Currency Strength คืออะไร?
- เครื่องมือที่ช่วยบอกว่า “ตอนนี้สกุลเงินตัวไหนแข็งแรงที่สุด” และ “ตัวไหนอ่อนที่สุด” เมื่อเทียบกับค่าเงินอื่น ๆ ทั้งหมด
- ต่างจากการดูคู่เงินปกติ เช่น EUR/USD ที่เรารู้แค่การเปรียบเทียบระหว่าง 2 ตัว แต่ Currency Strength จะให้ภาพรวมทั้งตลาด
- คล้ายกับการดูอันดับพลังในทีมฟุตบอล ว่าทีมไหนฟอร์มแรง ทีมไหนตกต่ำในช่วงเวลานั้น
- เครื่องมือนี้ไม่ได้ให้สัญญาณเข้าเทรดโดยตรง แต่มันช่วยให้เรา “เลือกคู่เงินได้ถูกฝั่งมากขึ้น” เช่น รู้ว่าตอนนี้ GBP แข็งมาก ก็เอาไปชนกับสกุลเงินที่อ่อนที่สุด
- เหมาะกับเทรดเดอร์ทุกระดับ โดยเฉพาะคนที่ชอบเทรดตามเทรนด์หรือเทรดในช่วงที่ตลาดผันผวนจากข่าว
ความสำคัญของการวิเคราะห์ความแข็งอ่อนของสกุลเงิน
- เมื่อก่อนมักเข้าเทรดโดยอิงแค่กราฟ หรือรอ อินดิเคเตอร์ ตัดกันอย่างเดียว พอใช้ Currency Strength เข้ามาช่วย รู้เลยว่าเรา “มองตลาดกว้างขึ้น”
- ช่วยให้วิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีกว่า เช่น แม้จะมีข่าวดีฝั่ง EUR แต่ถ้า USD แข็งแรงกว่าแบบชัดเจน เทรด EUR/USD ก็ยังไม่ควรเข้าฝั่ง Buy
- เป็นตัวกรองชั้นดี ก่อนตัดสินใจเทรด เช่น มี 4-5 คู่ที่ดูน่าสนใจ แต่เราจะเลือกเฉพาะคู่ที่ “แข็งสุด ปะทะ อ่อนสุด” เท่านั้น
- ถ้าใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นอย่างแนวรับ-แนวต้าน หรือ Price Action จะยิ่งแม่นขึ้นไปอีกหลายเท่า
- ช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องไล่เปิดกราฟครบทุกคู่ แค่ดูความแข็งอ่อนก็พอรู้ว่าคู่ไหนน่าลุย
ภาพอธิบายถึง Currency Strength ของ 8 คู่เงินยอดนิยมในการเทรด แน่นอนว่าในเครื่องมือจะบอกว่า USD เป็นค่าที่แข็งแรงที่สุด และ JPY เป็นค่าที่อ่อนที่สุด ในขณะนี้
เครื่องมือวัด Currency Strength ที่นิยมใช้
- เว็บไซต์แบบ Real-time เช่น
- https://currencystrengthmeter.org ใช้ง่าย ไม่ต้องโหลดอะไรเลย
- https://www.livecharts.co.uk/currency-strength.php มีข้อมูลทั้งกราฟและตัวเลข
- Indicator บน MT4/MT5 เช่น
- Currency Strength Meter ที่แสดงเป็นแถบสีแบบ Histogram
- Currency Heatmap ที่แสดงความแรงของทุกคู่ในตารางเดียว
- แอปมือถือ เช่น
- Myfxbook – มีฟีเจอร์แสดงความแข็งอ่อนแบบรายวัน
- TradingView (ใช้ Screener + สร้าง Watchlist แบบเทียบหลายคู่เงินก็ได้ผลคล้ายกัน)
- บางคนใช้สูตรคำนวณเองผ่าน Excel โดยใช้ % เปลี่ยนแปลงของแต่ละคู่เงิน แล้วถ่วงน้ำหนักรวมเป็นค่าเฉลี่ย – วิธีนี้แม่นแต่ใช้เวลามาก
- ส่วนตัวเคยลองหลายแบบ สุดท้ายใช้แบบกราฟเรียบ ๆ บวกตาราง Heatmap เพราะเห็นทั้งแนวโน้มและค่าตัวเลขในเพียงเสี้ยววินาทีเดียว
สำหรับ Indicators Currency Strength Meter ที่แสดงเป็นแถบสีแบบ Histogram มีทั้งรูปแบบของฟรี และ การซื้อใน MQL5 แต่ก็มีตัว Demo ให้ทดลองใช้ก่อน
วิธีอ่านกราฟหรือแผนภูมิ Currency Strength
- ค่า Strength มักแสดงในช่วง 0–10 หรือ 0–100 ยิ่งค่าสูง ยิ่งหมายถึงสกุลเงินนั้นแข็งแรง
- ถ้าเห็น USD อยู่ระดับ 8–9 จาก 10 หมายความว่าตลาดกำลังไล่ซื้อ USD
- ถ้า JPY อยู่ระดับ 2 หรือต่ำกว่า แปลว่า JPY อ่อนสุดในตลาดตอนนั้น
- ให้จับคู่เงินที่มี “ความแตกต่างชัดเจน” เช่น เอาสกุลเงินที่แข็งระดับ 8 ไปเทรดกับ สกุลเงิน ที่อ่อนระดับ 2
- ถ้าคู่เงินอยู่ระดับใกล้กัน เช่น USD 5.5 กับ GBP 5.0 ถือว่ายังไม่มีจุดได้เปรียบชัดเจน ยังไม่เหมาะเข้าเทรด
- ควรเช็กหลายช่วงเวลา เช่น เทียบค่า Strength ใน TF M15, H1, และ D1 จะช่วยให้เห็นความสอดคล้องของแนวโน้ม
กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ข้อมูล Currency Strength
- รอจังหวะที่ตลาดมีความต่างชัด เช่น EUR แข็งระดับ 9 แล้ว CHF อ่อนระดับ 1 แบบนี้เหมือนยิงปลากระชัง
- ใช้เป็นไกด์เลือกคู่เงิน แล้วไปวิเคราะห์ต่อในกราฟแท่งเทียนหรือแนวรับแนวต้าน
- ถ้าใช้คู่กับกลยุทธ์ Breakout ยิ่งดี เพราะถ้าเบรกแนวสำคัญ แล้วค่าเงินฝั่ง Buy แข็งแรงต่อเนื่อง จะยิ่งไปได้ไกล
- ในช่วงข่าวแรง เช่น FOMC หรือ Non-Farm สามารถดูว่า “ตลาดเชื่อข่าวไหม” ได้จากทิศทางของ Currency Strength หลังข่าว
- ถ้าค่าเงินเพิ่งเริ่มแข็งหรือเริ่มอ่อน อาจรอ Confirm ด้วย Price Action ก่อนเข้าเทรด
- เทรดได้ทั้งแบบ Trend Following และแบบ Scalping ถ้าใช้ใน TF เล็กอย่าง M15 หรือ M30
ภาพนี้แสดงถึงการใช้ Currency Strength Meter ที่แสดงเป็นแถบสีความแข็งแรงของค่าเงิน แน่นอนเลยว่า ภาพนี้จับหลักที่แสนง่าย และ เทรดแบบมีแผน
การจับคู่สกุลเงินที่เหมาะสมจากความแข็ง-อ่อน
- จับหลักง่าย ๆ คือ “เอาสกุลเงินที่แข็งสุดไปชนกับสกุลเงินที่อ่อนสุด”
- ถ้า GBP แข็งที่สุดในตาราง แล้ว JPY อ่อนสุด ก็เปิดกราฟ GBPJPY รอหาจังหวะ Buy
- ถ้า USD แข็ง และ AUD อ่อน ก็หาทาง Sell ใน AUDUSD
- คู่เงินที่ทั้งสองฝั่งอยู่กลาง ๆ ไม่ควรเทรด เพราะมักแกว่งน่าเบื่อ ไม่ไปไหนชัดเจน
- ถ้าหาคู่เงินที่ตรงสุดไม่ได้ อาจเลือก “ฝั่งแข็งอันดับ 2” กับ “ฝั่งอ่อนอันดับ 1” ก็ยังใช้ได้อยู่
- อย่าเลือกคู่เงินที่สกุลหนึ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย เช่น อยู่ระดับ 5 มานานหลายชั่วโมง เท่ากับไม่มีแรงเทรด
ภาพรวมโดยทั่วไปของ Indicators Currency Strength บน MT5 ซึ่งหมายเลข 1-2 คือ หน้าต่างควบคุม และหมายเลข 3 คือการสร้างร่องรอยของการเทรดที่ผ่านมา Volume ของการเทรดเป็นอย่างไร
ตัวอย่างการวางแผนเทรดด้วย Currency Strength
- ช่วงตลาดยุโรปเปิด เคยดูแล้วเห็น GBP แข็งแรงสุด ส่วน CHF อ่อนสุด เลยไปเปิดกราฟ GBPCHF
- ในกราฟ H1 เห็นชัดว่าราคาเพิ่งเบรกแนวต้านเดิมขึ้นมา พร้อมแรง Volume
- วางแผนเข้าตรงจุด Pullback แล้วตั้ง SL ใต้แนวรับล่าสุด ไม่เกิน 20 จุด
- รันเทรดจนถึงแนวต้านถัดไป ได้ Risk:Reward ประมาณ 1:3
- ที่สำคัญคือ “มั่นใจได้” ว่าเราเข้าฝั่งที่ตลาดกำลังให้ความสนใจ ไม่ใช่เทรดสวนทาง
ตัวอย่างที่ 2: เทรดช่วงข่าว Non-Farm (NFP)
- วันศุกร์ช่วงค่ำ ก่อนข่าว NFP ออกประมาณ 15 นาที เริ่มเช็กค่าความแข็งอ่อนในหน้า Currency Strength
- พบว่า USD เริ่มฟื้นแรงแบบผิดปกติ แม้ยังไม่ออกข่าว ส่วน NZD อ่อนลงชัดเจนตลอดช่วงบ่าย
- ตั้งข้อสังเกตว่า “ตลาดน่าจะคาดว่า USD จะออกมาดี” เพราะเงินเริ่มไหลเข้า USD ล่วงหน้า
- เปิดกราฟ NZDUSD ใน TF M30 เห็นว่าราคากำลังร่วงหลุดแนวรับสำคัญที่ 0.6120
- พอข่าวออกจริง ตัวเลข NFP ออกมาดีกว่าคาดทันที USD ยิ่งแข็งเข้าไปใหญ่ ราคาทิ้งตัวต่อ
- เข้า Sell ที่จุด Breakout แล้วตั้ง SL ไว้เหนือแนวรับเดิมเล็กน้อย
- ปล่อยเทรดตามแรงข่าว ทำกำไรเร็วในเวลาไม่ถึง 30 นาที ได้ R:R ประมาณ 1:2.5 แบบไม่ต้องรอลุ้นนาน
ตัวอย่างที่ 3: เทรดช่วงตลาดเอเชีย (ตลาดนิ่ง ไม่มีข่าว)
- ช่วงเช้าวันพุธ ตลาดเอเชียเปิดได้ไม่นาน สังเกตว่าค่าเงิน AUD แข็งต่อเนื่องมาตั้งแต่วันก่อน ส่วน JPY ยังอ่อนเรื่อย ๆ
- เปิดดูกราฟ AUDJPY ใน TF H1 เห็นแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง มีการสร้าง High ใหม่แบบไม่รีบาวด์แรง
- วางแผนรอเข้า Buy เมื่อราคาย่อลงมาใกล้เส้น EMA50 ซึ่งเป็นจุดที่ราคาเด้งมาแล้วหลายครั้ง
- ตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่า Low ก่อนหน้าแค่เล็กน้อยประมาณ 25 จุด
- เป้าหมายอยู่ที่แนวต้านถัดไปตามแนว Channel ขาขึ้น ราว ๆ 60 จุด
- เทรดนี้แม้จะอยู่ในช่วงตลาดนิ่ง แต่พอรู้ว่าตลาดกำลังไล่ซื้อ AUD และทิ้ง JPY ก็มั่นใจเข้าเทรดได้แบบไม่ลังเล
ภาพแสดงถึง Indicators Currency Strength บน MT5 ที่มีการปรับแต่งได้ตามต้องการ และแน่นอนเลยว่า ภาพนี้ก็แอบบอกกลยุทธ์ในการเทรดเอาไว้เล็กน้อยแล้ว
ข้อควรระวังในการใช้ Currency Strength
- ค่าที่แสดงเป็น Real-time ไม่ได้บอกแนวโน้มล่วงหน้า ต้องวิเคราะห์ร่วมกับ Price Action หรือแนวโน้มก่อนหน้า
- ช่วงข่าวใหญ่หรือเปิดตลาดใหม่ ค่า Strength อาจแกว่งแรง ต้องรอให้นิ่งก่อนจึงค่อยเทรด
- อย่าตัดสินใจจากค่า Strength เพียงอย่างเดียว ต้องดู Context เช่น แนวโน้มใหญ่ TF H4 หรือ D1
- บางครั้งตลาดทำ Divergence ค่าเงินอ่อนแต่ราคาไม่ลง แปลว่ามีแรงดูดจากข่าวอื่น ต้องระวัง Fake Move
- ถ้าใช้ร่วมกับ Volume หรือ Breakout จะลดโอกาสหลงทางได้เยอะ
- อย่าเข้าเทรดเพราะ “ค่ามันสวย” แต่ไม่มีจุดเข้าในกราฟ เพราะจะกลายเป็นเทรดตามอารมณ์แทน
ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้ Currency Strength
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบ: ข้อดี vs ข้อจำกัดของการใช้ Currency Strength
หัวข้อ | ข้อดี | ข้อจำกัด |
---|---|---|
การมองภาพรวมตลาด | มองเห็นว่า "ตลาดกำลังให้น้ำหนักกับฝั่งไหน" ภายในไม่กี่วินาที เช่น ตอนนี้ตลาดเทฝั่ง JPY แล้วไปไล่ซื้อ GBP | เป็นเพียงข้อมูล ณ ขณะนั้น ถ้าไม่ดูบริบทหรือ TF ใหญ่ อาจหลงทางได้ง่าย เช่น เห็น JPY อ่อนใน M15 แต่ H4 ยังเป็นขาลง |
การเลือกคู่เงิน | ช่วยกรองคู่เงินให้เหลือเฉพาะคู่ที่ "มีแนวโน้มชัด" เช่น EUR แข็ง + CHF อ่อน = เทรด EURCHF ฝั่ง Buy | บางครั้งค่าความแข็งอ่อนใกล้เคียงกันทุกตัว ทำให้หาคู่ที่ต่างชัดเจนไม่ได้ ต้องพักรอ |
การเข้าเทรดตามเทรนด์ | ถ้าใช้คู่กับกลยุทธ์เทรนด์ฟอลโลว์ จะมั่นใจได้ว่าเราเทรดตามกระแสเงินทุน ไม่ใช่สวนตลาด | ถ้าเข้าเทรดโดยไม่รอดูพฤติกรรมราคายืนยันก่อน อาจโดนดักทางตอนราคากลับตัว |
ความเร็วในการวิเคราะห์ | ช่วยย่นเวลาการวิเคราะห์ ไม่ต้องเปิดกราฟทีละคู่ แค่ดูค่า Strength ก็รู้ทันทีว่าคู่ไหนน่าเล่น | ยิ่งเทรด TF สั้น (Scalping) ยิ่งต้องอัปเดตข้อมูลบ่อย เพราะค่าความแข็งอ่อนเปลี่ยนไวมาก |
การใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่น | ใช้เสริมได้กับทั้งแนวรับแนวต้าน, Breakout, Trendline, Price Action หรือแม้แต่ข่าวแรง ๆ อย่าง Non-Farm | ถ้าใช้คู่กับกลยุทธ์ที่ขัดกัน เช่น เทรดสวนเทรนด์ด้วย RSI Oversold ขณะที่ Currency Strength ยังแข็งอยู่ อาจเกิดความสับสนในระบบ |
การจัดการอารมณ์/ความมั่นใจ | เทรดด้วยความมั่นใจมากขึ้น เพราะมีข้อมูลสนับสนุน เช่น รู้ว่า "ไม่ได้เทรดผิดฝั่ง" | บางครั้งมั่นใจเกินไปจากค่า Strength แล้วรีบเข้าโดยไม่ดูสัญญาณยืนยันในกราฟ อาจนำไปสู่ Overtrade หรือเข้าเทรดเร็วเกิน |
การประยุกต์ใช้ในหลายช่วงเวลา | ใช้ได้ทั้งตอนตลาดผันผวน (เทรดข่าว) และตอนตลาดนิ่ง (เลือกเทรดคู่ที่ยังมีแรงชัดเจน) | ต้องเข้าใจว่าความแข็งอ่อนในแต่ละ TF อาจไม่สอดคล้องกัน เช่น TF M15 กับ D1 ต่างกันสุดขั้ว ต้องฝึกแยกให้ออก |
ความง่ายในการเรียนรู้ | มือใหม่เข้าใจหลักการได้ไว ไม่ซับซ้อน เห็นเป็นแถบพลังหรือ Heatmap ก็ใช้งานได้ทันที | อาจดูเรียบง่ายเกินไป ทำให้บางคนใช้แบบ “มองตัวเลขแล้วเข้าเลย” โดยไม่เช็กบริบทอื่น จนพลาดจังหวะสำคัญ |
ความแม่นยำเมื่อใช้ควบคู่กับข่าว | สามารถดูได้ว่าตลาดเชื่อข่าวหรือไม่ เช่น ข่าว USD ออกมาดี แต่ USD ไม่แข็ง = ตลาดไม่ Buy จริง | ถ้าใช้เพียงเพื่อเทรดข่าว แต่ไม่ดู Volume หรือแรงตลาดร่วม อาจโดน False Move ได้ง่าย |
คลิปที่น่าสนใจ
สำหรับวันนี้คลิปที่น่าสนใจคือ การใช้เครื่องมือของช่อง จับจุดเทรด กับคลิป เทรดด้วยหลักการ Currency Strength และจัดการ positions ด้วย CS Scalping Tool 2.0
ภาพอธิบายถึงข้อควรระวังในการใช้ Currency Strength ที่มีหลายข้อสำคัญ เพราะการเทรดมีหลายสิ่งที่นักเทรดจะต้องป้องกันความเสี่ยงด้วยการวางแผนก่อนเทรด ทุกครั้ง
สรุป
- Currency Strength ไม่ใช่เครื่องมือมหัศจรรย์ แต่ถ้าใช้เป็น มันคือเรดาห์ชั้นดีที่บอกได้ว่าตลาดกำลังไหลไปฝั่งไหน
- ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค และพฤติกรรมราคา เช่น การดูแนวรับแนวต้าน, การเกิดแท่งเทียนกลับตัว, หรือพฤติกรรมราคาใน TF ใหญ่
- หากฝึกใช้บ่อย ๆ จะช่วยลดการตัดสินใจแบบเดาสุ่ม และพัฒนาไปสู่การมีระบบที่แม่นยำขึ้น พร้อมสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง:
- AvaTrade – What Is Currency Strength & How To Analyze It?
:https://www.avatrade.com/education/trading-for-beginners/currency-strength - CurrencyStrengthMeter.org – Live Currency Strength Indicator:
https://currencystrengthmeter.org/ - NAGA Academy – Currency Strength Meter :https://naga.com/eu/academy/currency-strength
- IFC Markets – Currency Strength Meter: Definition, Formula and How to Use
https://www.ifcmarkets.co.za/ntx-indicators/currency-strength-meter
FAQ — วิธีใช้ currency strength ในการเทรด Forex
ไม่ได้มีสูตรวิเศษอะไร เป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ที่มีขั้นตอนง่าย ๆ
- เลือกสกุลเงินที่จะวัด เช่น เราจะวัดความแข็งของ USD
- จับคู่กับสกุลเงินอื่น ๆ — เอา USD ไปเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ทั้งหมดในตะกร้า (เช่น EUR, JPY, GBP, CHF, AUD, CAD, NZD)
- คำนวณ % การเปลี่ยนแปลง — ดูเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของแต่ละคู่เงิน (เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD) ในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา)
- หาค่าเฉลี่ย — เอาค่า % การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ย (จะถ่วงน้ำหนัก หรืออื่น ๆ ก็สุดแล้วแต่สูตรของแต่ละคน)
- สรุปออกมาเป็น “คะแนนความแข็งแกร่ง” 1 ค่าของ USD
จากขั้นตอนที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร บางคนก็ใช้ Excel/Googlesheet คำนวณเอง, เลือกตะกร้าสกุลเงิน, ปรับเปลี่ยน Timeframe ในการคำนวณได้ตามใจชอบ