เทรดคริปโตแบบ Spot คืออะไร

  • การเทรด Spot หมายถึงการซื้อขาย คริปโตเคอร์เรนซี ด้วยเงินลงทุนของตัวเอง โดยอ้างอิงราคาตลาดปัจจุบัน (Spot Price)
  • นักลงทุนที่ซื้อเหรียญ Spot จะได้รับเหรียญจริงและสามารถถือครองยาว ๆ ได้ ไม่ใช่เพียงแค่การเก็งกำไรจากสัญญา

ลักษณะเด่นของการเทรดแบบ Spot

  • เป็นเจ้าของเหรียญจริง: สามารถเก็บไว้ใน Exchange หรือโอนเข้ากระเป๋า (Wallet) ของตัวเองได้
  • ไม่มีเลเวอเรจ (Leverage): ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกบังคับขาย (Liquidation)
  • ต้นทุนคงที่: ความเสี่ยงสูงสุดคือเงินทุนที่นำมาซื้อเหรียญ
  • เหมาะกับการลงทุนระยะยาว: สำหรับผู้ที่มองศักยภาพการเติบโตของเทคโนโลยี Blockchain และคริปโต

ตัวอย่างการเทรด Spot

  • กรณีที่มีกำไร: ซื้อ BTC ที่ราคา 30,000 USD  เมื่อราคาขึ้นเป็น 35,000 USD แล้วขาย จะได้กำไร 5,000 USD (ไม่รวมค่าธรรมเนียม)
  • กรณีที่ขาดทุน: ซื้อ BTC ที่ราคา 30,000 USD  ถ้าราคาร่วงลงเหลือ 25,000 USD คุณถือเหรียญไว้ แต่จะขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น (Unrealized Loss) จนกว่าจะขาย

การเลือกกลยุทธ์ Spot

  • ลงทุนระยะยาว (HODL): ซื้อแล้วเก็บไว้ในระยะยาวเพื่อรอการเติบโต
  • เทรดระยะสั้น (Swing/Day Trade): ซื้อขายตามรอบราคา เก็งกำไรจากการแกว่งตัว
  • สะสมแบบถัวเฉลี่ย (DCA): ซื้อเหรียญเป็นงวด ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน

ภาพแสดงถึงการใช้เงินของตัวเอง ลงทุนซื้อเหรียญคริปโต แน่อนนว่าเหมือนกับการซื้อทองนั่นเหละ ผู้ซื้อครอบครอบได้ ขาย หรือ ใช้จ่ายอื่น ๆ ได้ทั้งสิ้น

ทำไม Spot Trading ถึงแตกต่างจากการเทรดประเภทอื่น

  • ถือเหรียญจริง ไม่ใช่แค่สัญญา ซื้อแล้วได้สินทรัพย์จริง เก็บเข้ากระเป๋าเย็นได้ ต่างจากฟิวเจอร์ที่เป็นเพียงสัญญา
  • ขาดทุนเท่าที่ลงทุน ไม่เกินทุน ไม่มีเรื่อง Margin Call หรือการโดน Liquidation แบบการเล่น Futures หรือ Margin
  • จังหวะเน้นสะสม มากกว่าเก็งสั้น คนเล่น Spot มักมองยาว ซื้อเก็บ รอรอบ ไม่ต้องเครียดกับการโดนบังคับปิด
  • การเรียนรู้โครงสร้างตลาดเข้าใจง่ายกว่า มือใหม่เริ่มจาก Spot จะเห็นภาพ Demand-Supply ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน
  • เสรีภาพในการถือครอง สามารถใช้โอน จ่าย หรือเก็บเป็นสินทรัพย์ได้จริง ต่างจากอนุพันธ์ที่มีเพียงตัวเลขในบัญชี

Spot vs Futures

Spot

  • ซื้อขายเหรียญจริง ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแท้จริง สามารถโอนเข้า Wallet ส่วนตัว ใช้จ่าย หรือเก็บระยะยาวได้ ต่างจากการเล่นสัญญาที่ไม่เคยได้จับตัวเหรียญจริง
  • ไม่มีวันหมดอายุสัญญา จะถือกี่ปีหรือกี่เดือนก็ได้ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และการมองภาพตลาดของแต่ละคน มือใหม่ชอบเพราะไม่ต้องรีบตัดสินใจภายใต้แรงกดดัน
  • ความเสี่ยงสูงสุด = เงินที่ลงทุนไป สมมติใส่ทุน 10,000 บาท ขาดทุนสุด ๆ คือพอร์ตเหลือศูนย์ แต่ไม่มีทางติดหนี้หรือโดนบังคับปิดสถานะ
  • เหมาะกับสายสะสมและลงทุนระยะยาว ใครที่อยากเข้าตลาดคริปโตแบบไม่รีบ ไม่อยากเครียดเรื่องเลเวอเรจ การถือ Spot คือพื้นฐานที่ควรเริ่ม
  • ข้อจำกัดของ Spot คือทำกำไรได้จริงก็ต่อเมื่อราคาเหรียญขึ้น ถ้าตลาดลงก็ต้องรอ ถือทน หรือซื้อสะสมเพิ่ม (DCA) เพื่อเฉลี่ยต้นทุน

Futures

  • ไม่ได้ซื้อเหรียญจริง แต่ซื้อขาย “สัญญา” ที่อ้างอิงตามราคาเหรียญ ดังนั้นจะไม่มีเหรียญมาเก็บในกระเป๋า ใช้แค่เก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคา
  • ใช้เลเวอเรจ (Leverage) เพื่อขยายขนาดการเทรด เช่น มีเงิน 1,000 ดอลลาร์ แต่ใช้เลเวอเรจ 10 เท่า จะเปิดสัญญาได้เท่ากับ 10,000 ดอลลาร์ ข้อดีก็คือทำกำไรเร็ว แต่ข้อเสียคือความเสี่ยงขาดทุนพุ่งสูงแบบทวีคูณ
  • สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและลง แค่เลือกเปิด Long (ถ้าคิดว่าราคาจะขึ้น) หรือ Short (ถ้าคิดว่าราคาจะลง) ทำให้ Futures ดูดึงดูดนักเทรดที่อยากเล่นทั้งสองฝั่ง
  • เสี่ยงถูก Liquidation ถ้าราคาวิ่งสวนกับทางที่เปิดไว้ ยิ่งใช้เลเวอเรจเยอะ โอกาสโดนล้างพอร์ตเร็วมาก เช่น เปิดเลเวอเรจ 50x แค่ราคาขยับ 2% สวนทาง ก็หมดเงินในพริบตา
  • มีวันหมดอายุสัญญา (บางประเภท) เช่น Quarterly Futures ที่สิ้นสุดตามรอบไตรมาส ทำให้ต้องจัดการเวลาและแผนการเทรดให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจเจอปัญหาสภาพคล่องหรือต้นทุนเพิ่ม

มุมมองจากนักเทรด

  • Futures ให้อิสระในการทำกำไรอย่างแท้จริง เพราะไม่ต้องรอให้ตลาดขึ้นเสมอไปก็มีโอกาสทำเงินได้ แต่ต้องยอมรับว่า ความเครียดและแรงกดดันสูงมาก โดยเฉพาะตอนถือสัญญาที่มีเลเวอเรจสูง
  • มือใหม่ส่วนใหญ่พลาดตรง “ความโลภ” คิดว่าการใช้เลเวอเรจสูงจะรวยเร็ว แต่จริง ๆ แล้วพอร์ตหายเร็วกว่า หลายคนเจ็บตัวตั้งแต่เริ่มเพราะไม่รู้จักการจัดการความเสี่ยง
  • คนที่อยู่รอดใน Futures ได้นาน ต้องควบคุมอารมณ์ให้ดี มีวินัยในการตัดขาดทุน และไม่เทรดเกินกำลังทุนของตัวเอง
  • ในทางกลับกัน Spot แม้กำไรจะช้ากว่า แต่เป็นเหมือนสนามฝึกที่ช่วยให้มือใหม่เข้าใจตลาด ควบคุมอารมณ์ และวางกลยุทธ์ได้โดยไม่ต้องเจอแรงกดดันเกินไป

ภาพแสดงตัวอย่างการเทรด SPOT ทั้งแบบมีกำไร และ แบบขาดทุน

Spot vs Margin

Spot

  • ใช้เงินทุนของตัวเอง 100% ไม่มีการกู้ยืม ทุกการซื้อขายขึ้นอยู่กับกำลังเงินที่มีจริง ทำให้ควบคุมความเสี่ยงได้ง่าย
  • กำไรและขาดทุนจำกัดอยู่แค่เงินต้น สมมติใส่ทุน 50,000 บาท ขาดทุนสุดคือเหลือศูนย์ ไม่ติดหนี้เพิ่ม
  • เหมาะกับการสะสมสินทรัพย์ระยะยาว คนส่วนใหญ่ที่ถือ Spot มักจะมองการลงทุนแบบเก็บเหรียญไปเรื่อย ๆ มากกว่าการเก็งกำไรเร็ว ๆ
  • ข้อจำกัดของ Spot คือถ้าตลาดลงอย่างต่อเนื่อง กำไรจะหาย และต้องรอรอบฟื้นใหม่ ทำให้เงินจมไปกับเหรียญได้

Margin

  • ยืมเงินจากแพลตฟอร์มหรือโบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มขนาดการลงทุน เช่น มีทุน 1,000 ดอลลาร์ กู้เพิ่ม 4,000 ดอลลาร์ ทำให้เทรดได้ขนาดพอร์ต 5,000 ดอลลาร์
  • ขาดทุนอาจเกินเงินต้น ถ้าราคาวิ่งผิดทางและไม่ได้บริหารความเสี่ยง อาจถูกบังคับขาย (Margin Call) และติดหนี้ที่ต้องชดใช้เพิ่ม
  • ต้นทุนซ่อนอยู่ที่ดอกเบี้ยกู้ ยิ่งถือสัญญานาน ต้นทุนดอกเบี้ยยิ่งสูง โดยเฉพาะตอนตลาดนิ่งหรือเหรียญไม่ไปไหน มือใหม่มักไม่ทันคิดว่าค่าดอกเบี้ยทำให้พอร์ตไหลลงเรื่อย ๆ
  • ให้โอกาสทำกำไรเร็วกว่า Spot เพราะขนาดการลงทุนใหญ่ขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับแรงกดดันที่สูงขึ้นเช่นกัน
  • มีโอกาสโดนบังคับปิด (Force Sell) ถ้า Equity ต่ำกว่าที่ระบบกำหนด ไม่ว่าราคาจะเด้งกลับหรือไม่ คุณก็ถูกปิดสถานะไปแล้ว

มุมมองจากนักเทรด

  • Margin เทรดดิ้งให้อิสระมากกว่า Spot เพราะทำให้พอร์ตขยายใหญ่ขึ้น กำไรโตเร็วขึ้น แต่ความเสี่ยงก็ทวีคูณเช่นเดียวกัน
  • จุดที่มือใหม่มักพลาดคือไม่คำนึงถึงดอกเบี้ยกู้ และไม่รู้จักคุมขนาดการยืม สุดท้ายต้นทุนบานปลายจนพอร์ตไหลหมด
  • คนที่จะเล่น Margin ต้องมีวินัยสูง รู้จักใช้ Stop Loss และประเมิน “ความทนทาน” ของพอร์ต ไม่อย่างนั้นจากที่คิดว่าจะเพิ่มโอกาส กลับกลายเป็นเพิ่มหนี้แทน

Spot vs Staking / Lending

Spot

  • ซื้อและถือเหรียญเพื่อรอราคาเพิ่มขึ้น แนวคิดคือ “ซื้อถูก ขายแพง” ตรงไปตรงมา เหมาะกับคนที่มองการเติบโตระยะยาวของเหรียญ
  • เหรียญอยู่ในมือจริง ๆ สามารถโอนเข้ากระเป๋าเย็น เก็บไว้ปลอดภัย หรือขายออกทันทีเมื่อราคาตลาดเปลี่ยน ไม่ต้องกังวลสัญญาหมดอายุหรือเงื่อนไขแอบแฝง
  • ยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ต จะทยอยขายบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง หรือถือยาวต่อไปก็ทำได้อย่างอิสระ

Staking / Lending

  • นำเหรียญไปล็อก (Stake) เพื่อช่วยยืนยันธุรกรรมในเครือข่าย Proof of Stake และรับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือเหรียญเพิ่ม
  • ปล่อยกู้ (Lending) ผ่านแพลตฟอร์มกลาง (CEX) หรือโปรโตคอล DeFi เพื่อให้ผู้อื่นนำเหรียญไปใช้ โดยผู้ให้กู้จะได้ดอกเบี้ยตอบแทน
  • ได้ Passive Income เหมือนปล่อยเงินทำงานแทน แต่มีข้อจำกัด เช่น ต้องล็อกเหรียญตามระยะเวลาที่กำหนด ถอนออกไม่ได้ทันที หรือถ้าเป็นการปล่อยกู้ อาจเสี่ยงเจอ Default หากผู้กู้ไม่ชำระคืน
  • ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มที่ใช้ ถ้าเลือกแพลตฟอร์มไม่น่าเชื่อถือ มีความเสี่ยงทั้งเรื่องถูกแฮ็ก ปิดกิจการ หรือโกงเงินผู้ใช้งาน

มุมมองจากนักเทรด

  • การ Stake หรือ Lending คล้ายกับ “ฝากประจำ” ในโลกการเงินดั้งเดิม ต่างกันที่ผลตอบแทนสูงกว่าหลายเท่า แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัยเหมือนธนาคารที่มีระบบประกันเงินฝาก
  • มือใหม่มักมองว่าเป็นรายได้เสริมง่าย ๆ แต่ถ้าไม่ตรวจสอบแพลตฟอร์มให้รอบคอบ อาจเจอเหตุการณ์ที่เงินถูกล็อกหาย หรือถอนออกไม่ได้
  • สำหรับคนที่ถือเหรียญจำนวนมากและไม่คิดขายในระยะสั้น การ Stake/Lending เป็นวิธีเพิ่มผลตอบแทน แต่ต้องกระจายความเสี่ยง ไม่ควรใส่ทั้งหมดไว้ที่เดียว

ภาพอธิบายความแตกต่างจากการเทรดประเภทอื่น ๆซึ่ง Bitcoin สามารถแบ่งเก็บได้จริง พร้อมทั้งมีผู้รองรับอยู่แล้วในปัจจุบัน

ทำไมนักเทรดมือใหม่ควรเริ่มจาก Spot

  • ได้เรียนรู้ “ตลาดจริง” ผ่านการถือเหรียญ ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอ
  • ไม่มีแรงกดดันจาก Leverage หรือ Margin Call
  • สามารถค่อย ๆ สะสมความเข้าใจ ทั้งเรื่องการเลือกเหรียญ การอ่านกราฟ และการบริหารเงินทุน
  • แม้จะขาดทุน แต่ยังมีเหรียญอยู่ในมือ ต่างจาก Futures ที่อาจขาดทุนจนหมดหน้าตักภายในไม่กี่นาที

ข้อดีและข้อเสียของการเทรดคริปโตแบบ Spot

ข้อดี

  • ถือเหรียญจริง ได้สิทธิเต็ม ๆ จะโอน จ่าย หรือเก็บใน Cold Wallet ก็ทำได้ ต่างจากการเล่นสัญญาที่ไม่เคยได้จับเหรียญจริง
  • ความเสี่ยงจำกัดแค่เงินต้น ขาดทุนสุดก็แค่เงินที่ลงไป ไม่ต้องกลัวติดหนี้หรือโดนล้างพอร์ตเหมือน Futures
  • โครงสร้างเข้าใจง่าย มือใหม่เข้ามาเรียนรู้ได้เร็ว ไม่ซับซ้อนมาก แค่ซื้อกับขาย ต่างจากการเล่น Margin หรือ Futures ที่ต้องเข้าใจระบบเพิ่ม
  • เป็นพื้นฐานสู่การลงทุนอื่น ๆ ใครที่อยากไปต่อทั้ง Futures, Margin หรือแม้แต่ DeFi ส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นจาก Spot ทั้งนั้น

ข้อเสีย

  • ทำกำไรได้เฉพาะตอนตลาดขึ้น ถ้าราคาเหรียญร่วง ก็ทำได้แค่ถือรอ ไม่เหมือน Futures ที่ Short ทำกำไรขาลงได้
  • ต้องใช้เงินสดเต็มจำนวน ไม่มีเลเวอเรจช่วยขยายพอร์ต ทำให้การเติบโตของกำไรดูช้ากว่าเมื่อเทียบกับ Futures
  • ผันผวนสูง ต้องใจแข็ง บางทีเหรียญตกแรง ๆ ก็ต้องทนถือ (Drawdown) ไปเป็นเดือนหรือเป็นปี กว่าจะได้เห็นราคากลับมา

ตัวอย่างจริงจากสนาม

  • คนที่ซื้อ BTC ตอนราคาประมาณ 60,000 ดอลลาร์ในปี 2021 หลายคนต้องทนเห็นพอร์ตแดงยาว ๆ ตอนมันลงไปเหลือแถว 20,000 ดอลลาร์ในปี 2022 ถ้าใจไม่แข็งหรือไม่มีแผน อาจขายทิ้งตอนจังหวะขาดทุนหนัก สุดท้ายพลาดตอนที่ตลาดกลับมาฟื้น

หากซื้อจุดที่ 1 คุณเองก็ถือกำไร มูลค่าของสินค้าเพิ่มขึ้น หากซื้อในจุดที่ 2 ก็จะมีโอกาสขาดทุน หรือ ภาษานักเทรดเรียกว่า “ติดดอย” นั่นเอง

Spot Price คืออะไร และทำไมถึงสำคัญต่อการซื้อขาย

  • หมายถึง “ราคาปัจจุบันในตลาด” ที่ผู้ซื้อและผู้ขายยอมแลกเปลี่ยนกันในตอนนั้นทันที
  • เป็นตัวเลขอ้างอิงหลักเวลาคุณกดซื้อหรือขายในตลาด Spot

ความสัมพันธ์กับคำสั่งซื้อขาย

  • ถ้าใช้ Market Order การซื้อหรือขายจะถูกจับคู่ในทันทีที่ราคา Spot ตอนนั้น
  • ถ้าใช้ Limit Order คุณสามารถกำหนดราคาที่ต้องการล่วงหน้า เช่น ตั้งซื้อ BTC ที่ 28,000 ดอลลาร์ แล้วรอจนกว่าราคาจะลงมาถึง ระบบจึงจะจับคู่คำสั่งให้อัตโนมัติ

ตัวอย่าง

  • สมมติ Spot Price ของ ETH อยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ แต่คุณเชื่อว่าราคามีโอกาสย่อลงอีก จึงตั้ง Limit Order ไว้ที่ 1,900 ดอลลาร์
  • หากราคาลงมาถึงระดับที่ตั้งไว้ คำสั่งก็จะถูกดำเนินการทันที โดยไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา

ภาพแสดงถึงราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Trading View ซึ่งเป็นช่วงเวลาตี 3 ของวันที่ 10 กันยายน 2025 แล้ว

วิธีเริ่มต้นเทรดคริปโตแบบ Spot สำหรับมือใหม่

1. เลือกกระดานเทรดที่น่าเชื่อถือ

  • เลือกความน่าเชื่อถือระดับโลก Binance, Coinbase, Kraken ฟีเจอร์เยอะ คู่เหรียญหลากหลาย แต่บางทีคนไทยเจอปัญหาตรงเมนูภาษาอังกฤษ อ่านแล้วงง โดยเฉพาะ Coinbase ที่ใช้ศัพท์แปลก ๆ ทำให้มือใหม่สับสนได้ง่าย
  • ถ้าอยากเริ่มแบบลื่นไหลและมีภาษาไทยรองรับ แนะนำแพลตฟอร์มในไทย เช่น Bitkub, Satang Pro ด้วย UI เข้าใจง่ายกว่า มีทีมซัพพอร์ตเป็นภาษาไทย และฝาก-ถอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไทยได้สะดวก

2. สมัครและยืนยันตัวตน (KYC)

  • ทุกเจ้าจะต้องทำ KYC (Know Your Customer) เพื่อยืนยันตัวตนก่อนถึงจะฝาก-ถอนได้
  • ขั้นตอนส่วนใหญ่คือ อัปโหลดบัตรประชาชน + เซลฟี่กับบัตร และบางที่อาจมีให้ถ่ายวิดีโอหันซ้าย-ขวา
  • ของต่างประเทศบางเจ้าจะเข้มงวดมาก กว่าจะผ่านตรวจหลายวัน แต่ของไทยอย่าง Bitkub ใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่ไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็ได้ผลแล้ว

3. ฝากเงิน Fiat หรือโอน Crypto เข้าไป

  • ถ้าใช้ Exchange ในไทย สามารถโอนเงินจากธนาคารไทยเข้าระบบได้เลย ขั้นตอนนี้ถือว่าง่ายมาก
  • ถ้าใช้ Binance หรือกระดานต่างประเทศ ต้องโอนผ่าน USDT, USDC หรือเหรียญ Stablecoin เข้ามา บางคนเจอปัญหาตรงเลือกเครือข่ายผิด (เช่น ส่งบน ERC20 แต่ไปวางที่ BEP20) สุดท้ายเงินหาย ดังนั้นต้องเช็กเครือข่ายให้ตรงเป๊ะ

4. เลือกคู่เหรียญที่ต้องการเทรด

  • มือใหม่ส่วนใหญ่เริ่มจากคู่ยอดนิยมอย่าง BTC/USDT หรือ ETH/USDT เพราะสภาพคล่องสูง สเปรดแคบ
  • ใน Exchange ไทย คู่หลัก ๆ ที่คนเล่นกันก็คือ BTC/THB หรือ ETH/THB ใช้เงินบาทซื้อขายได้ตรง ๆ ไม่ต้องแปลงผ่าน USDT

5. วางคำสั่งซื้อ (Order Types)

  • Market Order ซื้อทันทีตามราคา Spot ที่ตลาดจับคู่ให้ ข้อดีคือเร็ว แต่ข้อเสียคืออาจได้ราคาสูงกว่าที่กะไว้ถ้าตลาดเหวี่ยง
  • Limit Order ตั้งราคาที่อยากซื้อ เช่น อยากได้ BTC ที่ 1,000,000 บาท ก็แค่ตั้งรอ ถ้าราคาลงมาตามนั้น ระบบจะซื้อให้อัตโนมัติ
  • Stop Order ใช้สำหรับตั้ง Stop-Loss หรือ Take-Profit เช่น ถ้า BTC หลุด 900,000 บาท ให้ขายทิ้งอัตโนมัติ ป้องกันการขาดทุนหนักเกินไป

6. เก็บเหรียญใน Wallet

  • ถ้าซื้อไว้เก็งกำไรระยะสั้น ฝากไว้ใน Exchange ก็พอ แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงว่าถ้า Exchange มีปัญหา เงินอาจติดอยู่ข้างใน
  • ถ้าตั้งใจถือยาว แนะนำโอนออกมาเก็บใน Cold Wallet เช่น Ledger หรือ Trezor เพราะปลอดภัยจากการถูกแฮ็กมากกว่า
  • ประสบการณ์จริง: หลายคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ Zipmex หรือ FTX จะรู้เลยว่า “ไม่ใช่กระเป๋าเรา = ไม่ใช่เหรียญเรา” การย้ายออกมาเก็บเองจึงสำคัญมาก

มุมมองจากนักเทรดที่เคยผ่านขั้นตอนนี้

การสมัคร Exchange ไม่ยาก แต่จุดที่มือใหม่ชอบงงคือ “ศัพท์” ที่แต่ละแพลตฟอร์มใช้ โดยเฉพาะของต่างประเทศ บางคำไม่ใช่ภาษาที่มือใหม่คุ้นเคยเลย แถมเวลาเจอปัญหาต้องคุยกับซัพพอร์ตภาษาอังกฤษอีก ต่างจากของไทยที่พิมพ์ถามแชทได้ตรง ๆ เข้าใจง่ายกว่าเยอะ ดังนั้นถ้าอยากเริ่มต้นแบบไม่เครียด ลองจาก Exchange ไทยก่อนจะสะดวกที่สุด

ภาพแสดงถึงหน้าตาของเว็บไซต์ Bitkub ผู้ให้บริการซื้อ-ขาย คริปโตเคอเรนซี เจ้าดังในประเทศไทย

ตัวอย่างการเทรดสปอต: ซื้อขายจริงในตลาดเรียลไทม์

Case 1: กำไรจากการถือสั้น (Short-term Win)

  • ซื้อ SOL ที่ราคา 30 USD จำนวน 100 เหรียญ รวมเป็น 3,000 USD
  • ราคาขึ้นไปถึง 45 USD แล้วขายออก ได้ 4,500 USD
  • กำไรสุทธิ 1,500 USD (ไม่รวมค่าธรรมเนียม)
  • มุมมองคนเทรด: ถ้าไม่โลภ ปิดออเดอร์เร็ว กำไรชัดเจน แต่ถ้าหวังว่าขึ้นต่อ อาจพลาดจังหวะขายสูงสุด

Case 2: ขาดทุนจากการถือยาว (Long-term Bagholding)

  • ซื้อ ADA ที่ราคา 1 USD จำนวน 2,000 เหรียญ รวมเป็น 2,000 USD
  • ราคาลงเหลือ 0.4 USD มูลค่าลดเหลือ 800 USD
  • ขาดทุน 1,200 USD แต่ยังถือเหรียญอยู่ ไม่ถูก Liquidate
  • มุมมองคนเทรด: Spot ช่วยให้ “ยังหายใจอยู่” ต่างจาก Futures ที่อาจถูกล้างพอร์ต แต่ก็เสี่ยงติดดอยยาวได้เหมือนกัน

Case 3: เก็งกำไรจากข่าว (News-driven Trade)

  • ได้ข่าวว่า Ethereum เตรียมอัปเกรดเครือข่าย จึงตัดสินใจเข้าไว
  • ซื้อ ETH ที่ 1,500 USD จำนวน 2 ETH รวมเป็น 3,000 USD
  • หลังประกาศข่าว ราคาขึ้นไปแตะ 1,800 USD มูลค่าเพิ่มเป็น 3,600 USD
  • กำไรสุทธิ 600 USD
  • มุมมองคนเทรด: ข่าวมักสร้างแรงเหวี่ยงรอบแรก ถ้าเข้าเร็วพอกำไรมาไว แต่ถ้าเข้าช้าอาจเจอ “Sell the News” ราคากลับไหลลงแทน

Case 4: ซื้อ DCA แล้วรอด (Dollar-Cost Averaging)

  • เริ่มแรกซื้อ BTC ที่ราคา 60,000 USD จำนวน 0.05 BTC ใช้เงิน 3,000 USD
  • ราคาดิ่งลงเหลือ 30,000 USD จึงซื้อเพิ่มอีก 0.05 BTC ใช้เงิน 1,500 USD
  • ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 45,000 USD ต่อ BTC รวมถือ 0.1 BTC คิดเป็น 4,500 USD
  • เมื่อราคากลับขึ้นมาที่ 50,000 USD มูลค่า 0.1 BTC เท่ากับ 5,000 USD
  • กำไรสุทธิ 500 USD
  • มุมมองคนเทรด: Spot ช่วยให้ใช้กลยุทธ์ DCA ได้จริง ลดความเสี่ยงการเข้าตลาดแพง แต่ต้องมีวินัยและทุนสำรองพอ

ภาพเปรียบเทียบความง่ายในการทำกำไร และ ความเสี่ยง ระหว่าง Spot, Futire และ Margin ความเสี่ยงมากที่สุดคือ ฟิวเจอร์ กับ Margin 

Spot Trading vs Futures: เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ

Spot Trading

  • คุณสมบัติหลัก
    • ซื้อขายเหรียญจริง ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถโอน เก็บ หรือใช้ในระบบ DeFi ได้
    • ไม่มีเลเวอเรจ (Leverage)  ขาดทุนมากสุดเท่ากับเงินที่ลงทุนไป ไม่กลายเป็นหนี้
    • เหมาะสำหรับมือใหม่และนักลงทุนสายถือยาว (Hodler) ที่ต้องการความมั่นคงมากกว่าความเสี่ยง
  • ข้อได้เปรียบจากสนามจริง
    • ถ้าตลาดลงแรง ยังสามารถถือเหรียญต่อ รอรอบใหม่ได้ ต่างจาก Futures ที่มักถูก Liquidate ไปก่อน
    • เปิดโอกาสให้ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) ลดต้นทุนเฉลี่ยในการเข้าซื้อได้
    • นักลงทุนจำนวนมากที่รอดจากตลาดขาลง มักเริ่มต้นจาก Spot เพราะไม่มีแรงกดดันจากเลเวอเรจ

Futures Trading

  • คุณสมบัติหลัก
    • ไม่ได้ซื้อเหรียญจริง แต่ซื้อขาย “สัญญา” ที่อ้างอิงราคาเหรียญ
    • ใช้เลเวอเรจ (เช่น x5, x10, x50) เพื่อเพิ่มขนาดการเทรด ทำให้ทำกำไรได้ทั้งตอนตลาดขึ้นและลง
    • เหมาะกับนักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์ เข้าใจการบริหารความเสี่ยง และควบคุมจิตวิทยาได้ดี
  • ข้อควรระวังจากสนามจริง
    • มือใหม่ที่เข้ามา Futures โดยไม่เข้าใจระบบมักหมดทุนเร็ว เพราะโดน Margin Call หรือ Liquidate
    • เลเวอเรจสูงเหมือนดาบสองคม  กำไรเร็ว แต่ถ้าตลาดวิ่งสวนทางเพียงเล็กน้อย พอร์ตอาจหายทันที
    • ความกดดันสูง ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากอยู่ในภาวะเครียด แม้จะกำไร ก็ไม่สามารถพักผ่อนอย่างเต็มที่
  • Spot  จุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยกว่า เหมาะกับคนที่ยังใหม่ อยากเรียนรู้โครงสร้างตลาดโดยไม่กดดันเกินไป
  • Futures  เครื่องมือทำกำไรที่ทรงพลัง แต่ต้องมีทั้งประสบการณ์และวินัย ถ้าเข้าไปเร็วเกินไปโอกาสหมดพอร์ตมีสูงมาก
  • หลักการสำคัญคือ “เข้าใจตัวเอง” ถ้าไม่พร้อมรับความผันผวนหนัก Spot คือทางเลือกที่ควรเริ่มก่อน แต่ถ้าฝึกมาพอสมควร การขยับไป Futures ก็เป็นอีกขั้นที่สร้างโอกาสมากขึ้น

คลิปที่น่าสนใจ

  • ขอแนะนำคลิปที่สอนการเทรด คริปโตแบบ Spot ที่ทำได้ง่าย ๆ เหมาะมากเลยสำหรับมือใหม่ 
  • กับคลิป สอนเทรด Binance แบบ Spot ด้วยมือถือ ฉบับจับมือทำ (สำหรับมือใหม่) จากช่อง 
    Investor Network 

สรุป

  • Spot คือการเทรดที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา มือใหม่เข้าใจได้เร็ว เพราะไม่ต้องยุ่งกับเรื่องเลเวอเรจหรือสัญญาซับซ้อน
  • ได้เหรียญจริงในมือ สามารถโอนไปเก็บในกระเป๋าส่วนตัว ใช้ใน DeFi หรือถือยาวรอรอบตลาดกลับมา
  • ความเสี่ยงจำกัดชัดเจน ขาดทุนมากสุดเท่ากับเงินที่ลง ไม่มีทางติดหนี้เพิ่มเหมือน Margin หรือ Futures
  • เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ตลาดคริปโต การเทรด Spot ทำให้เห็นทั้งโครงสร้างราคา, ความผันผวนของรอบตลาด และพฤติกรรมนักลงทุน
  • ก้าวต่อไปจะมั่นคงกว่า คนที่เริ่มจาก Spot มักเข้าใจการบริหารพอร์ตและจิตวิทยาได้ดี ก่อนจะขยับไป Futures หรือ Margin ซึ่งเสี่ยงและซับซ้อนกว่า

อ้างอิง

FAQ – เทรดคริปโตแบบ Spot คืออะไร

Spot คือการซื้อเหรียญจริง เก็บไว้ในกระเป๋าของเรา ต่อให้ราคาลงก็ยังถือได้ ไม่โดนบังคับล้างพอร์ต ต่างจาก Futures ที่ใช้ Leverage ถ้าราคาผิดทางมากพอ อาจถูก Liquidate จนศูนย์ทันที
มือใหม่เริ่มที่ Spot จะปลอดภัยกว่า เพราะขาดทุนมากสุดก็แค่เงินที่ซื้อเหรียญ และยังถือเหรียญจริงได้ Futures ทำกำไรได้แรง แต่เสี่ยงพอร์ตหายเร็วถ้าไม่มีวินัยและไม่เข้าใจระบบ เริ่มจาก Spot ให้คล่องก่อน แล้วค่อยไป Futures ตอนที่พร้อมจริง ๆ
ทำได้ทั้งคู่ ถ้าสายเก็งกำไร สามารถเล่นรอบสั้นจากข่าวหรือการเด้งของราคา แต่ถ้าสายลงทุนยาว Spot ก็ตอบโจทย์เพราะถือไว้ไม่มีวันหมดอายุ ต่างจากอนุพันธ์ที่มีข้อจำกัดด้านเวลา
ไม่จำเป็น เพราะสามารถซื้อได้ทีละน้อยตามกำลัง เช่น ซื้อ BTC 0.001 ก็ได้ จุดสำคัญอยู่ที่การจัดการเงินทุนและการเลือกจังหวะเข้า ไม่ใช่จำนวนเงินเริ่มต้น

มือใหม่ส่วนใหญ่พลาดเพราะไล่ตามราคาและไม่มีแผน ถ้าวันไหนตลาดไม่ชัดเจน อย่าเทรดคือการป้องกันพอร์ตที่ดีที่สุด ให้เริ่มจาก เงินเย็น ที่ยอมเสียได้ เลือกเทรดแค่เหรียญหลักอย่าง BTC หรือ ETH ก่อน และเ วางแผนให้ชัดว่าจะเล่นสั้นหรือถือยาว ตั้งจุดเข้า-จุดตัดขาดทุนก่อนซื้อทุกครั้ง และเสี่ยงต่อไม้ไม่เกิน 1% ของพอร์ต

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen