การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คืออะไร?

หากคุณเคยได้ยินสำนวน อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว นี่แหละคือหัวใจสำคัญของการกระจายความเสี่ยงที่นักลงทุนทุกคนควรเข้าใจ! ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การกระจายความเสี่ยงเป็นเสมือนเครื่องมือป้องกันที่จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเราอยู่รอดได้ในทุกสภาวะตลาด

การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คือ กลยุทธ์การลงทุนที่มุ่ง ลดความเสี่ยงโดยการกระจายเงิน ลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อุตสาหกรรม ภูมิภาค หรือช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง

ทำไมการกระจายความเสี่ยงถึงสำคัญ?

  • การกระจายความเสี่ยงเป็นหลักการสำคัญในทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory) ที่พัฒนาโดย Harry Markowitz ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1990 ทฤษฎีนี้ชี้ว่าการกระจายความเสี่ยงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยไม่ลดผลตอบแทนที่คาดหวัง
  • นักลงทุนทั่วโลกใช้กลยุทธ์นี้เพื่อปกป้องเงินทุนและเพิ่มโอกาสเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น Forex และสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมัน ซึ่งมีปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างกันมาก

หลักการพื้นฐานของการกระจายความเสี่ยง

เป้าหมายหลัก

เป้าหมายคู่: กลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ “ลดความสูญเสีย” ในช่วงตลาดขาลง แต่ยังช่วย “เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคง” ในระยะยาว เพราะช่วยลดความผันผวนของพอร์ต ทำให้ผลตอบแทนเติบโตอย่างราบรื่นและสม่ำเสมอมากขึ้น

วิธีและหลักการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ต่างๆ

การกระจายความเสี่ยงทำได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดมุ่งหมายเฉพาะ:

การกระจายตามประเภทสินทรัพย์

  • หุ้น: ให้ผลตอบแทนสูงแต่มีความเสี่ยงมาก
  • พันธบัตร: ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำ
  • ฟอเร็กซ์: คู่สกุลเงินต่างๆ เช่น USD/EUR, GBP/JPY
  • ทองคำ: สินทรัพย์ปลอดภัยที่รักษาค่าได้ในช่วงวิกฤต
  • น้ำมัน: สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูง
  • อสังหาริมทรัพย์: สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว

การกระจายตามอุตสาหกรรม

  • เทคโนโลยี: มีการเติบโตสูงแต่มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
  • การเงิน: ได้รับผลกระทบจากนโยบายดอกเบี้ยและเศรษฐกิจ
  • สุขภาพ: มีความเสถียรแต่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมของรัฐบาล
  • พลังงาน: ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันและนโยบายพลังงาน

การกระจายตามภูมิภาค

  • สหรัฐอเมริกา: ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและเสถียร
  • ยุโรป: ได้รับผลกระทบจากนโยบายของธนาคารกลางยุโรป
  • เอเชีย: ตลาดเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง
  • ตลาดเกิดใหม่: มีความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ

การกระจายตามระยะเวลา

  • ลงทุนระยะสั้น: เช่น เทรดฟอเร็กซ์ที่ต้องการสภาพคล่องสูง
  • ลงทุนระยะยาว: เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเติบโตช้าแต่มั่นคง

การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์

  • การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ (correlation) ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อเลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำหรือเป็นลบ

การรับมือกับตลาดที่มีความผันผวนสูงโดยเฉพาะ

กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงจะแสดงศักยภาพได้ชัดเจนที่สุดในตลาดที่มีความผันผวนสูง ซึ่งขับเคลื่อนด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น:

  • ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex): อัตราแลกเปลี่ยนได้รับอิทธิพลโดยตรงจากนโยบายการเงินของธนาคารกลาง, ตัวเลขการจ้างงาน, อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพทางการเมือง การกระจายความเสี่ยงโดยถือสินทรัพย์อื่นที่ไม่ใช่สกุลเงิน เช่น หุ้น หรือพันธบัตร จะช่วยลดผลกระทบหากเกิดความผันผวนรุนแรงในตลาดสกุลเงินได้
  • ทองคำ (Gold): ถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe-Haven) ที่มักมีมูลค่าสูงขึ้นในยามที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือความไม่สงบทางการเมือง แต่ในทางกลับกัน ทองคำอาจให้ผลตอบแทนไม่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตและนักลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น การมีทองคำในพอร์ตจึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงขาลงของสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ
  • น้ำมัน (Oil): ราคาน้ำมันมีความอ่อนไหวสูงต่อปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง, การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก (OPEC) และแนวโน้มพลังงานทดแทน การลงทุนในน้ำมันเพียงอย่างเดียวจึงมีความเสี่ยงสูงมาก
  • คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency): ตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยความหวัง เทคโนโลยี และข่าวลือ มากกว่าปัจจัยพื้นฐานแบบดั้งเดิม ความผันผวนรุนแรงในเวลาไม่กี่นาทีอาจเปลี่ยนกำไรเป็นขาดทุน การถือครองคริปโตเลยไม่ใช่เป็นแค่การลงทุน แต่เป็นบททดสอบความเชื่อมั่นและการฝึกควบคุมอารมณ์อย่างแท้จริง

เครื่องมือวิเคราะห์ที่สำคัญ

  • ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) วัดความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์สองชนิด โดยมีค่าตั้งแต่ -1 ถึง +1
  • ค่าใกล้ +1: เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
  • ค่าใกล้ -1: เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม
  • ค่าใกล้ 0: ไม่มีความสัมพันธ์

Diversification สำคัญอย่างไร

การกระจายความเสี่ยงเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยนักลงทุนบริหารความเสี่ยงในตลาดที่มีความไม่แน่นอน เช่น ฟอเร็กซ์ ซึ่งผันผวนจากนโยบายการเงิน หรือทองคำและน้ำมันที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัย geopolitical การกระจายความเสี่ยงไม่เพียงลดโอกาสขาดทุน แต่ยังเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ

การกระจายความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว ด้วยเหตุผลหลักดังต่อไปนี้

ลดความเสี่ยง (Reduces Risk)

  • เนื่องจากสินทรัพย์แต่ละประเภทมักมีปฏิกิริยาต่อสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
  • ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำ ตราสารหนี้หรือทองคำอาจมีมูลค่าสูงขึ้น การถือสินทรัพย์ที่หลากหลายจะช่วยชดเชยการขาดทุนของสินทรัพย์หนึ่งด้วยกำไรของอีกสินทรัพย์หนึ่งได้ ทำให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมไม่ผันผวนรุนแรงจนเกินไป

เพิ่มเสถียรภาพให้ผลตอบแทน (Smoothes Out Returns)

  • การกระจายการลงทุนช่วยให้ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนมีความสม่ำเสมอ
  • สามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น แทนที่จะมีผลการดำเนินงานที่เหวี่ยงขึ้นลงอย่างรุนแรงตามภาวะของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง
  • การมีสินทรัพย์หลายประเภทจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว

เปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากแหล่งต่างๆ (Provides Opportunities for Returns)

  • การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายช่วยให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสในการทำกำไรจากสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่อาจมีช่วงเวลาเติบโตที่แตกต่างกันไป
  • การจำกัดการลงทุนอยู่เพียงไม่กี่แห่งอาจทำให้คุณพลาด “คลื่น” ลูกใหญ่ของสินทรัพย์อื่นที่กำลังเป็นขาขึ้น

ป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (Protects Against Unforeseen Events)

  • ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ, ความขัดแย้งทางการเมือง, หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการลงทุนได้
  • การกระจายความเสี่ยงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยลดความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุนของคุณได้

ข้อดีของการกระจายความเสี่ยง

  • ลดความผันผวน: พอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อสินทรัพย์ไม่เคลื่อนไหวพร้อมกัน
  • เพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง: ตามทฤษฎี Markowitz พอร์ตที่กระจายดีจะให้ผลตอบแทนต่อหน่วยความเสี่ยงสูงกว่า
  • ปกป้องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน: เช่น ราคาน้ำมันพุ่งจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
  • ยืดหยุ่นในทุกสภาวะ: เหมาะกับทั้งภาวะเงินเฟ้อ (ทองคำ) และภาวะถดถอย (พันธบัตร)

ข้อจำกัด

  • ลดผลตอบแทนในช่วงขาขึ้น: หากหุ้นพุ่ง การกระจายไปยังพันธบัตรอาจลดกำไร
  • ค่าใช้จ่ายสูง: การลงทุนในฟอเร็กซ์หรือสินค้าโภคภัณฑ์มีค่า spread หรือ commission
  • ความซับซ้อน: ต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์และปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
  • ไม่กำจัดความเสี่ยงทั้งหมด: ความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจยังคงอยู่

ผลกระทบต่อตลาดการเงินและนักลงทุน

Diversification มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในทุกตลาด โดยเฉพาะในฟอเร็กซ์ ทองคำ และน้ำมัน ซึ่งมีความผันผวนสูง การเข้าใจวิธีกระจายความเสี่ยงช่วยให้นักลงทุนปรับพอร์ตให้เหมาะสมและใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาด

ผลกระทบต่อตลาดหุ้น

  • การกระจายไปยังหุ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ (เช่น เทคโนโลยี สุขภาพ พลังงาน) ลดความเสี่ยงจากวิกฤตเฉพาะ เช่น การล่มสลายของ dot-com ในปี 2000
  • หุ้นที่มี beta สูง (ผันผวน) เช่น Tesla ควรผสมกับหุ้นที่มี beta ต่ำ เช่น Coca-Cola
  • ในช่วงที่หุ้นตก การกระจายไปยังทองคำหรือพันธบัตรช่วยลดความสูญเสีย

ผลกระทบต่อ Forex

  • ตลาดฟอเร็กซ์ผันผวนจากตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น Nonfarm Payrolls หรืออัตราดอกเบี้ย
  • การกระจายไปยังคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ต่ำ เช่น USD/JPY และ EUR/GBP ช่วยลดความเสี่ยง
  • ตัวอย่าง: หาก USD อ่อนค่า คู่ EUR/USD อาจขึ้น แต่ GBP/JPY อาจไม่ได้รับผลกระทบ
  • นักเทรดฟอเร็กซ์อาจกระจายไปยังทองคำ (XAU/USD) ซึ่งมักเคลื่อนไหวผกผันกับ USD

ผลกระทบต่อทองคำ

  • ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe-haven) ที่ขึ้นในช่วงวิกฤต เช่น เงินเฟ้อสูงหรือความตึงเครียด geopolitical
  • การกระจายไปยังทองคำช่วยปกป้องพอร์ตเมื่อหุ้นหรือฟอเร็กซ์ตก เช่น ในปี 2022 เมื่อราคาทองคำพุ่งจากสงครามยูเครน
  • ทองคำมีความสัมพันธ์ต่ำกับน้ำมันและหุ้น ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยง

ผลกระทบต่อน้ำมัน

  • ราคาน้ำมันผันผวนจากปัจจัย เช่น นโยบาย OPEC หรือความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
  • การกระจายไปยังน้ำมัน (เช่น ฟิวเจอร์ส WTI หรือ Brent) ช่วยเพิ่มผลตอบแทนในช่วงที่อุปสงค์พลังงานสูง
  • น้ำมันมีความสัมพันธ์ต่ำกับฟอเร็กซ์และพันธบัตร แต่สัมพันธ์กับหุ้นพลังงาน เช่น ExxonMobil
  • การลงทุนในน้ำมันต้องระวังความผันผวน เช่น ในปี 2020 เมื่อราคาน้ำมันติดลบจากโควิด-19

Diversification กับ ค่า Correlation ของสินทรัพย์

การกระจายความเสี่ยง (Diversification) เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร ฟอเร็กซ์ ทองคำ และน้ำมัน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับการเลือกสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งนำไปสู่บทบาทสำคัญของ ค่า Correlation ในการวางแผนพอร์ตการลงทุน

Correlation คืออะไร?

Correlation หรือค่าสหสัมพันธ์ เป็นตัวเลขที่วัดความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์สองรายการ โดยมีค่าตั้งแต่ -1 ถึง +1:

  • +1: สินทรัพย์ทั้งสองเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ (Positive Correlation)
  • 0: ไม่มีความสัมพันธ์กัน (No Correlation)
  • -1: สินทรัพย์เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสมบูรณ์ (Negative Correlation)

ตัวอย่าง

  • หุ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมักมีความสัมพันธ์บวกสูง (Correlation ใกล้ +1) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเดียวกัน เช่น อัตราการเติบโตของนวัตกรรม
  • ขณะที่ทองคำมักมีความสัมพันธ์ลบกับดอลลาร์สหรัฐ (Correlation ใกล้ -1) เพราะเมื่อ USD อ่อนค่า ราคาทองคำมักพุ่งขึ้น

 

คลิปที่น่าสนใจ

คลิปนี้จากรายการ “Wealth Interview Presented by UOB Privilege Banking” นำเสนอการสัมภาษณ์คุณยุทธชัย ชัยยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน โดยเน้นที่การบริหารความเสี่ยงผ่านการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเดินหน้าอย่างมั่นคง 

คุณยุทธชัยอธิบายว่า การกระจายความเสี่ยงเปรียบเสมือนการไม่ใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียวกัน โดยแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท (asset classes) ทั่วโลก 

คลิปยังเจาะลึกถึงวิธีการเริ่มต้นวางแผนการลงทุนผ่านสเตจ 3 ส่วน: การปกป้องความมั่งคั่ง (Protect), การสร้างความมั่งคั่ง (Build) และการเพิ่มผลตอบแทน (Enhanced Return) โดยเริ่มจากการปกป้องทรัพย์สิน เช่น บ้านหรือรถ ด้วยประกัน ก่อนสร้างพอร์ตหลัก (core portfolio) ที่มีความผันผวนต่ำ และสุดท้ายจับจังหวะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นหรือ AI ในสัดส่วนเล็กน้อย 

ช่วงเวลาที่พูดถึงการกระจายความเสี่ยง

นาทีที่ 02:30-05:00

  • คุณยุทธชัยเน้นว่า Diversification เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่หลีกเลี่ยงการลงทุนแบบเข้มข้น (concentrate) 
  • แนะนำการใช้ Dollar Cost Averaging (DCA) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนการลงทุน โดยซอยเงินเป็น 4-5 ไม้เพื่อลดความเสี่ยงจากจังหวะที่ไม่เหมาะสม
  • คลิปยังกล่าวถึง การรีบาลานซ์พอร์ตทุกไตรมาส โดยใช้โมเดล 60% หุ้น 40% ตราสารหนี้ ซึ่งจากการทดสอบย้อนหลัง 30 ปี พบว่ามีปีที่ติดลบเพียง 5 ปี และฟื้นตัวเร็ว ช่วยให้นักลงทุนปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจได้ดี

สรุป

การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้สิ้นสุดที่การเลือกซื้อสินทรัพย์หลายประเภทในครั้งแรก แต่จำเป็นต้องอาศัยการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนสำคัญดังนี้

  1. การวิเคราะห์และความรู้: นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจคุณลักษณะของสินทรัพย์แต่ละประเภทที่ลงทุน ทั้งในด้านผลตอบแทนที่คาดหวัง ระดับความเสี่ยง และปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์นั้นๆ ความเข้าใจนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการตัดสินใจลงทุน
  2. การปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ (Rebalancing): เมื่อเวลาผ่านไป มูลค่าของสินทรัพย์ในพอร์ตจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาด ทำให้สัดส่วนการลงทุนที่กำหนดไว้ในตอนแรกเปลี่ยนแปลงไป เช่น หากตลาดหุ้นเติบโตดี สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตอาจเพิ่มขึ้นสูงกว่าแผนที่วางไว้ ซึ่งส่งผลให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมมีความเสี่ยงสูงขึ้นตามไปด้วย

“การปรับพอร์ต” คือกระบวนการขายสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนเกินออกไปบางส่วน และนำเงินที่ได้ไปลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนต่ำกว่าเกณฑ์ เพื่อปรับให้พอร์ตกลับมามีสัดส่วนการลงทุนตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก การกระทำนี้คือการควบคุมระดับความเสี่ยงของพอร์ตให้อยู่ในกรอบที่ยอมรับได้เสมอ

วัตถุประสงค์หลัก:

โดยสรุปแล้ว การกระจายความเสี่ยงผ่านกระบวนการที่ต่อเนื่องนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างผลกำไรสูงสุดในระยะสั้น แต่มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “พอร์ตการลงทุนที่ยั่งยืน” ซึ่งมีการควบคุมความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ทำให้พอร์ตสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันได้ดีกว่า และท้ายที่สุดจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้สำเร็จ

อ้างอิง

  • Markowitz, H. (1952). Portfolio Selection. The Journal of Finance. https://www.jstor.org/stable/2975974
  • Bloomberg. (2568). ข้อมูลราคาสินทรัพย์และความสัมพันธ์. https://www.bloomberg.com
  • Reuters. (2568). ปฏิทินเศรษฐกิจและบทวิเคราะห์. https://www.reuters.com
  • S&P Global. (2568). ข้อมูลความผันผวนของหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์. https://www.spglobal.com
  • ING Think. (23 มกราคม 2568). การกระจายความเสี่ยงในช่วงเงินเฟ้อและความผันผวน. https://think.ing.com/snaps/diversification-2025

FAQ — การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คืออะไร: สรุปภาพรวมเจาะลึกทุกแง่มุม

การกระจายความเสี่ยงคือการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ ทองคำ น้ำมัน เพื่อลดความผันผวนและปกป้องเงินทุน สำคัญเพราะช่วยให้พอร์ตทนต่อวิกฤต
การเทรดคู่สกุลเงินหลากหลาย เช่น USD/JPY และ EUR/GBP ลดความเสี่ยงจากนโยบายธนาคารกลาง การเพิ่มทองคำช่วยป้องกันความผันผวนของ USD
ทองคำเป็น safe-haven ขึ้นในช่วงวิกฤต น้ำมันให้ผลตอบแทนเมื่ออุปสงค์พลังงานสูง ทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่ำกับหุ้นและฟอเร็กซ์
ลดความผันผวนและปกป้องเงินทุน เช่น ทองคำและพันธบัตรช่วยเมื่อหุ้นตก น้ำมันเพิ่มผลตอบแทนในช่วงราคาพลังงานสูง
กระจายไปยังหุ้น ฟอเร็กซ์ ทองคำ น้ำมัน และพันธบัตร ใช้ ETF และ rebalance พอร์ตสม่ำเสมอ ติดตามข่าว เช่น การประชุม Fed และ OPEC เพื่อปรับพอร์ต

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen