บทคัดย่อ
- CFDs คือ: การซื้อขายสัญญาส่วนต่าง ซื้อขายโดยไม่ต้องครอบครองหรือเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ไม่ต้องขนส่ง ไม่ต้องจัดเก็บ เป็นเพียงสัญญาซื้อขายเพื่อเก็งกำไรเท่านั้น
- ข้อดีของ CFDs: มีมากมายตั้งแต่ การใช้เลเวอเรจ เข้าได้ทั้ง Buy และ Sell เปิดบัญชีครั้งเดียวเทรดได้หลากหลาย ต้นทุนในการเทรดต่ำ ไม่ต้องเป็นเจ้าของ เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีหลากหลายโบรกเกอร์ให้เลือก
- ความเสี่ยง: การจัดการความเสี่ยงคล้ายกับตลาดทุนอื่น ๆ เมื่อมีการใช้เลเวอเรจจึงไม่จำเป็นต้องนำเงินก้อนใหญ่ที่มีมาลงเทรด ใช้เงินเพียงก้อนเล็ก พร้อมทั้งควบคุมไม่ให้บัญชีติดลบ
CFDs (Contract for Difference) คืออะไร
CFD ย่อมาจาก Contract for Difference คือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง เป็นตราสารทางการเงินอย่างหนึ่ง ที่ใช้เทรดหรือเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ ลักษณะของการซื้อขายสัญญา โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเจ้าของ หรือครอบครองสินทรัพย์นั้นจริง ๆ
เช่น การลงทุนหรือเก็งกำไรทองคำ โดยการนำเงินไปซื้อโดยรับทองคำนั้นมาเก็บไว้ แต่เมื่ออยู่ในรูปแบบ CFD จะเป็นการถือสัญญาการซื้อขายเพื่อการเก็งกำไร โดยสัญญาซื้อแล้วจะต้องขาย หรือขายแล้วจะต้องซื้อในเวลาต่อมา โดยไม่ได้นำทองคำมาเก็บไว้จริง ๆ
CFD จึงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุน เพื่อเก็งกำไรที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ เลือกเทรด เพื่อสะดวกในการซื้อขาย ไม่ต้องขนส่ง ไม่ต้องเก็บรักษา หรือมีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม เพียงซื้อขายเมื่อราคาขึ้นหรือลงเท่านั้น
ความเป็นมาของ CFD
CFD หรือการซื้อขายส่วนต่างของราคา ถูกนำมาเทรดครั้งแรก โดยบริษัท IG Group เป็นบริษัทให้บริการทางการเงินของลอนดอน ในปี 1990 เพื่อเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ได้เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์
ภาพแสดง ความเป็นมาของ CFD ถูกนำมาเทรดครั้งแรก โดยบริษัท IG Group เป็นบริษัทให้บริการทางการเงินของลอนดอน ในปี 1990
แรกเริ่ม เป็นการเทรดจากนักลงทุนจากสถาบันการเงินเป็นหลัก ภายหลังในช่วงปี 2000 มีโบรกเกอร์ออนไลน์ เปิดให้บริการซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (CFDs) กันอย่างแพร่หลาย เปิดโอกาสและเพิ่มการเข้าถึงสำหรับเทรดเดอร์รายย่อย
โดยหลาย ๆ ประเทศ ได้มีการควบคุมตลาด CFDs แล้ว แต่ยังมีหลาย ๆ ประเทศที่ยังมีข้อโต้แย้ง หรือยังไม่เปิดให้มีการเทรดได้อย่างถูกต้อง
ลักษณะของตลาด CFDs
- CFDs เป็นตราสารอนุพันธ์: คือการซื้อขายสัญญา ที่ไม่ได้เป็นเจ้าสินทรัพย์อย่างแท้จริง เป็นเพียงการถือสัญญาว่า ซื้อแล้วจะต้องขาย หรือขายแล้วจะต้องซื้อในเวลาต่อมา เพื่อเก็งกำไรส่วนต่างจากการซื้อขาย เพียงซื้อราคาถูกและขายในราคาแพง หรือขายในราคาแพง แล้วซื้อกลับในราคาถูก ก็จะได้กำไรส่วนต่างของสัญญาที่เกิดขึ้น
- CFDs มีการใช้เลเวอเรจ (Leverage): คือการซื้อหรือขายในปริมาณมาก ๆ แต่ใช้เงินเพียงเล็กน้อย เช่นถ้าจะเทรด Forex 1 Lot จะต้องใช้เงินทุน 100,000 USD เมื่อนำเวเวอเรจเข้ามาใช้ เช่น 1:1000 จะใช้เงินทุนเพียง 1000 USD ต่อการเปิดออเดอร์ 1 Lot เท่านั้น
ลักษณะการเทรด CFD เป็นการเทรดสัญญา โดยที่ไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ๆ โดยราคาอ้างอิงจากราคาจริงในตลาด สามารถใช้เลเวอเรจในการเข้าทำกำไรได้
การเทรด CFDs มีอะไรบ้าง
การเทรด CFDs ผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ ในปัจจุบันที่หลาย ๆ คนรู้จักหรือคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ โบรกเกอร์ Forex
โดยโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ที่ให้บริการ Forex เป็นโบรกเกอร์ที่ให้บริการในรูปแบบ CFDs คือการซื้อขายสัญญาโดยอ้างอิงราคาจากตลาด สินทรัพย์ที่สามารถเทรดได้ มีดังต่อไปนี้
ภาพแสดงถึงสินทรัพย์ที่ถูกนำมาใช้เทรดในรูปแบบ CFDs ที่โบรกเกอร์ออนไลน์ส่วนใหญ่ เปิดบริการให้เทรด ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงิน ดัชนี หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์
- Forex: ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เป็นการเทรดเก็งกำไร ไม่ได้ที่จะนำสกุลเงินต่าง ๆ มาถือไว้จริง
- ดัชนี: ตัวเลขที่สะท้อนราคาหุ้นในตลาด เช่น SET 50 คือดัชนีสะท้อนราคาหุ้นทั้งหมด 50 อันดับที่ใหญ่ที่สุด
- หุ้น: สินทรัพย์ของบริษัทต่าง ๆ ที่มีการซื้อขายกันในตลาดโลก การซื้อขายในรูปแบบ CFD ไม่ได้เป็นการซื้อขายเพื่อถือครองหรือเข้าถือหุ้นของบริษัท แต่เป็นการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรเท่านั้น
- สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ น้ำมัน ข้าวโพด ข้าวสาลี หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและบริการ ก็สามารถซื้อขายสัญญาเพื่อเก็งกำไรได้เช่นกัน
ในปัจจุบันโบรกเกอร์ออนไลน์ ที่ให้บริการ CFDs จะมีสินทรัพย์หลายร้อยตัว ที่เทรดเดอร์สามารถเข้ามาเก็งกำไรได้ทั้งระยะสั้น กลาง และยาวได้ โดยใช้ทุนน้อยในการเข้าเทรด ทำให้เทรดเดอร์รายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดนี้ได้ง่ายกว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ข้อดีของการเทรด CFDs
CFDs นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ในการเทรด สำหรับเทรดเดอร์รายย่อย ที่สามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ทุนก้อนน้อย ไปจนถึงทุนก้อนใหญ่ ออกคำสั่งซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย โดยมีข้อดีในการเทรดดังต่อไปนี้
ข้อดีในการเทรด CFDs มีมากมาย ซึ่งแตกต่างจากการเทรดจากตลาดโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เลเวอเรจ เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง เทรดได้หลากหลายในบัญชีเดียว ต้นทุนต่ำ ลดกระบวนการที่ยุ่งยาก เวลาเทรด 24 ชั่วโมง และเป็นอิสระในการเลือกใช้โบรกเกอร์
1. การใช้เลเวอเรจ (Leverage)
เลเวอเรจ (Leverage) เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับเทรดเดอร์รายย่อย ที่ทำให้ใช้เงินน้อยเทรดออเดอร์ที่มีขนาดใหญ่ได้ ในระหว่างเดียวกันก็เป็นมีดสองคม ที่ทำให้พอร์ตเสียหายได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
เช่นต้องการเทรด 1 Lot เดิมทีต้องใช้ทุนประมาณ 100,000 USD เมื่อใช้เลเวอเรจ 1:2000 สามารถเทรดออเดอร์ 1 Lot โดยใช้เงินเพียง 500 USD
แม้จะสามารถเข้าเทรดออเดอร์ขนาดใหญ่ได้ แต่เมื่อผิดทางเงินทุนที่วางไว้ ก็มีโอกาสที่จะเสียไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การใช้เลเวอเรจอย่างเหมาะสม จึงเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสี่ยง ที่จะต้องวางแผนให้ดี
2. ซื้อขาย ได้ทั้งขึ้นและลง (Buy หรือ Sell)
ถ้าซื้อหุ้น จะต้องซื้อเมื่อราคาถูก และรอให้ราคาขึ้น ก่อนที่จะปิดสถานะหรือขายหุ้นออกไป เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคา แต่การเทรด CFDs เป็นการซื้อขายสัญญา โดยสัญญาว่าจะซื้อและจะต้องขายในเวลาต่อมา หรือขายและจะต้องซื้อในเวลาต่อมา
ทำให้สามารถเข้าเทรดได้ทั้ง Buy และ Sell คือการทำกำไรได้ทั้งขึ้นและลง ถ้าคาดการณ์ว่ากราฟจะขึ้น สามารถเข้าออเดอร์ Buy และรอให้ราคาขึ้นไปก่อนที่จะปิดสถานะเพื่อทำกำไร หรือถ้าคาดการณ์ว่ากราฟจะลง ก็สามารถเข้า Sell เมื่อราคาสูง และรอให้ราคาถูกจึงปิดสถานะเพื่อทำกำไรส่วนต่างที่เกิดขึ้นนั่นเอง
เมื่อถ้าผิดทาง ก็จะติดลบ จนกว่าจะปิดสถานะคำสั่งซื้อขาย หรือจนกว่าเงินทุนในพอร์ตจะหมดไป
3. บัญชีเดียว เทรดได้หลากหลาย
โดยปกติแล้วการซื้อขายสินทรัพย์ ตลาดใดก็จะซื้อขายได้เพียงสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง แต่ในโบรกเกอร์ CFDs มีหลากหลายสินทรัพย์ให้เลือกเทรด ไม่ว่าจะเป็น Forex สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หุ้น และคริปโต ก็จบได้ในโบรกเดียว ไม่ต้องเปิดบัญชี ส่งเอกสารซ้ำ ๆ ให้ยิ่งยาก
อีกทั้งยังใช้กระจายความเสี่ยง ในหลากหลายสินทรัพย์ ในช่วงเวลาที่ตลาดเกิดความไม่แน่นอน เช่น กระจายความเสี่ยงจาก Forex ไปยังสินค้าโภคภัณฑ์ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย
4. ต้นทุนในการเทรดต่ำ
การลงทุนในผลตอบแทนที่สูง ย่อมต้องใช้ทุนและความเสี่ยงสูง แต่การลงทุนในตลาด CFDs หรือการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า และการใช้เลเวอเรจที่เหมาะสม ทำให้สามารถใช้ทุนน้อยในการทำกำไรก้อนใหญ่ โดยเสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขายเป็นค่าสเปรด และค่าสวอปหากเข้าเงื่อนไขของโบรกเกอร์
โดยรวมแล้ว ยังถือว่าเป็นต้นทุนที่ถูกมาก ๆ ในการลงทุน เพราะความเป็นจริงความเสี่ยงเริ่มต้นตั้งแต่ ที่นำเงินออกจากบัญชี เพราะเทรดเดอร์ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า โบรกเกอร์ที่ไว้ใจได้ จะหายไปเมื่อไหร่
เพราะฉะนั้น การลงทุนที่ใช้ทุนน้อย จึงเป็นเรื่องคุ้มค่า เพราะค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นต้นทุนในการเทรด หรือการลงทุนที่ตามมานั่นเอง
5. ไม่ต้องเป็นเจ้าของ ด้วยกระบวนการที่ยุ่งยาก
ซื้อทอง ซื้อน้ำมัน ข้าวโพด อ้อย หรือสินค้าโภคภัณฑ์ทางตรง อาจจะต้องมีค่าขนส่ง ค่าพื้นที่ในการเก็บรักษา รวมถึงค่าเสียเวลาต่าง ๆ ความเสี่ยงที่สินค้าจะเสียหาย แต่เมื่อทุกอย่างอยู่ในการซื้อขายสัญญา สินค้าก็ไม่ต้องเคลื่อนย้าย ไม่ต้องหาพื้นที่ในการเก็บรักษา
การเทรดหรือซื้อขายสัญญาในรูปแบบ CFDs จึงเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ต้องการลงทุนในสินค้าเหล่านี้ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ จะใช้สินค้าเหล่านี้ในการกระจายความเสี่ยง และไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ ให้เกิดความยุ่งยากตามมาจากการซื้อขาย
เพียงหาจังหวะในการเข้าซื้อเมื่อราคาถูก และขายเมื่อราคาแพง อีกทั้งยังซื้อหรือขายได้กระทั่งตลาดขาขึ้น หรือขาลง
6. เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ในโบรกเกอร์ Forex มีตลาดที่เปิดทับซ้อนกันตลอดเวลา จึงสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ จะหยุดก็เพียงเสาร์-อาทิตย์ เทรดเดอร์หรือนักลงทุนจึงสามารถที่จะวางแผนในวันและเวลาที่สะดวก เข้าทำการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ หรือแพลตฟอร์มที่ทั่วโลกยอมรับนั่นก็คือ MT4 – MT5
เป็นอิสระในการซื้อขาย อีกทั้งยังมีเครื่องมือมากมายช่วยในการวิเคราะห์
7. โบรกเกอร์ หลากหลายให้เลือก
ปัจจุบันมีโบรกเกอร์ออนไลน์ ที่ให้บริการเทรด CFDs ที่หลากหลาย มีโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง และดำเนินงานมาอย่างยาวนาน พร้อมระบบสนับสนุน เช่น โบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงิน เวเลอเรจสูง VPS ฟรี รวมถึงสัมมนาออนไลน์ เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถอยู่ได้และประสบความสำเร็จในตลาด
ความเสี่ยงในการเทรด CFDs มีอะไรบ้าง
การลงทุนในตลาดทุน ย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้นมากมาย คล้าย ๆ กับตลาดอื่น ๆ ในส่วนของความเสี่ยงตลาด CFDs ลองพิจารณาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้
ความเสี่ยงในการเทรด CFDs คล้ายกับตลาดทุนอื่น ๆ จะมีข้อแตกต่างบ้างเล็กน้อยเนื่องจากมีเงื่อนไขและวิธีเทรดที่แตกต่างกัน
- ความเสี่ยงจากเวเวอเรจ (Leverage Risk): การเทรดโดยใช้เลเวอเรจ คือการเอาเงินน้อยเป็นหลักประกัน ในการเทรดสถานะขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มโอกาสและความเป็นไปได้ในการทำกำไร แต่ในระหว่างเดียวกันก็เป็นมีดสองคม ในการเพิ่มโอกาสในการขาดทุนได้เช่นกัน
- ความเสี่ยงจากตลาด (Market Risk): การเทรด CFDs เป็นตราสารที่อ้างอิงราคาสินทรัพย์ในตลาดจริง ย่อมมีความผันผวนและไวต่อข่าวหรือปัจจัยต่าง ๆ และสินทรัพย์ส่วนใหญ่ เป็นสินทรัพย์ที่มีการเทรดกันทั้งโลก จึงความเสี่ยงสูงเมื่อเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง
- ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง (Liquidity Risk): ไม่ใช่เป็นการเทรดในตลาดกลาง สภาพคล่องแต่ละตลาด จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น วัน เวลา ทำให้การเข้าออกในราคาที่ต้องการ อาจจะมีความคลาดเคลื่อน หรือไม่สามารถเปิดหรือปิดในราคาที่ต้องการ อาจจะทำไปสู่การขาดทุนได้
- ความเสี่ยงจากคู่สัญญา (Counterparty Risk): เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ เทรด CFDs ผ่านตัวกลางที่เรียกว่าโบรกเกอร์ เมื่อไหร่ก็ตามที่โบรกเกอร์ไม่สามารถทำตามสัญญาได้ หรือล้มละลาย ปิด หนี หาย เทรดเดอร์และนักลงทุนย่อมเสี่ยงต่อการที่จะสูญเสียเงินลงทุน พร้อมผลกำไรไปทั้งหมด
- ความเสี่ยงจากกฎระเบียบ (Regulatory Risk): การลงทุนในตลาด CFDs หรือโบรกเกอร์ออนไลน์ที่ให้บริการ ยังไม่ได้รับการยอมรับในหลาย ๆ ประเทศ เช่นในประเทศไทย ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับหรือหน่วยงานกำกับดูแล จึงอาจจะเป็นเหตุให้เกิดการโกง หรือหลอกลวงได้ เพราะเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ จะต้องเลือกเทรดจากโบรกเกอร์ที่อยู่ในต่างประเทศ
- ความเสี่ยงจากจุดขาดทุน (Slippage): คำสั่งปิดการซื้อขาย เทรดเดอร์หลายคนใช้ Stop Loss เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยง หรือจัดขาดทุน แต่เนื่องด้วยตลาดมีการเคลื่อนที่อย่างรุนแรง อาจจะส่งผลให้ SL ที่ตั้งไว้ มีการเคลื่อนที่ไม่ทำตามคำสั่งตามราคาที่ตั้งไว้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายเกินกว่าที่กำหนด
- ความเสี่ยงด้านการเงิน: การบริหารจัดการเงินทุนของเทรดเดอร์เอง ที่ขาดวินัยในการเงิน นำเงินร้อนมาลงทุน หรือมีไม่เพียงพอต่อความเสี่ยงที่กำหนดไว้ รวมไปถึงใช้ความเสี่ยงที่สูง แต่เงินทุนที่น้อยเกินไป จึงอาจจะทำให้เกิดความเสียหายตามมา เมื่อกราฟมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
- ค่าสเปรดระหว่างการซื้อขายและค่าธรรมเนียม: ตลาดที่มาความผันผวนสูง ค่าธรรมเนียมหรือค่าสเปรด อาจจะมีการถ่างในบางช่วงเวลา เช่น ช่วงที่มีความผันผวนสูง ตลาดปิดเสาร์-อาทิตย์แต่ยังติดออเดอร์ หรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหากถือออเดอร์ข้ามคืน
วิธีจัดการความเสี่ยงในการเทรด
การตัดขาดทุน คือวิธีการจัดการและควบคุมความเสี่ยงที่ดีที่สุด มันคือวิธีการปกป้องไม่ให้ความเสี่ยงเกินกำหนด ในจุดที่เทรดเดอร์รับได้ และเป็นการป้องกันความเสียหายจากเหตุไม่คาดฝัน
เครื่องมือในการจัดการและควบคุมความเสี่ยงนั่นก็คือ Stop Loss คือจุดขาดทุนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อกราฟส่วนทางจากที่คาดการณ์เอาไว้ เพื่อไม่ให้ขาดทุนเกินที่กำหนด เช่น เข้าออเดอร์ในแต่ละครั้ง ไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายหรือผิดทางเกินกว่า 100 จุด สามารถตั้งคำสั่งตัดขาดทุนเอาไว้ล่วงหน้าได้
และอีกฟังก์ชั่นหนึ่ง ที่กำหนดจุดปิดสถานะเพื่อทำกำไรเมื่อกราฟถูกทางคือ Take Profit ตลาดมีความผันผวนหรือแกว่งตัวได้ตลอดเวลา เมื่อถึงจุดที่สามารถทำกำไรได้แล้วไม่ปิด อาจจะย้อนกลับมาติดลบหรือขาดทุนได้
การตั้ง Take Profit เอาไว้ล่วงหน้า คือคำสั่งปิดสถานะเมื่อกราฟเคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่ตั้งเอาไว้ เพื่อเป็นการปิดกำไรแม้จะไม่ได้เฝ้ากราฟ
กราฟมีขึ้นมีลง มีถูกทางและผิดทาง แต่เมื่อถูกทางแล้วไม่ปิดสถานะทำกำไร ย่อมมีโอกาสที่กราฟจะย้อนกลับมาติดลบหรือขาดทุน การใช้ Stop Loss จึงเป็นการควบคุมความเสี่ยงหรือจุดตัดขาดทุน และการใช้ Take Profit คือการปิดสถานะเพื่อทำกำไร ก่อนที่กราฟอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
การป้องกันยอดคงเหลือติดลบและการปิดหลักประกัน
- การป้องกันยอดคงเหลือติดลบ (Negative Balance Protection): หากผิดทางต่อเนื่อง เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ที่การันตีว่ายอดคงเหลือในบัญชีจะไม่ต่ำกว่าศูนย์ แม้ว่ามูลค่าของสถานะจะต่ำกว่าศูนย์ แต่เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการขาดทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด
- การปิดหลักประกัน (Margin Close Out): การปิดหลักประกัน เป็นคุณสมบัติที่จะช่วยป้องกันยอดคงเหลือติดลบ เมื่อระดับของหลักประกันต่ำกว่าเกณฑ์ ในระหว่างที่มีสถานะออเดอร์เปิดอยู่ สถานะจะถูกปิด เพื่อป้องกันเทรดเดอร์ไม่ให้ขาดทุนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น มูลค่าของหลักประกัน ซึ่งจะแตกต่างกันไปแต่ละโบรกเกอร์ เทรดเดอร์ควรศึกษารายละเอียดของแต่ละโบรกเกอร์ก่อนที่จะเข้าเทรด
ต้นทุนในการเทรด CFDs มีอะไรบ้าง
ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นต้นทุนในการเทรด การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า อาจจะมีค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้
การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง และความเสี่ยงอย่างหนึ่งมาจากต้นทุนในการเทรด ไม่ว่าจะเป็นค่าสเปรด หรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ย่อมส่งผลให้ติดลบเพิ่ม หรือเกิดความเสียหายเพิ่มเติมได้
- ค่าสเปรด (Spread): ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) สองเส้นดังกล่าว นับเป็นค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการในการซื้อขาย ซึ่งค่าสเปรดจะขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ ประเภทบัญชี สินทรัพย์ หรือช่วงเวลาที่มีความผันผวน คล้ายกับร้านทองที่มีราคารับซื้อ และราคาขายที่แตกต่างกัน โดยส่วนต่างนั้น นับว่าเป็นค่าบริการที่จะต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์
- ค่าสวอป (Swap): เมื่อไหร่ก็ตาม ที่มีการถือออเดอร์ข้ามคืน อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เรียกว่า ค่าสวอป ซึ่งเป็นดอกเบี้ยจากกระบวนการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย ปัจจุบันมีหลาย ๆ โบรกเกอร์ที่ฟรีค่าสวอป หรือบางประเภทบัญชีที่สามารถเลือกฟรีสวอปได้
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Commission): บางโบรกเกอร์ หรือบางประเภทบัญชี จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย หรือคอมมิชชั่น โดยกำหนดการซื้อขายแต่ละครั้ง หรือเป็นตามปริมาณ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของโบรกเกอร์
- ค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชี หรือไม่ได้ใช้บัญชี (Inactivity Fee): บางโบรกเกอร์มีบัญชีที่ไม่มีการเคลื่อนไหว อาจจะมีการเรียกเก็บค่ารักษาบัญชี หรือบัญชีที่ไม่มีการใช้งานนั่นเอง
โบรกเกอร์ที่ดี จะมีรายได้จากส่วนต่างราคาซื้อราคาขาย หรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ โดยจะมีการแจ้งรายละเอียดอย่างชัดเจน ส่วนโบรกเกอร์หรือบัญชีใด ที่มีโปรโมชั่นล่อใจ หรือไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม โปรดจงพิจารณาโบรกเกอร์เหล่านั้นให้ดี เพราะอาจจะมีวิธีในการหารายได้ จากการได้หรือเสียของเทรดเดอร์ก็เป็นได้
ช่วงเวลาในการเทรด CFDs
ช่วงเวลาในการเทรด ซึ่งจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง มีช่วงเวลาดังต่อไปนี้
- CFDs หุ้น: จะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตลาดหุ้น เพราะเป็นการอ้างอิงราคาจริงจากตลาด เช่นตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และดัชนีแนสแด็ก (NASDAQ) สามารถเทรดได้ในช่วงเวลา 13:30 น. ถึง 21:00 น. GMT เป็นช่วงเวลาทำการของตลาดนั้น ๆ
- CFDs สกุลเงิน: ตลาด Forex สามารถเทรดได้ 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ เนื่องจากตลาดการเงินเปิดอย่างต่อเนื่อง และมีช่วงเวลาที่เปิดทับซ้อนกันในหลาย ๆ ตลาด
- CFD สินค้าโภคภัณฑ์: สินค้าโภคภัณฑ์ สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์เช่นเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างกันในช่วงเวลาเปิดและปิดในวันศุกร์และจันทร์ ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า
- CFD ดัชนี: ดัชนีจะเป็นการอ้างอิงราคาจากตลาดหุ้น ซึ่งเวลาการเทรดใกล้เคียงกับ CFDs หุ้น
เลือกโบรกเกอร์ CFDs
การเลือกโบรกเกอร์ เป็นปัจจัยแรกที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะโบรกเกอร์เป็นผู้ดูแลเงินทุน หรืออยู่กับเงินทุนของเทรดเดอร์ ต่อให้เทรดได้กำไรสักแค่ไหน แต่วันหนึ่งโบรกเกอร์หายไป ทุกอย่างที่ทำมาก็หายไปเช่นกัน
การเลือกโบรกเกอร์เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ควรมีวิธีในการเลือกเพื่อให้ได้โบรกเกอร์ที่ไว้ใจได้ เพราะโบรกเกอร์เป็นผู้รักษาเงินทุนตั้งแต่ยังไม่เทรด ถ้าเลือกไม่ดีก็เหมือนนำเงินไปฝากไว้กับมิจฉาชีพ ดังนั้นควรมีหลักเกณในการเลือกเพื่อให้ได้โบรกเกอร์ที่มีข้อเสียน้อยที่สุด
- ใบอนุญาต: แม้ในบางประเทศ จะยังไม่ถูกยอมรับหรือมีกฎหมายให้สามารถเทรดได้อย่างถูกต้อง แต่การมีใบอนุญาตจากหน่วยงานที่กำกับดูแลอย่างถูกต้อง จัดจัดตั้งอย่างชัดเจน นับว่าเป็นโบรกเกอร์หนึ่งที่ดำเนินการอย่างน่าเชื่อถือ ไม่ใช่โบรกเกอร์ออนไลน์ที่สร้างมาเพื่อหลอกลวง
- แพลตฟอร์มในการเทรด: เป็นเครื่องมือหรือตัวเลือกที่หลากหลาย ให้เทรดเดอร์ใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ เช่น MT4-MT5 เป็นแพลตฟอร์มกลางที่รองรับในหลาย ๆ โบรกเกอร์ ไม่ใช่กำหนดเทรดได้เฉพาะแพลตฟอร์มของทางโบรกเกอร์เอง
- รายละเอียด เงื่อนไขของโบรกเกอร์: ไม่ว่าจะเป็นค่าสวอป ค่าคอมมิชชั่น ค่าสเปรด หรือโบนัสในการฝาก ระยะเวลาในการฝากถอน นับเป็นเงื่อนไขที่เทรดเดอร์จะต้องทำความเข้าใจ
- การช่วยเหลือหรือสนับสนุน: สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ซัพพอร์ตได้อย่างสะดวกหรือไม่ หรือมีการให้บริการในภาษาเดียวกับเทรดเดอร์หรือไม่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะต้องพิจารณา เพราะหากเกิดปัญหาใด ๆ จะได้มีทีมงานที่เข้าใจช่วยงานได้อย่างทันทวงที
- ชื่อเสียง: บริษัทที่ดำเนินงานอย่างถูกต้อง จะต้องรักษาชื่อเสียงและลูกค้าไว้เป็นอันดับหนึ่ง ก่อนเลือกโบรกเกอร์ใด ๆ ลองค้นหา หรือเช็คชื่อเสียงและความไว้วางใจ
แพลตฟอร์มในการเทรด
การเทรด CFDs ผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ ปัจจุบันมีหลากหลายแพลตฟอร์มให้เลือก ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่จะรองรับผ่านแพลตฟอร์มใดบ้าง
- แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์: ปัจจุบันมีหลากหลายโบรกเกอร์ ที่พัฒนาแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์เอง ไม่เพียงที่จะจัดการทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่การฝากหรือถอนเงิน ยังสามารถเทรดได้ง่าย ๆ ผ่านแพลตฟอร์มเดียว
- แพลตฟอร์มที่รองรับโบรกเกอร์ที่หลากหลาย: แพลตฟอร์มในการเทรด ที่มีเครื่องมือหลากหลายไว้ให้เลือกใช้ รองรับหลาย ๆ โบรกเกอร์ เช่น MT4, MT5, cTrader, TradingView ล้วนเป็นแพลตฟอร์มที่ หลาย ๆ โบรกเกอร์รองรับและสามารถเลือกเทรดได้
เพียงมีแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งที่เทรดเดอร์ใช้ประจำ การเลือกโบรกเกอร์หรือประเภทบัญชี ที่รองรับก็จะช่วยให้ประหยัดเวลา ไม่ต้องเรียนรู้แพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพียงเปิดบัญชีก็เข้าเทรดได้เลย
กลยุทธ์ในการเทรด CFDs
กลยุทธ์ในการเทรด สามารถเลือกเทรดได้หลากหลาย อีกทั้งยังมีแนวทางวิเคราะห์มากมาย ใช้เทรดได้ทั้ง Buy และ Sell หรือแนวโน้มขาขึ้นและแนวโน้มขาลง
ในตลาดที่ผันผวน การมีกลยุทธ์ในการเทรด หรือแนวทางที่ชำนาญเป็นของตัวเอง เป็นเรื่องที่จำเป็น กว่าการเทรดแบบไร้แผน ไร้ทิศทาง การรู้จักตัวเอง นำมาปรับใช้ในการวางแผน จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด
- เทรดสั้น: เก็บกำไรสั้น ๆ ต่ำกว่าชั่วโมง หรือไม่เกินวัน ด้วยตลาดที่มีสภาพคล่องสูง มีความผันผวน จึงเป็นโอกาสในการเข้าทำกำไรในระยะสั้น ๆ ได้ตลอดเวลา
- เทรดกลาง: มีเวลาเฝ้ากราฟน้อย อาจจะดูกราฟวันละ 1-2 ครั้ง ถือออเดอร์ข้ามวันแต่ไม่ข้ามสัปดาห์ เก็บกำไรก้อนใหญ่ขึ้น ใช้ไทม์เฟรมใหญ่ ไม่สนใจข่าว หรือเทรดตามช่วงเวลาที่ตลาดสำคัญเปิด-ปิด
- เทรดยาว: เก็บกำไรคำโต เล่นรอบใหญ่ รันไปให้สุดเทรนด์ ข่าวอาจจะไม่ต้องสนใจเลย เพราะราคาสะท้อนทุกอย่าง ถูกทางปล่อยไหลยาว ไม่เครียด ไม่เฝ้ากราฟ ก็ทำได้เช่นกัน
- เทรดอัตโนมัติ: นำกลยุทธ์ที่ใช้งานได้ดี มีกำไรต่อเนื่อง มากสร้างเป็นระบบเทรดอัตโนมัติ Expert Advisors หรือ EA ก็สามารถใช้ได้เป็นอย่างดีสำหรับตลาด CFDs
สรุป
CFDs (Contract for Difference) คือ ตลาดซื้อขายสัญญาส่วนต่างของราคา เป็นตราสารที่อ้างอิงราคาจากตลาดจริง เทรดเพื่อเก็งกำไรโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริง ๆ ไม่ต้องถือครอง ไม่ต้องขนส่ง และไม่ต้องจัดเก็บ
สามารถเทรดได้หลากหลายทั้ง สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หุ้น มีสภาพคล่องสูง เทรดได้หลกหลายกลยุทธ์
เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ และเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยการเทรดง่าย ๆ ผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ มีแพลตฟอร์มให้เลือกใช้มากมาย ง่ายต่อการใช้งาน ครบจบ ในโบรกเกอร์เดียวแต่สินทรัพย์ที่หลากหลาย