ทำความรู้จักกับ BOC คืออะไร

Bank of Canada (BOC) หรือ Banque du Canada คือ ธนาคารกลางของแคนาดา ในภาษาฝรั่งเศส เป็นธนาคารกลางของแคนาดาและเป็น Crown Corporation ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1934 ภายใต้ Bank of Canada Act และเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1935 ซึ่งหมายความว่าธนาคารนี้มีประวัติศาสตร์การดำเนินงานมากกว่า 90 ปี

ในฐานะธนาคารกลางของ เศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 10 ของโลก BOC มีบทบาทสำคัญไม่เพียงแต่ในอเมริกาเหนือเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะในการกำหนดค่าเงินดอลลาร์แคนาดา (CAD) ซึ่งเป็นหนึ่งในสกุลเงินสำรองหลักของโลกและมีการซื้อขายเป็นอันดับ 6 ในตลาด Forex

ข้อมูลพื้นฐานของ BOC

  • วันก่อตั้ง – 3 กรกฎาคม 1934 โดย Bank of Canada Act และเริ่มดำเนินการ 11 มีนาคม 1935
  • สำนักงานใหญ่ – Bank of Canada Building, 234 Wellington Street ในออตตาวา รัฐออนแทรีโอ
  • ผู้ว่าการ – ตำแหน่งสูงสุดของ BOC ที่ดำรงตำแหน่งวาระ 7 ปี
  • สกุลเงิน – ดอลลาร์แคนาดา (CAD) ตามมาตรฐาน ISO 4217
  • เงินสำรอง – 123,084 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในรูปของเงินสำรองระหว่างประเทศ
  • อัตราดอกเบี้ยธนาคาร – เครื่องมือหลักในการควบคุมเงินเฟ้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ

ลักษณะเฉพาะของ BOC

BOC มีความเป็นเอกลักษณ์หลายประการที่แตกต่างจากธนาคารกลางอื่นๆ

  • ประการแรก แคนาดาเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ำมัน แร่ทอง และผลิตภัณฑ์เกษตร ทำให้เศรษฐกิจแคนาดามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก
  • ประการที่สอง แคนาดามีความใกล้ชิดทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาอย่างมาก โดยการค้าระหว่างสองประเทศคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของการค้าต่างประเทศของแคนาดา ทำให้ BOC ต้องคำนึงถึงนโยบายของ Federal Reserve อย่างใกล้ชิด
  • ประการที่สาม คือ ระบบการเงินของแคนาดามีเสถียรภาพสูง โดยไม่เคยประสบวิกฤตการเงินใหญ่เหมือนประเทศอื่นๆ ในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ระบบธนาคารแคนาดาสามารถรักษาเสถียรภาพได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ

โครงสร้างความเป็นเจ้าของ

BOC เป็น Crown Corporation ซึ่งหมายความว่าเป็นองค์กรที่รัฐบาลเป็นเจ้าของแต่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน รัฐมนตรีการคลัง (Minister of Finance) ถือหุ้นทั้งหมดของธนาคารในนามของรัฐบาล และกำไรจากการดำเนินงานของ BOC จะโอนให้กับคลังของรัฐบาลกลาง

โครงสร้างนี้ช่วยให้ BOC มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการเงิน แต่ยังคงมีความรับผิดชอบต่อรัฐบาลและประชาชน การออกแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการแทรกแซงทางการเมืองในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงิน

BOC ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจแคนาดาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวสำคัญในการกำหนดทิศทางของ ตลาด Forex ในอเมริกาเหนือ และมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาค

โครงสร้างและระบบการจัดการของ BOC

BOC มีโครงสร้างการจัดการที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ระบบการจัดการนี้ประกอบด้วยหลายระดับที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้การกำหนดนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพสูงสุด

Governing Council – คณะกรรมการบริหาร

Governing Council เป็นองค์กรหลักที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายการเงินของ BOC โดยประกอบด้วยสมาชิก 6 คนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน

องค์ประกอบของ Governing Council

  • ผู้ว่าการ (Governor) – หัวหน้าของธนาคารและประธาน Governing Council
  • รองผู้ว่าการอาวุโส (Senior Deputy Governor) – รองผู้ว่าการอันดับหนึ่ง
  • รองผู้ว่าการ (Deputy Governors) 4 คน – ผู้ช่วยที่ดูแลด้านต่างๆ ของธนาคาร

การประชุมของ Governing Council จัดขึ้น เป็นประจำทุก 6 สัปดาห์ เพื่อหารือและตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน การตัดสินใจทำโดยฉันทามติ โดยทุกสมาชิกมีสิทธิแสดงความเห็นและมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย

Board of Directors – คณะกรรมการ:

คณะกรรมการของ BOC มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการดำเนินงานทั่วไปของธนาคาร แต่ไม่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบเฉพาะของ Governing Council

องค์ประกอบของ Board of Directors

  • ผู้ว่าการ – เป็นประธานคณะกรรมการ
  • รองผู้ว่าการอาวุโส – เป็นรองประธาน
  • กรรมการภายนอก – ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีการคลัง มีวาระ 3 ปี
  • รองรัฐมนตรีการคลัง – เป็นสมาชิกแต่ไม่มีสิทธิลงคะแนน

กรรมการภายนอกมาจากภาคเอกชนและมีประสบการณ์ในด้านธุรกิจ การเงิน หรือเศรษฐศาสตร์ พวกเขามีหน้าที่ให้คำแนะนำและกำกับดูแลการจัดการองค์กรของ BOC

การแต่งตั้งผู้บริหาร

การแต่งตั้งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการเป็นกระบวนการที่มีความโปร่งใสและอิสระ แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจในการแต่งตั้ง แต่ในทางปฏิบัติการเลือกผู้ว่าการจะได้รับการหารือกับรัฐบาล

คุณสมบัติและวาระ

  • ผู้ว่าการ – ดำรงตำแหน่งวาระ 7 ปี สามารถได้รับการต่อวาระ
  • รองผู้ว่าการ – ดำรงตำแหน่งวาระ 7 ปี สามารถได้รับการต่อวาระ
  • ความเป็นอิสระ – ไม่สามารถถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ ยกเว้นกรณีประพฤติมิชอบ
  • ความรับผิดชอบ – ต้องรายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐสภาอย่างสม่ำเสมอ

ระบบนี้ช่วยให้ BOC สามารถกำหนดนโยบายการเงินโดยอิงหลักเศรษฐศาสตร์มากกว่าการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์นโยบายการเงินแคนาดา

หน้าที่และเป้าหมายหลักของ BOC

BOC ดำเนินงานภายใต้ Bank of Canada Act ซึ่งกำหนดภารกิจหลักไว้ในคำนำของกฎหมายว่า “เพื่อควบคุมเครดิตและสกุลเงินเพื่อประโยชน์สูงสุดของเศรษฐกิจชาติ เพื่อควบคุมและปกป้องมูลค่าภายนอกของหน่วยเงินตราแห่งชาติ และเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในระดับทั่วไปของการผลิต การค้า ราคา และการจ้างงาน”

เป้าหมายการควบคุมเงินเฟ้อ:

หน้าที่หลักที่สำคัญที่สุดของ BOC คือ การรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในช่วงเป้าหมาย 1-3% ต่อปี โดยมีจุดกึ่งกลางที่ 2% เป้าหมายนี้ได้รับการนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1991 และได้พิสูจน์ความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่การนำเป้าหมายเงินเฟ้อมาใช้ในปี 1991 จนถึงปี 2019 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของแคนาดาอยู่ที่ 1.79% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกรอบนโยบายนี้

วิธีการควบคุมเงินเฟ้อ

  • อัตราดอกเบี้ย นโยบาย – เครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณและควบคุมเงินเฟ้อ
  • การสื่อสารกับตลาด – ใช้ Forward Guidance เพื่อจัดการความคาดหวัง
  • การติดตามข้อมูล – วิเคราะห์ตัวชี้วัดเศรษฐกิจหลายด้านอย่างต่อเนื่อง
  • ความยืดหยุ่น – พิจารณาปัจจัยชั่วคราวที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อในระยะสั้น

การส่งเสริมระบบการเงินที่มั่นคงและปลอดภัย

BOC มีความรับผิดชอบในการดูแลให้ระบบการเงินของแคนาดามีเสถียรภาพและปลอดภัย การดำเนินงานนี้ครอบคลุมการกำกับดูแลระบบการชำระเงิน การติดตามความเสี่ยงระบบ และการเป็น Lender of Last Resort

ระบบการเงินแคนาดาได้รับการยกย่องว่าเป็น หนึ่งในระบบที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในโลก โดยไม่เคยประสบวิกฤตการเงินรุนแรงเหมือนประเทศอื่นๆ ความสำเร็จนี้มาจากการกำกับดูแลที่เข้มงวดและการทำงานร่วมกันระหว่าง BOC และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ

  • ระบบการชำระเงิน – ดูแลให้ระบบการโอนเงินระหว่างธนาคารมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
  • การเป็น Lender of Last Resort – ให้สภาพคล่องแก่สถาบันการเงินในกรณีฉุกเฉิน
  • การติดตามความเสี่ยง – วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน
  • ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น – ทำงานร่วมกับ OSFI และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ

การเป็นผู้ออกธนบัตรเพียงหน่วยเดียว

BOC เป็น หน่วยงานเดียวที่มีอำนาจในการออกธนบัตรแคนาดา ตั้งแต่ปี 1944 BOC กลายเป็นผู้ออกธนบัตรที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหน่วยเดียวในแคนาดา การผลิตธนบัตรดำเนินการโดย Canadian Bank Note Company ตั้งแต่ปี 1935

การจัดการเงินตราของ BOC ไม่เพียงแต่ครอบคลุมการออกธนบัตรใหม่ แต่ยังรวมถึงการควบคุมคุณภาพ การป้องกันการปลอมแปลง และการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ๆ

ความรับผิดชอบด้านธนบัตร

  • การออกแบบและผลิต – พัฒนาธนบัตรที่มีคุณสมบัติป้องกันการปลอมแปลง
  • การจัดการวงจรชีวิต – ควบคุมการหมุนเวียนและการเก็บเงินเก่า
  • การวิจัยและพัฒนา – ร่วมมือกับธนาคารกลางอื่นๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยี
  • การศึกษาสาธารณะ – ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการตรวจสอบธนบัตรแท้

BOC ยังเป็นสมาชิกของ Four Nations Group ร่วมกับ Reserve Bank of Australia, Bank of England และ Bank of Mexico ในการทำงานร่วมกันด้านการวิจัยและพัฒนาความปลอดภัยของธนบัตร

การให้บริการการเงินแก่รัฐบาล

BOC ทำหน้าที่เป็นธนาคารของรัฐบาลแคนาดา โดยให้บริการการเงินและการจัดการเงินทุนแก่หน่วยงานรัฐบาล การดำเนินงานนี้รวมถึงการจัดการหนี้สาธารณะ การให้บริการการชำระเงิน และการจัดการเงินสำรองของประเทศ

การบริการเหล่านี้ช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อระบบการเงินแคนาดา ในภาพรวม

  • การจัดการหนี้สาธารณะ – ช่วยรัฐบาลในการออกพันธบัตรและการชำระหนี้
  • บริการธนาคารรัฐบาล – เป็นธนาคารหลักของรัฐบาลแคนาดา
  • การจัดการเงินสำรอง – ดูแลเงินสำรองระหว่างประเทศของแคนาดา
  • การให้คำปรึกษา – ให้คำแนะนำด้านนโยบายการเงินและการคลัง

การให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงินแคนาดา

BOC มีบทบาทสำคัญในฐานะ Lender of Last Resort ซึ่งหมายถึง การเป็นแหล่งสินเชื่อสุดท้ายสำหรับสถาบันการเงินที่เผชิญปัญหาสภาพคล่อง การดำเนินงานนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและป้องกันการแพร่กระจายของวิกฤตการเงิน

ระบบนี้ทำงานผ่าน Standing Liquidity Facility ซึ่งเป็นกลไกที่อนุญาตให้สถาบันการเงินที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถขอสินเชื่อจาก BOC ได้ในกรณีที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม โดยต้องมีหลักประกันที่เหมาะสม

  • Standing Liquidity Facility – ให้สินเชื่อระยะสั้นแก่สถาบันการเงินที่มีคุณสมบัติ
  • Emergency Lending Assistance – ความช่วยเหลือพิเศษในกรณีวิกฤตการเงิน
  • การกำหนดหลักประกัน – ระบุประเภทสินทรัพย์ที่ยอมรับเป็นหลักประกัน
  • การติดตามความเสี่ยง – ประเมินสถานะทางการเงินของสถาบันก่อนให้สินเชื่อ

ระบบนี้ได้พิสูจน์ประสิทธิภาพในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 เมื่อ BOC สามารถให้สภาพคล่องแก่ธนาคารหลักของแคนาดาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันการล่มสลายของระบบการเงิน

ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของ BOC

การพัฒนาของธนาคารกลางแคนาดามีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจแคนาดาและความต้องการในการมีธนาคารกลางที่เป็นอิสระ

ยุคก่อนการก่อตั้ง BOC:

ก่อนการก่อตั้ง BOC → ธนาคารแห่งมอนทรีอล (Bank of Montreal) ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ทำหน้าที่เป็นธนาคารของรัฐบาล และกระทรวงการคลังรับผิดชอบในการพิมพ์ธนบัตรรัฐบาล

ในปี 1933 นายกรัฐมนตรี R.B. Bennett ได้จัดตั้ง Royal Commission on Banking and Currency เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างธนาคารกลางสำหรับแคนาดา คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา รวมถึงผู้พิพากษาชาวสก็อต นักการเงินจากธนาคารแห่งอังกฤษ และนักการเมืองแคนาดา

แรงจูงใจหลักของ Bennett คือ การลดการพึ่งพาธนาคารอเมริกันในนิวยอร์ก ซึ่งเขาเชื่อว่ามีอิทธิพลเหนือค่าเงินดอลลาร์แคนาดามากเกินไป การมีธนาคารกลางเป็นของตนเองจะช่วยให้แคนาดามีอิสระทางการเงินมากขึ้น

  • ปัญหาการพึ่งพาต่างประเทศ – การพึ่งพาระบบการเงินสหรัฐมากเกินไป
  • ความต้องการความเป็นอิสระ – ต้องการควบคุมนโยบายการเงินด้วยตนเอง
  • การศึกษาจากประเทศอื่น – เรียนรู้จากประสบการณ์ของธนาคารกลางอื่นๆ
  • การเตรียมความพร้อม – จัดทำกรอบกฎหมายและโครงสร้างที่เหมาะสม

ยุคการก่อตั้งและพัฒนาเริ่มต้น (1934-1944):

BOC ได้รับการจดทะเบียนในฐานะบริษัทเอกชนเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1934 โดย Bank of Canada Act การตัดสินใจให้เป็นบริษัทเอกชนในตอนแรกมีจุดประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าธนาคารจะปลอดจากอิทธิพลทางการเมืองแบบพรรคพวก

วัตถุประสงค์ของธนาคารได้ระบุไว้ในคำนำของ Act ว่า “เพื่อควบคุมเครดิตและสกุลเงินเพื่อประโยชน์สูงสุดของชีวิตเศรษฐกิจของชาติ เพื่อควบคุมและปกป้องมูลค่าภายนอกของหน่วยเงินตราแห่งชาติ และเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในระดับทั่วไปของการผลิต การค้า ราคา และการจ้างงาน”

ในปี 1938 ในช่วงที่ William Lyon Mackenzie King เป็นนายกรัฐมนตรี ธนาคารได้รับการกำหนดให้เป็น Crown Corporation อย่างเป็นทางการ โดยรัฐมนตรีการคลังถือหุ้นทั้งหมดของธนาคาร การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ส่งผลต่อวัตถุประสงค์ของธนาคาร

ในปี 1944 BOC กลายเป็นผู้ออกธนบัตรที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหน่วยเดียวในแคนาดา

  • การเริ่มต้นแบบเอกชน – เพื่อป้องกันการแทรกแซงทางการเมือง
  • การเปลี่ยนเป็น Crown Corporation – รักษาความเป็นอิสระแต่รับผิดชอบต่อสาธารณะ
  • การขยายบทบาท – กลายเป็นผู้ออกธนบัตรเพียงหน่วยเดียว
  • การสร้างเสถียรภาพ – พัฒนาระบบการเงินที่แข็งแกร่ง

ยุคสงครามโลกและหลังสงคราม:

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง BOC มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความพยายามทางสงครามของแคนาดา ธนาคารดำเนินการ Foreign Exchange Control Board และ War Finance Committee ซึ่งระดมทุนผ่าน Victory Bonds

หลังสงครามสิ้นสุด บทบาทของ BOC ได้รับการขยายให้รวมถึงการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของแคนาดา ในปี 1944 รัฐสภาได้จัดตั้ง Business Development Bank of Canada (BDC) เป็นบริษัทย่อยเพื่อกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจแคนาดา

  • การสนับสนุนสงคราม – ระดมทุนเพื่อความพยายามทางสงคราม
  • การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน – จัดการค่าเงินในช่วงสงคราม
  • การขยายภารกิจ – เพิ่มบทบาทด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
  • การสร้างสถาบันใหม่ – จัดตั้งองค์กรสนับสนุนเพิ่มเติม

บทบาทของ BOC ในตลาด Forex และเศรษฐกิจโลก

ในฐานะธนาคารกลางของเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 10 ของโลก BOC มีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาด Forex โดยเฉพาะในการกำหนดค่าของดอลลาร์แคนาดา (CAD) ซึ่งเป็นสกุลเงินอันดับ 6 ที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 5% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดในตลาด Forex

ลักษณะเฉพาะของ CAD ในฐานะ Commodity Currency

ดอลลาร์แคนาดามีลักษณะพิเศษในฐานะ “Commodity Currency” เนื่องจากเศรษฐกิจแคนาดาพึ่งพาการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้ค่าเงิน CAD มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ทอง และผลิตภัณฑ์เกษตร

นโยบายการเงินของ BOC ส่งผลต่อคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับ CAD หลายคู่ โดยคู่สกุลเงินที่สำคัญที่สุด คือ USD/CAD ซึ่งเป็นคู่สกุลเงินที่เทรดเดอร์ทั่วโลกติดตามอย่างใกล้ชิด

  • USD/CAD – คู่สกุลเงินหลักที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบาย BOC และราคาน้ำมันดิบ
  • CAD/JPY – ไวต่อ Risk Sentiment และความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง BOC และ Bank of Japan
  • EUR/CAD – สะท้อนความแตกต่างของการเติบโตเศรษฐกิจระหว่างแคนาดาและยุโรป
  • GBP/CAD – ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
  • CAD/CHF – การเปรียบเทียบระหว่าง Commodity Currency และ Safe Haven Currency

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของ BOC:

BOC พิจารณาปัจจัยหลากหลายในการกำหนดนโยบายการเงิน ซึ่งมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ

ปัจจัยภายในประเทศ

  • ข้อมูลเงินเฟ้อ – Consumer Price Index (CPI) และ Core Inflation
  • ตลาดแรงงาน – อัตราการว่างงาน และการเจริญเติบโตของค่าจ้าง
  • การเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP Growth และตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ
  • ตลาดอสังหาริมทรัพย์ – ราคาบ้านและระดับหนี้ของครัวเรือน
  • การใช้จ่ายของผู้บริโภค – ความเชื่อมั่นและพฤติกรรมการใช้จ่าย

ปัจจัยภายนอกประเทศ

  • ราคาน้ำมันดิบ – โดยเฉพาะ West Texas Intermediate (WTI) และ Brent
  • ราคาทองคำ – แคนาดาเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ของโลก
  • เศรษฐกิจสหรัฐ – คู่ค้าหลักและเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน
  • นโยบายของ Federal Reserve – ส่งผลต่อการไหลเวียนของเงินทุนและ USD/CAD
  • ความเสี่ยงทางการเมืองโลก – เหตุการณ์ที่ส่งผลต่อ Risk Sentiment

ตัวอย่างผลกระทบจากข่าวของธนาคารกลางแคนาดาต่อ Forex

ภาพนี้แสดงกราฟราคาคู่เงิน USD/CAD บน TradingView

ข้อมูลเหตุการณ์

  • วันที่ 4 มิถุนายน 2025 เวลา 15:00 น.
  • การประกาศอัตราดอกเบี้ย (BoC Rate Statement)
  • การแถลงข่าวของธนาคารแห่งแคนาดา (BoC Press Conference)
  • การประชุมวันที่ 4-5 มิถุนายน 2025

ผลการประกาศ

  • คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.75%
  • ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ

ผลกระทบต่อตลาด

  • ความผันผวนสูงในคู่เงิน USD/CAD
  • แท่งเทียนขนาดใหญ่บนกราฟ TradingView
  • แรงขายเกิดขึ้นหลังการประกาศ

ความสำคัญ

  • แสดงให้เห็นอิทธิพลของข่าว BoC ต่อตลาด Forex
  • ส่งผลกระทบโดยเฉพาะคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์แคนาดา

 

คลิปที่น่าสนใจ

นาทีที่สำคัญ

  • นาที 2:22-2:41 – สถานการณ์เศรษฐกิจก่อนสงครามการค้า BOC สามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้ 2% เป็นเวลาหลายเดือน การลดดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น
  • นาที 14:38-14:54 – ผลกระทบต่อการจ้างงาน งานของคนแคนาดา 2 ล้านคนขึ้นอยู่กับการส่งออกไปสหรัฐ การใช้ภาษีสินค้าของสหรัฐส่งผลกระทบต่อการจ้างงานทันที
  • นาที 17:06-17:20 – เป้าหมายหลักของ BOC เป้าหมายหลักของธนาคารคือการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ที่ 2% และติดตามแนวโน้มเงินเฟ้อที่แท้จริง
  • นาที 22:33-22:47 – การตัดสินใจนโยบายการเงิน BOC คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.75% เป็นครั้งที่สองหลังจากลดดอกเบี้ยติดต่อกัน 7 ครั้ง
  • นาที 25:51-26:04 – บทบาทในการรักษาเสถียรภาพBOC มุ่งเน้นการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน พร้อมรักษาเงินเฟ้อให้คงที่เพื่อคนแคนาดา

บทสรุป: บทบาทและความสำคัญของ BOC

Bank of Canada มีบทบาทสำคัญไม่เพียงแต่ในเศรษฐกิจแคนาดาเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการเงินโลก ในฐานะธนาคารกลางของประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และระบบการเงินที่เสถียร BOC มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากธนาคารกลางอื่นๆ

สำหรับเทรดเดอร์ Forex การเข้าใจ BOC และปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารเป็นสิ่งจำเป็นในการเทรดคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับ CAD โดยเฉพาะ USD/CAD ซึ่งเป็นคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูงและมีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ดอลลาร์แคนาดาในฐานะ Commodity Currency มีความไวต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ทำให้เทรดเดอร์ต้องติดตามทั้งนโยบายของ BOC และการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันไปพร้อมๆ กัน

  • การวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจ – ติดตามตัวชี้วัดหลักที่ BOC ให้ความสำคัญ
  • การติดตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ – เฉพาะน้ำมันดิบและทองคำ ที่ส่งผลต่อ CAD
  • การอ่านรายงานการประชุม – เข้าใจเหตุผลและทิศทางการคิดของ Governing Council
  • การประเมิน Risk Sentiment – CAD ไวต่อความเชื่อมั่นของตลาดโลก
  • การวิเคราะห์เปรียบเทียบ – เปรียบเทียบนโยบายของ BOC กับ Federal Reserve

อ้างอิง

FAQ — BOC (Bank of Canada) หรือธนาคารกลางแคนาดาคืออะไร?

ความเสถียรของระบบธนาคารเป็นปัจจัยพื้นฐานระยะยาวที่ดี ทำให้ CAD มีความน่าเชื่อถือ แต่ในระยะสั้น ความผันผวนของ CAD ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าสกุลเงินอื่นเลย โดยเฉพาะช่วงประกาศนโยบายของ BOC หรือช่วงราคาน้ำมันเหวี่ยงแรง ความเสถียรของระบบธนาคาร = ไม่ต้องกังวลว่าระบบจะล่มสลายในชั่วข้ามคืน แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่ผันผวน นิ่งๆ เทรดง่ายๆ แค่วนๆ ยังไงพอร์ตก็เสียหายได้ง่าย ถ้าไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
เพราะ BOC ไม่ได้มองแค่ตัวเลขเงินเฟ้อในตอนนี้ แต่มองแนวโน้ม + ปัจจัยชั่วคราว ที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อด้วย ถ้าเงินเฟ้อต่ำเพราะราคาพลังงานลดลงชั่วคราว แต่ตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น การจ้างงานและการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงดีอยู่   BOC ก็อาจเลือกมองข้ามปัจจัยชั่วคราวไป แล้วคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ธนาคารกลางมักมองไปข้างหน้า 18-24 เดือนเสมอ 
ในขณะที่ USD/CAD คือตัวหลักเพราะสภาพคล่องสูงสุด แต่คู่เงินที่นิยมใช้เพื่อวัดความเชื่อมั่นของตลาด คือ CAD/JPY เพราะเป็นการจับคู่กันระหว่าง Commodity Currency (CAD) ที่อ่อนไหวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก กับ Safe Haven Currency (JPY) ที่คนจะวิ่งเข้าหาเมื่อตลาดกลัว ถ้า BOC ออกแถลงการณ์ที่ทำให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก (Risk-Off) คู่ CAD/JPY ก็จะร่วงลงอย่างรุนแรง ทำให้ USD/CAD เป็นบารอมิเตอร์วัดความกลัวที่ดี
1 ในสิ่งที่เทรดเดอร์หลายคนชอบ คือ มีความเชื่อมโยงที่ชัดเจน เพราะในหลายๆคู่สกุลเงินเคลื่อนไหวตามกระแสข่าวที่คาดเดาได้ยาก แต่ CAD มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่จับต้องได้ 3 อย่าง 1) นโยบายของ BOC 2) ราคาน้ำมัน 3) เศรษฐกิจ US แปลว่าถ้าเตรียมทำการบ้านใน 3 เรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ก็จะสามารถสร้าง narrative ที่มีเหตุผลมารองรับการเทรดได้ ทำให้ CAD เป็นสกุลเงินเหมาะกับเทรดเดอร์ที่ขยันตามข่าวและมีวินัยในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
เพราะ BOC มีวัฒนธรรมการกำกับดูแลที่แตกต่างกัน ในขณะที่ US มีธนาคารหลายพันแห่งและหน่วยงานกำกับดูแลที่ซับซ้อนกว่ามาก แต่แคนาดามีธนาคารยักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่ง ที่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานเดียว (OSFI) ทำให้ไม่มีการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง ๆ แบบไม่มีการดูแลให้ทั่วถึงเหมือนอย่างใน US แล้วที่สำคัญ BOC ยังทำหน้าที่เป็น Lender of Last Resort (ผู้ให้กู้ยืมรายสุดท้าย) ได้เป็นอย่างดี เป็นความแข็งแกร่งที่มาจากความรอบคอบ + การทำงานร่วมกันในทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen