = กระเป๋าออฟไลน์ เช่น Ledger, Trezor ปลอดภัยสุด
- อย่าเก็บเหรียญไว้ในเว็บเทรดเยอะ เพราะเสี่ยงโดนแฮก/เว็บล้ม
- ต้องจด Seed Phrase ให้ดี อย่าถ่ายรูป อย่าเก็บในเมล
- โอนระหว่าง Chain ผิด ชิปหายทันที (เช่น ส่ง BSC ไป ETH Chain)
วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาคริปโต
- ข่าวเศรษฐกิจใหญ่ เช่น ดอกเบี้ย FED, เงินเฟ้อ
- ความเคลื่อนไหวของ Bitcoin (เป็นตัวนำตลาด)
- ข่าวลือ ข่าวจริง จากทีมพัฒนาเหรียญหรือ Exchange
- การถูกลิสต์หรือถอดออกจากเว็บเทรด
- พฤติกรรมของวาฬ (Wallet ใหญ่) ซื้อหรือเทขาย
- การอัปเกรดระบบ เช่น Ethereum Merge เคยทำให้ราคาพุ่งแรง
ความเสี่ยงในการเทรดคริปโตที่ต้องรู้ก่อนเริ่ม
- ความผันผวนสูงมาก ขึ้นลงวันละ 10-20% เป็นเรื่องปกติ
- ไม่มีหน่วยงานกลางช่วยเหลือเวลาโดนโกง
- แพลตฟอร์มล้ม (อย่าง FTX) เหรียญอาจกลายเป็นศูนย์
- เสี่ยงติดดอยเพราะ FOMO หรือโดนลาก
- ความเข้าใจผิดเรื่อง Leverage ทำให้พอร์ตบิน
- ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น คลิกลิงก์ฟิชชิ่ง, โดนแฮก Seed Phrase
ภาษีและข้อกฎหมายเกี่ยวกับคริปโตในประเทศไทย
- รายได้จากการเทรดต้องเสียภาษี “เงินได้จากการพาณิชย์”
- ปี 2022 เริ่มมีแนวทางชัดเจนขึ้นจากกรมสรรพากร
- Bitkub และเว็บในไทยหักภาษี ณ ที่จ่ายให้บางส่วน
- ถ้าซื้อขายผ่านเว็บต่างประเทศ ต้องยื่นภาษีเอง
- การใช้เหรียญจ่ายค่าสินค้ามีข้อจำกัดในไทย แต่ยังไม่ผิดกฎหมายถ้าไม่หลอกลวง
- ระวังเรื่องแชร์ลูกโซ่ปลอมตัวเป็นคริปโต
เคล็ดลับการอยู่รอดในตลาดคริปโตที่ผันผวน
- อย่าเทหมดหน้าตักในออเดอร์เดียว
- แบ่งพอร์ตให้ดี เช่น Spot 70% / Futures 30%
- อย่าหลงตามกระแสเหรียญขยะที่ไม่มีของจริง
- ถ้าขาดทุนหนัก อย่าพยายาม “เอาคืน” แบบไม่วางแผน
- หมั่นถอนกำไรเก็บบ้าง อย่าทิ้งไว้ในตลาดหมด
- ควรเรียนรู้จากรอบขาลง เพราะมันสอนความจริงที่สุด
ภาพแสดงถึง 5 อันดับ แพลตฟอร์ม Exchanges ที่รองรับการเทรดคริปโตในประเทศไทย
คำศัพท์พื้นฐานในวงการคริปโตที่ควรรู้
- HODL แปลว่าถือเหรียญไว้ไม่ขาย แม้ตลาดจะผันผวน
ตัวอย่าง: นักลงทุนบางคนซื้อ Bitcoin แล้ว HODL ไว้ยาวหลายปี - FOMO ย่อมาจาก Fear Of Missing Out หรือความกลัวตกรถ
ตัวอย่าง: เห็นราคา Ethereum พุ่งขึ้น 20% เลยรีบซื้อ เพราะกลัว FOMO - FUD ย่อมาจาก Fear, Uncertainty, Doubt คือข่าวลบที่ทำให้คนตื่นตระหนก
ตัวอย่าง: ข่าวว่ารัฐบาลจะแบนคริปโต ทำให้เกิด FUD แล้วราคาก็ร่วง - ATH / ATL
- ATH = All Time High ราคาสูงสุดตลอดกาล
- ATL = All Time Low ราคาต่ำสุดตลอดกาล
ตัวอย่าง: Ethereum เคยทำ ATH ที่ระดับ 4,800 ดอลลาร์ในปี 2021
- Altcoin เหรียญอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Bitcoin เช่น Ethereum, Solana, BNB
ตัวอย่าง: นักลงทุนบางคนกระจายพอร์ตไปยัง Altcoin เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น - Pump & Dump การปั่นราคาให้พุ่งขึ้นแล้วเทขายทำกำไร
ตัวอย่าง: กลุ่มใน Telegram ปั่นเหรียญเล็ก ๆ ให้ Pump แล้ว Dump ทันที - Whale นักลงทุนที่ถือเหรียญจำนวนมาก สามารถส่งผลต่อราคาได้
ตัวอย่าง: มี Whale โอน Bitcoin เข้ากระดานเทรด ทำให้ตลาดตกใจแล้วราคาลดลง - Gas Fee ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน เช่น Ethereum
ตัวอย่าง: ช่วงที่คนใช้งานเยอะ Gas Fee ของ Ethereum อาจพุ่งเกิน 500 บาทต่อครั้ง - Airdrop การแจกเหรียญฟรีให้กับผู้ใช้ เพื่อโปรโมตโปรเจกต์
ตัวอย่าง: ผู้ใช้งานที่เคยใช้แอป DeFi บางตัวในช่วงแรกอาจได้รับ Airdrop หลักหมื่นบาท - DeFi ย่อมาจาก Decentralized Finance คือระบบการเงินแบบกระจายศูนย์
ตัวอย่าง: Uniswap เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม DeFi ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนเหรียญโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง - Tokenomics โครงสร้างเศรษฐกิจของเหรียญ เช่น จำนวนเหรียญ, การแจกจ่าย, การเผาเหรียญ
ตัวอย่าง: เหรียญที่มี Supply จำกัด อาจมีโอกาสขึ้นราคาได้มากกว่าในระยะยาว - Staking การนำเหรียญไปล็อกไว้เพื่อรับดอกเบี้ยหรือรางวัล
ตัวอย่าง: นำเหรียญ ADA ไป Staking แล้วรับผลตอบแทนปีละ 4-6% - DEX / CEX
- DEX = Decentralized Exchange เช่น Uniswap, PancakeSwap
- CEX = Centralized Exchange เช่น Binance, Bitkub
ตัวอย่าง: มือใหม่มักเริ่มจาก CEX เพราะใช้งานง่ายกว่า DEX
ภาพแสดงถึง การสรุปข้อมูลเกี่ยวกับ ผลกระทบ ปัจจัยที่มีผลต่อราคาคริปโตเคอเรนซี
ข้อดีของการเทรดคริปโต
- เริ่มต้นง่าย เข้าถึงได้ทั่วโลก
- แค่มีมือถือกับอินเทอร์เน็ต ก็สามารถเปิดบัญชีและเริ่มเทรดได้ทันที
- ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือเอกสารยุ่งยากเหมือนการลงทุนแบบเดิม
- มีโอกาสทำกำไรสูงในเวลาสั้น
- ตลาดเคลื่อนไหวแรง ถ้ามีประสบการณ์พอ สามารถสร้างกำไรได้แม้ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- มีเครื่องมือ Leverage ช่วยขยายผลกำไร (แต่ก็ต้องรู้จักควบคุมความเสี่ยง)
- มีโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่พลิกวงการจริง
- หลายเหรียญไม่ได้เป็นแค่ตัวเงิน แต่เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สร้างระบบการเงิน, เกม, หรือบริการใหม่ ๆ
- ลงทุนในสิ่งที่เปลี่ยนโลกได้จริง หากเลือกถูกเหรียญและถือถูกจังหวะ
ข้อเสียของการเทรดคริปโต
- ผันผวนหนักมาก ขาดทุนง่ายถ้าไม่ระวัง
- ราคาเหรียญสามารถขึ้นลง 10-30% ได้ภายในวันเดียว
- มือใหม่ที่ไม่ตั้ง Stop Loss หรือไม่มีแผนอาจโดนล้างพอร์ต
- กฎหมายและการกำกับยังไม่ชัดในหลายประเทศ
- ในบางประเทศยังไม่มีกรอบควบคุมที่ชัดเจน ทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องการเก็บภาษี หรือถูกจำกัดสิทธิ์การใช้งาน
- บางครั้งเว็บเทรดต่างประเทศอาจถูกปิดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
- เต็มไปด้วยมิจฉาชีพและกลโกงหลากรูปแบบ
- มีทั้งเหรียญปลอม, เว็บหลอกโอน, Bot Scam, และแฮกเกอร์
- คนที่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่ระวังตัว มักตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
ภาพแสดงถึงข้อควรระวัง 5 ข้อ สำคัญของนักเทรดคริปโตมือใหม่ ซึ่งคนที่เข้ามาในตลาดนี้อย่าหวังรวยเร็ว ให้เน้นไปที่เทคนิค และ ประสบการณ์ในการลงทุนให้ตกผลึกเสียก่อน
คลิปที่น่าสนใจ
- หลังจากที่ได้อ่านบทความที่ค่อนข้างสรุปเรื่องราวเอาไว้ครบถ้วนแล้ว เพราะจะพูดถึงเรื่อง คริปโตเคอเรนซี เอาไว้อย่างครบทุก ๆ ด้าน ก็ขอแนะนำคลิปวีดีโอที่บอกถึง คริปโต คืออะไร ? ทำความรู้จักคริปโต ทำไมต้องมาลงทุน จากช่อง Mixer Krisharlan
สรุป
- ตลาดคริปโตเปิด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ใครชอบเล่นเร็ว ๆ ต้องพร้อมจับจังหวะตลอดเวลา
- การเทรดมีหลายแบบ Spot, Margin, Futures แต่ละแบบมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ต้องรู้ก่อนเล่น
- อย่าคิดว่าแค่ดูกราฟจะพอ ต้องมีวินัยตั้ง Stop Loss คุมความเสี่ยง ไม่งั้นพอร์ตพังไวแน่นอน
- ถ้าไม่ชอบความเครียด ถือยาว (HODL) เหรียญที่มั่นใจเรื่องพื้นฐาน รอผลตอบแทนระยะยาวจะสบายใจกว่า
- ตลาดนี้กำไรสูงแต่ก็มีดาบสองคม ต้องรู้จักระวังมิจฉาชีพ และติดตามข่าวสารให้ทัน ถ้าไม่อยากเจ็บตัว
อ้างอิง
- The Basics about Cryptocurrency: https://www.oswego.edu/cts/basics-about-cryptocurrency#:~:text=A%20cryptocurrency%20is%20a%20digital,you%20need%20a%20cryptocurrency%20wallet.
- What is Cryptocurrency and how does it work?: https://www.kaspersky.com/resource-center/definitions/what-is-cryptocurrency?srsltid=AfmBOorLYk_3Nt1Dlrc8HPbXiuW0for_7LKr7XX_X7XLwEcoUmR73SLP
- Cryptocurrency: https://en.wikipedia.org/wiki/Cryptocurrency
- Cryptocurrency Explained With Pros and Cons for Investment: https://www.investopedia.com/terms/c/cryptocurrency.asp
- What is cryptocurrency?: https://www.coinbase.com/learn/crypto-basics/what-is-cryptocurrency
- What are cryptocurrencies and why is the world paying attention?: https://www.britannica.com/money/what-is-cryptocurrency
- Binance: https://www.binance.th/en
- What Is a Blockchain?: https://www.investopedia.com/terms/b/blockchain.asp
- What Is Bitcoin?: https://www.kaspersky.com/resource-center/definitions/what-is-bitcoin?srsltid=AfmBOopnD31IPaKFsnrL5VUN0ZkdolQkQwxqAUsCC-bjsGXq-WFF7Vt9
FAQ – สรุปข้อมูลภาพรวมการเทรด คริปโตเคอเรนซี่ ครบทุกแง่มุม แบบเข้าใจง่าย