โอกาสที่บิทคอยน์จะล้มละลาย คืออะไร?
- บิทคอยน์ เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่แตกต่างจากธุรกิจทั่วไป การล้มละลายในโลกคริปโตจึงไม่ใช่เรื่องเหมือนบริษัทล้มละลาย
- แต่มันคือการที่ราคาบิทคอยน์ตกจนแทบไม่มีมูลค่า หรือถูกละเลยจากผู้ใช้และนักลงทุน
ความหมายของคำว่า “ล้มละลาย” ในโลกคริปโต
- ล้มละลายใน คริปโต คือการสูญเสียมูลค่าจนแทบไม่มีใครถือหรือใช้เหรียญนั้นอีกต่อไป
- ไม่มีบริษัทหรือเจ้าของคนเดียวที่ต้องประกาศล้มละลาย เพราะบิทคอยน์เป็นระบบกระจายศูนย์
- มูลค่าที่ตกลงอย่างหนักมาจากการสูญเสียความเชื่อมั่นและการใช้งานจริงในตลาด
ต่างจากหุ้นหรือบริษัททั่วไปอย่างไร?
- หุ้นเป็นส่วนแบ่งของบริษัทที่มีเจ้าของและมีสถานะทางกฎหมายชัดเจน
- บริษัทล้มละลายคือบริษัทหยุดกิจการ เจ๊ง ขาดทุนเกินทรัพย์สิน
- บิทคอยน์ไม่มีเจ้าของ ไม่มีบริษัท ไม่มีหนี้สิน เพียงแต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือของผู้ใช้งานและตลาดเท่านั้น
- การล้มละลายจึงเกิดขึ้นในรูปแบบของราคาที่ตกต่ำ ไม่ใช่การปิดกิจการหรือขาดทุนในระบบธุรกิจ
ในภาพเผยถึงเหรียญ Luna ที่ปี 2021 มีราคาสูงมากถึง 119.6100 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันกลับอยู่ที่ 0.1571 พร้อมกับข่าวความล่มสลายของ FTX ซึ่ง BTC ไม่ถึงกับหายไปจากตลาด ยังอยู่แต่ไม่มีมูลค่า
ปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้บิทคอยน์หมดมูลค่า
ความเชื่อมั่นของผู้ถือหายไป
- ความเชื่อมั่นเป็นหัวใจสำคัญของ บิทคอยน์ ถ้าคนที่ถือเหรียญเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัย หรือเห็นข่าวลบหนัก ๆ ความกลัวจะทำให้เกิดการเทขายอย่างรวดเร็ว
- ข่าวลบ เช่น การโจมตีระบบครั้งใหญ่ หรือข้อมูลการรั่วไหลที่สำคัญ จะทำให้ตลาดเกิด Panic Sell คือการขายเหรียญทิ้งอย่างตื่นตระหนก
- ตัวอย่างสมมุติ: สมมุติว่ามีข่าวลือหรือข้อมูลจริงว่าบิทคอยน์ถูกเจาะระบบสำเร็จ ทำให้ธุรกรรมที่เคยเชื่อถือไม่ได้ นักลงทุนเทขายหนักจนราคาดิ่งฮวบ หลายคนแทบไม่เหลือมูลค่า
- การสูญเสียความเชื่อมั่นยังส่งผลต่อการใช้งานในระยะยาว เพราะคนกลัวระบบไม่ปลอดภัยและไม่มั่นใจในคุณค่าของเหรียญ
บิทคอยน์ไม่ถูกใช้จริงในชีวิตประจำวัน
- ถ้าบิทคอยน์กลายเป็นแค่เครื่องมือเก็งกำไร ไม่ใช่สื่อกลางแลกเปลี่ยนในชีวิตจริง มูลค่าจะลดลงตาม
- ร้านค้าหรือบริการที่เลิกรับบิทคอยน์ จะทำให้การใช้เหรียญในชีวิตประจำวันลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ
- ตัวอย่างสมมุติ:
- 5 ปีข้างหน้า สมมุติว่าร้านค้าใหญ่ทั่วโลกหยุดรับบิทคอยน์ เพราะค่าธรรมเนียมและความยุ่งยากสูง ทำให้คนทั่วไปไม่ใช้จ่ายด้วยบิทคอยน์อีกต่อไป
- เมื่อเหรียญไม่มีบทบาทในการใช้จ่ายจริง ความต้องการเหรียญก็น้อยลง ราคาก็เสี่ยงร่วงตาม
ราคาดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง
- ราคาที่ตกลงติดต่อกันหลายปี จะทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจและเลิกสนใจเข้ามาลงทุนใหม่
- ตลาดจะสูญเสียความลึก หมายถึงจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายลดลง ความผันผวนสูงจนเสี่ยงเกินไปสำหรับนักลงทุน
- ตัวอย่างสมมุติ:
- สมมุติว่าราคาบิทคอยน์ดิ่งจาก 60,000 ดอลลาร์ เหลือ 1,000 ดอลลาร์ภายใน 2 ปี นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุนหนัก จนเลิกถือเหรียญหรือถอนทุนออกไปหมด
- สภาวะราคาตกอย่างรุนแรงแบบนี้อาจทำให้ตลาดหายใจไม่ออก เหรียญไม่มีมูลค่าเหลือ
ไม่มีนักพัฒนาหลักดูแลเครือข่ายอีกต่อไป
- นักพัฒนาเป็นคนสำคัญที่ดูแลความปลอดภัยและพัฒนาระบบให้ทันสมัย
- ถ้าทีมนักพัฒนาหลักเริ่มหมดแรง เบื่อ หรือไม่สนับสนุนโค้ดใหม่ ๆ ระบบก็อาจตามเทคโนโลยีล้าหลัง
- ตัวอย่างสมมุติ:
- ทีมพัฒนาหลักประกาศถอนตัว ทำให้ไม่มีคนดูแลบั๊กและช่องโหว่ใหม่ ๆ เครือข่ายเริ่มช้าและมีช่องโหว่ความปลอดภัยมากขึ้น
- นั่นส่งผลให้ผู้ใช้เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นและถอนตัวออกจากระบบ
คู่แข่งที่ดีกว่าแย่งตลาดไปหมด
- คริปโตใหม่ ๆ ที่เร็วกว่า ถูกกว่า และใช้งานง่ายกว่า จะดึงความสนใจของนักลงทุนและผู้ใช้ไปได้
- บิทคอยน์ถ้าไม่ปรับตัวตามเทคโนโลยี อาจถูกเหรียญใหม่เหล่านี้เบียดแย่งตลาด
- ตัวอย่างสมมุติ:
- เหรียญใหม่ A มีค่าธรรมเนียมต่ำมาก ต่ำกว่า 1 บาทต่อธุรกรรม ใช้เวลาทำธุรกรรมไม่กี่วินาที ทำให้หลายคนย้ายไปใช้เหรียญนั้นแทนบิทคอยน์ที่ช้ากว่าและแพงกว่า
- เมื่อผู้ใช้งานลดลง ราคาบิทคอยน์ก็อาจถูกกดดันจนตกต่ำตาม
ภาพที่เผยถึงปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บิทคอยน์หมดมูลค่า เช่น หมดความน่าเชื่อถือ, ทั้งโลกหยุดรับบิทคอยน์ ที่สำคัญคนเปลี่ยนไปใช้เหรียญอื่นแล้ว ทำให้ราคาตกลง
การโจมตีระบบเครือข่าย: จุดอ่อนที่ถูกมองข้าม
- แม้บิทคอยน์จะถูกยกให้เป็นระบบที่ปลอดภัยระดับสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีจุดอ่อน หรือเป็นระบบที่กันทุกอย่างได้ 100%
- ถ้ามีการโจมตีที่รุนแรงและประสบความสำเร็จ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดและราคาบิทคอยน์อย่างรุนแรง
51% Attack คืออะไร?
- คือสถานการณ์ที่กลุ่มคนหรือกลุ่มขุดเหมืองบิทคอยน์ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สามารถควบคุมพลังขุด (Hash Rate) มากกว่า 50% ของระบบทั้งหมดได้
- เมื่อได้ครองพลังขุดมากกว่าครึ่ง ระบบจะไม่สามารถยืนยันธุรกรรมใหม่ได้อย่างเป็นกลาง กลุ่มนี้จะสามารถเลือกบล็อกธุรกรรม หรือแม้แต่ย้อนกลับธุรกรรมที่ตัวเองทำได้
- การโจมตีแบบนี้ทำลายความเชื่อถือในระบบอย่างรุนแรง เพราะคนจะไม่มั่นใจว่าธุรกรรมที่ทำไปจะได้รับการยืนยันอย่างถูกต้อง
- ราคาบิทคอยน์ในตลาดจะร่วงอย่างรวดเร็วทันที เนื่องจากความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
ถ้าเครือข่ายถูกควบคุม จะเกิดอะไรขึ้น?
- ระบบบิทคอยน์ถูกออกแบบมาให้กระจายศูนย์ ไม่มีใครมีอำนาจควบคุมทั้งหมด
- หากกลุ่มเดียวหรือบุคคลหนึ่งสามารถควบคุมเครือข่ายได้ จะสูญเสียคุณสมบัติที่สำคัญนี้ไป ทำให้ระบบกลายเป็นแบบรวมศูนย์ (Centralized)
- นักลงทุนและผู้ใช้งานจะสูญเสียความเชื่อมั่น เพราะความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบไม่ถูกการันตีอีกต่อไป
- การควบคุมเครือข่ายนี้อาจนำไปสู่การตรวจสอบธุรกรรมได้อย่างผิดพลาด หรือปฏิเสธธุรกรรมบางอย่างตามความต้องการของผู้ควบคุม
- ผลสุดท้าย ราคาบิทคอยน์จะร่วงหนักมาก เพราะผู้ถือเหรียญกลัวความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และรีบขายเหรียญออกจากตลาดทันที
- ตัวอย่างสมมุติ:
- สมมุติกลุ่มขุดเหมืองใหญ่ประกาศรวมกำลังจนได้พลังขุดเกิน 51% ภายในเวลาไม่นาน นักลงทุนเริ่มขายเหรียญทิ้งเพราะกลัวระบบถูกควบคุม ราคาลดลงเกิน 50% ในวันเดียว
ภาพตัวอย่างกราฟราคา BTC/USD ที่ตั้งแต่ต้นปี 2025 มีจุดที่ราคาลงไปต่ำสุดที่ 74,465.5 เดือน เมษายน แต่กลับขึ้นไปทะลุจุดสูงสุดเดิม และสร้าง ATH ใหม่ที่ 123,426 ดอลลาร์แทน เพิ่มขึ้นเกือบเท่ากับตัวเลย
ประเทศใหญ่แบนบิทคอยน์ ส่งผลยังไง?
- ถ้าประเทศที่มีบทบาททางเศรษฐกิจใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐฯ หรือจีน ออกนโยบาย “ห้ามใช้” หรือ “ห้ามซื้อขาย” บิทคอยน์ ผลกระทบจะไม่ใช่แค่ภายในประเทศนั้น แต่ลามไปทั่วโลก
- ยกตัวอย่างจีน ที่เคยแบนเหมืองขุด ทำให้ Hashrate ของระบบบิทคอยน์ร่วงแรงทันที ก่อนที่เครือข่ายจะฟื้นตัวจากการย้ายเหมืองไปประเทศอื่น
- เมื่อมีกฎห้ามหรือจำกัด คนจะเลิกใช้แบบถูกกฎหมาย ตลาดใต้ดินจะโตขึ้น แต่ความเชื่อมั่นในภาพรวมจะลดลง
- ความต้องการลดลง ราคาก็จะร่วงตาม เพราะตลาดมองว่า “บิทคอยน์ถูกต้านจากระดับนโยบายรัฐ”
ภาพแสดงถึงสาเหตุที่ทำให้บิทคอย์หมดมูลค่า มีหลายเหตุผลไม่ว่าจะเป็น มีคู่แข่งใหม่ หรือ การถูกรัฐบาลแบน พร้อมทั้ง ตั้งข้อจำกัด ราคาจะมีอยู่ 3 ส่วนคือ 1 พุ่งขึ้นไปสูง, คงอยู่ในกรอบราคา และ ค่อย ๆ หมดมูลค่า
การกำกับดูแลเข้มงวด กระทบความนิยม
- ถ้ากฎหมายเริ่มเข้มงวด เช่น บังคับรายงานภาษีจากการถือครองหรือเทรดคริปโต, จำกัดการโอนเหรียญ หรือบังคับให้ผ่านตัวกลางที่ได้รับอนุญาต
- คนที่เคยใช้บิทคอยน์เพื่อความ “อิสระ” และ “ไร้ตัวกลาง” จะเริ่มไม่โอเค เพราะมันตรงข้ามกับแนวคิดดั้งเดิมของคริปโต
- โดยเฉพาะสายเทรดหรือสาย HODL ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวจะเริ่มหันไปหาเหรียญอื่น หรือเลิกใช้ไปเลย
- ความนิยมก็จะลดลง ความต้องการลดลง ราคาก็จะตามลงไปด้วย
- อีกปัญหาคือ นักลงทุนรายใหญ่ (เช่น กองทุน) จะไม่กล้าเข้ามาลงทุน เพราะไม่แน่ใจว่ากฎหมายจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ และจะผิดกฎหมายหรือไม่
กรณีศึกษาจากประเทศต่าง ๆ:เมื่อรัฐบาลเข้ามาจัดการกับบิทคอยน์
จีน: จากแหล่งขุดอันดับหนึ่ง สู่ประเทศที่ “แบนคริปโต”
- ก่อนหน้านี้ จีนคือศูนย์กลางการขุดบิทคอยน์ของโลก คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของ Hashrate ทั้งหมด เพราะค่าไฟถูกและการเข้าถึงฮาร์ดแวร์ง่าย
- ในปี 2021 รัฐบาลจีนประกาศแบนการขุดและการทำธุรกรรมคริปโตทุกประเภท โดยให้เหตุผลว่าเป็น “ความเสี่ยงทางการเงิน” และ “สิ้นเปลืองพลังงาน”
- ผลกระทบ
- Hashrate ร่วงลงทันที ทำให้เครือข่ายบิทคอยน์ช้าลงช่วงสั้น ๆ
- ราคาบิทคอยน์ร่วงลงในทันที (ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2021)
- เหมืองขุดย้ายไปประเทศอื่น เช่น คาซัคสถาน สหรัฐฯ และแคนาดา
- : กฎหมายที่ออกแบบฉับพลันจากประเทศใหญ่สามารถกระทบระบบได้จริง และทำให้ราคาผันผวนรุนแรง
อินเดีย: เปลี่ยนใจไปมา นักลงทุนสับสน
- ปี 2018: ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) สั่งห้ามธนาคารทำธุรกรรมกับบริษัทคริปโต
- ปี 2020: ศาลสูงอินเดียยกเลิกคำสั่งของ RBI ทำให้ตลาดกลับมาโต
- ปี 2022: อินเดียเริ่มเก็บภาษีคริปโต 30% จากกำไร และ 1% สำหรับทุกธุรกรรม (TDS)
- ผลกระทบ
- นักลงทุนรายย่อยเริ่มถอนตัว เพราะค่าธรรมเนียมและภาษีสูง
- Volume การเทรดในแพลตฟอร์มภายในประเทศตกลงอย่างรุนแรง
- การเปลี่ยนนโยบายไปมาทำให้ตลาดขาดเสถียรภาพ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและย้ายออกจากตลาด
สหรัฐอเมริกา: ตลาดใหญ่ แต่ไม่ชัดเจน
- ยังไม่แบนบิทคอยน์โดยตรง แต่มีการควบคุมที่เข้มข้นผ่านหน่วยงานอย่าง SEC, CFTC และ IRS
- ประเด็นสำคัญ
- SEC มีคดีความกับบริษัทคริปโตหลายราย (เช่น Ripple, Coinbase)
- IRS บังคับรายงานภาษีการถือครองและการขายคริปโต
- การรออนุมัติ Bitcoin Spot ETF ใช้เวลาหลายปี กว่าจะสำเร็จต้นปี 2024
- ผลกระทบ
- ตลาดคริปโตในสหรัฐฯ มีความเสี่ยงทางกฎหมายสูง นักลงทุนรายใหญ่ระวังตัว
- บริษัทหลายแห่งเริ่มพิจารณาย้ายฐานไปยังประเทศที่เป็นมิตรกับคริปโตมากกว่า
- ความไม่แน่นอนด้านกฎหมายคือความเสี่ยงใหญ่ของบิทคอยน์ แม้จะไม่แบนแต่ก็ส่งผลให้ตลาดชะลอตัว
ไทย: รับรองแต่ควบคุมเข้ม
- กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ทำให้การซื้อขายคริปโตในไทย “ถูกกฎหมาย” แต่ต้องขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.
- แนวทางของไทย
- อนุญาตให้ซื้อขายได้ผ่าน Exchange ที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น
- ห้ามใช้บิทคอยน์ในการชำระสินค้าและบริการโดยตรง
- มีการเก็บภาษีจากกำไรการเทรด (แม้จะมีความพยายามยกเว้นในบางช่วง)
- ผลกระทบ
- นักลงทุนไทยมีทางเลือกที่ถูกกฎหมาย แต่ถูกจำกัดด้วยกฎบางอย่าง เช่น การห้ามใช้เหรียญเป็น “เงิน”
- นักลงทุนบางส่วนหันไปใช้ Exchange ต่างประเทศ หรือ DeFi เพื่อเลี่ยงข้อจำกัด
- แม้จะเปิดรับ แต่การควบคุมมากเกินไปก็ลดโอกาสการใช้งานของบิทคอยน์จริง ๆ
เอลซัลวาดอร์: ประเทศแรกที่รับบิทคอยน์เป็น “เงินถูกกฎหมาย”
- ปี 2021: เอลซัลวาดอร์สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการรับบิทคอยน์เป็น Legal Tender (ใช้ซื้อของได้แบบถูกกฎหมาย)
- ผลที่ตามมา
- ประเทศนี้กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของชาวคริปโตทั่วโลก
- มีการสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัลของรัฐชื่อ “Chivo” ให้ประชาชนใช้ฟรี
- แต่ประชาชนหลายคนยังไม่เข้าใจหรือไม่ใช้งานจริง
- แม้รัฐบาลเปิดรับอย่างเป็นทางการ แต่หากไม่มีการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ก็อาจไม่ประสบผลในทางปฏิบัติ
ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่
- แม้บิทคอยน์จะเป็นเจ้าแรกในโลกคริปโต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่รอดได้ตลอดไป
- เพราะโลกของเทคโนโลยีหมุนเร็วมาก ถ้าไม่อัปเดต ไม่พัฒนา หรือไม่ปรับตัว ก็มีโอกาส “ตกยุค” ได้เหมือนกัน
ถ้า Quantum Computer มา บิทคอยน์จะรอดไหม?
- ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum Computer) มีศักยภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในด้านการประมวลผลและการถอดรหัส
- ระบบเข้ารหัสของบิทคอยน์ (เช่น ECDSA) ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการเจาะระบบจากคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่ไม่แน่ว่าจะทนการเจาะจาก Quantum ได้
- ถ้า Quantum Computer พัฒนาจนสามารถ “ถอดรหัส private key จาก public key” ได้จริง จะส่งผลให้บิทคอยน์ทุกเหรียญที่เคยถูกใช้งาน (public key เผยแล้ว) เสี่ยงต่อการถูกขโมยทันที
- ความเชื่อมั่นในระบบของบิทคอยน์อาจพังทลายลง ราคาตกฮวบ และเกิดการเทขายแบบ panic sell
- นักพัฒนาบางกลุ่มในวงการเสนอให้ “อัปเกรด” ระบบเข้ารหัสของบิทคอยน์ในอนาคต แต่ด้วยความที่บิทคอยน์ไม่มีผู้นำชัดเจน การเปลี่ยนแปลงอาจล่าช้าเมื่อเทียบกับเหรียญอื่นที่มีการจัดการรวมศูนย์มากกว่า
ระบบที่ใหม่กว่า อาจทำให้บิทคอยน์ล้าสมัย
- เทคโนโลยี Blockchain รุ่นใหม่ เช่น Ethereum, Solana, Avalanche หรือแม้แต่ Layer 2 อย่าง Arbitrum และ Optimism เริ่มพัฒนาให้ทำธุรกรรมได้รวดเร็วกว่า ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า และยืดหยุ่นมากกว่า
- โปรเจกต์ใหม่หลายตัวออกแบบระบบให้เหมาะกับการใช้งานจริง เช่น smart contract ที่ซับซ้อน แอปการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) เกมบล็อกเชน (GameFi) และการสร้าง NFT
- ถ้าผู้ใช้งานเริ่มเปลี่ยนความสนใจจาก “สินทรัพย์เก็บมูลค่าแบบดั้งเดิม” ไปสู่แพลตฟอร์มที่ “ทำอะไรได้มากกว่า” บิทคอยน์อาจกลายเป็นเหมือน “ทองคำดิจิทัล” ที่คนถือไว้เฉย ๆ
- นักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้าตลาด อาจไม่รู้สึกว่าบิทคอยน์จำเป็นอีกต่อไป โดยเฉพาะถ้าเหรียญใหม่สามารถตอบโจทย์โลกจริงได้มากกว่า
- ราคาบิทคอยน์อาจคงที่หรือโตช้าลงเมื่อเทียบกับเหรียญนวัตกรรมใหม่ที่เติบโตเร็ว จนทำให้เงินทุนในตลาดไหลไปยังโปรเจกต์อื่น
บทบาทของนักขุดและการคงอยู่ของระบบ
- ระบบของบิทคอยน์ตั้งอยู่บนหลัก “การกระจายศูนย์” และไม่มีตัวกลาง
- แต่หัวใจจริง ๆ ที่ทำให้ระบบยังทำงานได้ต่อเนื่องก็คือ “นักขุด” (miners)
- เพราะพวกเขาคือคนที่รับหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ผ่านกระบวนการ Proof of Work ที่ต้องใช้พลังงานสูงและต้นทุนสูง
- ถ้าไม่มีนักขุด เครือข่ายก็เปราะบางทันที
ถ้านักขุดหมดกำลังใจ จะเกิดอะไรขึ้น?
- การขุดบิทคอยน์ต้องใช้เครื่องขุดเฉพาะทาง (ASIC) ซึ่งมีราคาแพงมาก และกินไฟสูง ยิ่งการแข่งขันเยอะ ต้นทุนก็ยิ่งสูง
- ถ้าราคาบิทคอยน์ร่วง หรือรางวัลไม่คุ้มค่า นักขุดหลายคนจะตัดสินใจ “เลิกขุด” เพราะขาดทุน ทำให้จำนวนเครื่องในระบบลดลง
- เครือข่ายจะประมวลผลธุรกรรมช้าลง เพราะไม่มีนักขุดมาช่วยยืนยันบล็อก
- ความปลอดภัยของระบบจะลดลงทันที ถ้าเครือข่ายอ่อนแอ อาจโดน “51% attack” ได้ง่ายขึ้น (คนร้ายเข้ามาควบคุมพลังประมวลผลส่วนใหญ่เพื่อปลอมธุรกรรม)
- คนเริ่มไม่มั่นใจในระบบบิทคอยน์ ไม่กล้าใช้หรือถือเหรียญไว้ ทำให้เกิดแรงขายและความเชื่อมั่นพัง
- ระบบอาจยังอยู่ต่อได้ แต่ไม่เสถียรและไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป
ปัญหารายได้หลัง Halving ส่งผลระยะยาวไหม?
- กลไกของบิทคอยน์ถูกตั้งไว้ให้มี “Halving” ทุก 210,000 บล็อก หรือประมาณ 4 ปี ซึ่งจะลดรางวัลที่นักขุดได้รับลงครึ่งหนึ่ง
- ปี 2009: รางวัล 50 BTC ต่อบล็อก
- ปี 2012: ลดเหลือ 25 BTC
- ปี 2016: ลดลงอีกเป็น 12.5 BTC
- ปี 2020: เหลือ 6.25 BTC
- ปี 2024: ลดลงเหลือ 3.125 BTC และจะลดลงเรื่อย ๆ ตามรอบ
- ถ้าราคาบิทคอยน์ไม่พุ่งขึ้นเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลง นักขุดจะเริ่มไม่คุ้มทุน
- ถึงจะยังมี “ค่าธรรมเนียมธุรกรรม” (transaction fee) ให้รายได้เสริม แต่มูลค่ารวมยังเทียบกับรางวัลหลักไม่ได้ในตอนนี้
- ระบบบิทคอยน์ในระยะยาวจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อ “ค่าธรรมเนียม” เติบโตขึ้นจนทดแทนรางวัลจากการขุดได้ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก
- ถ้านักขุดจำนวนมากเลิกขุดเพราะไม่คุ้ม เครือข่ายก็จะเข้าสู่วงจรอ่อนแอ และต้องพึ่งพานักขุดรายใหญ่ที่เหลืออยู่ไม่กี่ราย ซึ่งเสี่ยงกลายเป็น “รวมศูนย์”
- แนวทางที่วงการพูดถึงคือ การพัฒนา Layer 2 อย่าง Lightning Network ให้มีการใช้งานเพิ่มขึ้น เพื่อดึงให้ค่าธรรมเนียมใน Layer 1 มีความคุ้มค่าขึ้น
- แต่ถ้าไม่มีความคืบหน้าด้านนวัตกรรม หรือค่าธรรมเนียมไม่สูงพอ ระบบก็อาจเข้าสู่จุดที่ไม่มีใครอยากขุด
ภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ หรือเหตุการณ์ระบบล่ม (Black Swan Event)
- ภัยธรรมชาติระดับโลก เช่น พายุสุริยะ (Solar Flare) ขนาดใหญ่ที่ทำลายดาวเทียมและโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตทั้งบนพื้นโลกและในอวกาศ
- สงครามไซเบอร์ ที่ใช้เทคนิคขั้นสูงโจมตีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตหลัก เช่น การโจมตี DNS, การโจมตีโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก หรือระบบจัดการเส้นทาง (routing)
- ผลกระทบต่อ Bitcoin
- โหนด (Nodes) ในระบบไม่สามารถสื่อสารกันได้
- การยืนยันธุรกรรม (confirmation) และการทำเหมือง (mining) หยุดชะงัก
- ความมั่นใจในระบบลดลง ผู้ถือเหรียญอาจขายเหรียญทิ้งเพราะใช้ไม่ได้จริง
- ความเป็นไปได้
- เหตุการณ์ Solar Flare ระดับใหญ่สุดประมาณ 100 ปีเกิดครั้งหนึ่ง (เหตุการณ์ Carrington ปี 1859)
- การโจมตีไซเบอร์ระดับชาติที่มีความเชื่อมโยงกับสงครามจริง (เช่น ระหว่างประเทศมหาอำนาจ) มีโอกาสเกิดสูงขึ้นในยุคเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอินเทอร์เน็ตสู่ระบบใหม่ (Next-Gen Internet)
- การเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลหลัก เช่น เปลี่ยนจาก TCP/IP ไปใช้โปรโตคอลใหม่ที่อาจไม่รองรับหรือไม่เข้ากันกับบล็อกเชน Bitcoin แบบเดิม
- เทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตควอนตัม, อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมแบบกระจาย (Starlink รุ่นใหม่) ที่อาจมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ ไม่รองรับ Node Bitcoin ปัจจุบัน
- ผลกระทบต่อ Bitcoin
- Node ของ Bitcoin ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ หรือเกิดการแบ่งแยกเครือข่าย (Network Partition)
- การซิงค์ข้อมูลบล็อกเชนทำไม่ได้ ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน
- ความมั่นคงของระบบบล็อกเชนหายไป อาจเกิด Fork แบบไม่ตั้งใจ หรือ Double Spending
- ความเป็นไปได้
- โลกกำลังพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง เช่น IPv6 ที่เข้ามาแทน IPv4
- หากไม่มีการออกแบบให้รองรับบล็อกเชนในโปรโตคอลใหม่ โหนด Bitcoin จะถูกตัดขาด
- อาจเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี แต่ก็อาจมีโครงการปรับตัว เช่น Bitcoin over new protocols
การย้ายไปใช้ระบบเครือข่ายแบบปิดหรือจำกัด (Walled Garden)
- รัฐบาลหรือองค์กรใหญ่ สร้างระบบอินเทอร์เน็ตแบบปิด เช่น “Great Firewall” หรือเน็ตในประเทศที่ถูกจำกัด (Internet Censorship)
- ผลกระทบ
- โหนด Bitcoin ในบางประเทศไม่สามารถเชื่อมต่อกับโหนดโลกภายนอกได้
- เกิด “เครือข่าย Bitcoin ย่อย” ที่แยกตัวออกจากกัน ทำให้เกิดปัญหา Fork, ความปลอดภัยลดลง
- ผู้ใช้งานบางส่วนสูญเสียการเข้าถึงตลาดและเหรียญ
- ความเป็นไปได้
- มีประเทศที่ทำระบบเน็ตแบบนี้อยู่แล้ว เช่น จีน, เกาหลีเหนือ
- ปัจจุบันมีการใช้ VPN, Tor ช่วยข้ามกำแพงได้บ้าง แต่ถ้ารัฐเข้มงวดกว่านี้อาจเกิดปัญหาหนัก
คลิปที่น่าสนใจ
- ถ้าพูดถึงเรื่อง Bitcoin นั้นมีข้อจำกัดคือ จะมีแค่ 21 ล้านเหรียญ กับ คลิป ทำไมต้อง 21 ล้านเหรียญ? สำหรับ บิทคอยน์ เพราะจะได้เข้าใจว่ามันมีมูลค่าซึ่งรักษาเหมือนทองคำ
- https://www.youtube.com/shorts/-c_mwdnwxx4
สรุป
- บิทคอยน์ไม่มีทาง “ล้มละลาย” แบบบริษัทเจ๊ง แต่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและการใช้งานจริง
- ปัจจัยลบหลายอย่าง เช่น การแบนจากรัฐบาล การโจมตีระบบ หรือเทคโนโลยีใหม่ อาจทำให้ราคาตกหนักจนเหมือนไม่มีค่า
- แต่ฐานผู้ใช้ที่มั่นคง ระบบที่ปลอดภัย และการยอมรับอย่างกว้างขวางช่วยหนุนให้บิทคอยน์ยังคงมีชีวิตอยู่ได้
- ดังนั้น โอกาสล้มละลายแบบหมดมูลค่าจริง ๆ ต้องเกิดจากปัจจัยลบหลายอย่างพร้อมกันและรุนแรงมาก แต่ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดไม่ได้
- การติดตามข่าวสารและประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบจึงสำคัญสำหรับคนที่ถือหรือสนใจลงทุนบิทคอยน์
อ้างอิง
- Capitalisn’t: Why This Nobel Economist Thinks Bitcoin Is Going to Zero: https://www.chicagobooth.edu/review/capitalisnt-why-this-nobel-economist-thinks-bitcoin-is-going-zero?utm_source=chatgpt.com
- Nobel Laureate Eugene Fama Predicts Bitcoin Will Become Worthless: https://www.promarket.org/2025/01/30/nobel-laureate-eugene-fama-predicts-bitcoin-will-become-worthless/?utm_source=chatgpt.com
- Can Bitcoin Go to Zero?: https://www.samara-ag.com/market-insights/can-bitcoin-go-to-zero?utm_source=chatgpt.com
- What Would Make Bitcoin Fall to Zero? 4 Things That Give It Value: https://www.nasdaq.com/articles/what-would-make-bitcoin-fall-zero-4-things-give-it-value?utm_source=chatgpt.com
- Assessing the probability of bankruptcy when investing in cryptocurrency: https://www.businessperspectives.org/index.php/journals/investment-management-and-financial-innovations/issue-413/assessing-the-probability-of-bankruptcy-when-investing-in-cryptocurrency?utm_source=chatgpt.com
FAQ — โอกาสที่บิทคอยน์ล้มละลาย (หมดมูลค่า) เป็นไปได้ไหม?: รวมสาเหตุที่เป็นไปได้มาให้ดู