ETFs คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

  • ETF (Exchange-Traded Fund) หรือ “กองทุน รวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์” คือกองทุนที่นำเงินของนักลงทุนจำนวนมากไปรวมกัน แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น ดัชนี ตราสารหนี้ ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์
  • นักลงทุนสามารถซื้อขาย ETF ได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ มีรหัสซื้อขาย (Ticker) เหมือนหุ้น เช่น SPY, QQQ, GLD
  • ETF มักจะ อิงกับ ดัชนี หรือกลุ่มสินทรัพย์ใดกลุ่มหนึ่ง เช่น
    • SPY = อิงดัชนี S&P500
    • GLD = อิงราคา ทองคำ
    • VNM = อิงหุ้นเวียดนาม
    • ARKK = อิงหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการการกระจายความเสี่ยงโดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว

จุดเด่นของ ETF

  • ซื้อขายได้ทันที ในเวลาตลาดเปิด เหมือนหุ้น
  • ค่าธรรมเนียมต่ำ กว่ากองทุนรวมแบบปิดหรือกองทุนที่มีผู้จัดการ
  • กระจายความเสี่ยง ได้ดีโดยการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์หลายตัวในครั้งเดียว
  • โปร่งใส เพราะเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ที่ถืออยู่ทุกวัน
  • เข้าถึงตลาดทั่วโลก แม้เป็นนักลงทุนรายย่อยก็สามารถลงทุนในดัชนีต่างประเทศได้

ทำไม ETF ถึงมีบทบาทสำคัญในตลาด?

  • ETF คือ “กระจกสะท้อนภาพรวมของตลาด”
    เมื่อ ETF ที่อิงกับดัชนีใหญ่ ๆ ขึ้นหรือลง นั่นมักเป็นสัญญาณว่านักลงทุนมีมุมมองอย่างไรกับตลาดโดยรวม
  • เป็นตัวชี้วัด “risk sentiment” หรือภาวะความกล้า-กลัวของนักลงทุนได้อย่างรวดเร็ว
  • มีมูลค่าการซื้อขายมหาศาล เช่น SPY มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันกว่า $30,000 ล้านเหรียญ
  • ถูกใช้งานโดย
    • นักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนบำนาญ, Hedge Funds
    • นักลงทุนรายย่อยที่ต้องการสร้างพอร์ตด้วยตัวเองแบบต้นทุนน้อย
    • เทรดเดอร์สายเทคนิค ที่ใช้ความผันผวนของ ETF เพื่อทำกำไรระยะสั้น

ภาพแสดงถึงความหมายของ ETF ที่เป็นกองทุนรวมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง โดยไม่ได้เลือกหุ้นรายตัว

ทรัมป์พูดอะไร? เจาะโพสต์เดียวที่เขย่าตลาด

  • โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เป็นแค่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ แต่เขายังเป็น ผู้ทรงอิทธิพลในตลาดการเงิน
  • เขามักใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Twitter (ปัจจุบันคือ X) เป็นเครื่องมือสื่อสารหลัก โดยโพสต์แบบ
    • ตรงไปตรงมา
    • เร้าอารมณ์
    • มักมีนัยทางเศรษฐกิจหรือการเมือง
  • นักลงทุนทั่วโลกจับตาทุกถ้อยคำ เพราะคำพูดของเขาอาจสะท้อนถึงนโยบายในอนาคต หรือแม้แต่ “จุดประกาย” ความขัดแย้ง

ตัวอย่างโพสต์เดียวที่เขย่าตลาด

วันที่ 5 พฤษภาคม 2019

โพสต์โดยทรัมป์

“The United States has been losing, for many years, 600 to 800 Billion Dollars a year on Trade. With China we lose 500 Billion Dollars. Sorry, we’re not going to be doing that anymore!”

“I will be raising the tariffs on $200 Billion of goods from 10% to 25% on Friday.”

โพสต์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2019 เป็นการพูดถึง มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ กับจีน (US-China Trade War)

ผลกระทบทันที

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงทันทีในวันจันทร์
  • ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลงมากกว่า 450 จุด
  • ETFs ที่อิงกับจีน เช่น FXI และ Emerging Markets (EEM) โดนเทขายอย่างหนัก
  • ดัชนี VIX (ตัวชี้วัดความกลัวของตลาด) พุ่งสูงกว่า 40%

ภาพตัวอย่างโพสต์สำคัญของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่โพสต์ผ่าน Twitter ในขณะนั้น แน่นอนเลยว่าการโพสต์แค่ครั้งเดียว ส่งผลต่อตลาดการเงินเป็นแผง

ทำไมนักลงทุนถึงกลัว?

  • เพราะโพสต์ดังกล่าว ไม่ได้มาจากนักวิเคราะห์ แต่จากผู้นำประเทศ
  • ทรัมป์แสดงออกชัดว่า “จะเพิ่ม ภาษี จริง และในไม่กี่วันข้างหน้า”
  • นั่นเท่ากับบอกกลาย ๆ ว่า “สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐกับจีนจะรุนแรงขึ้น
  • นักลงทุนจึงคาดการณ์ว่า
    • ต้นทุนบริษัทเพิ่มขึ้น
    • ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูงขึ้น
    • กำไรของบริษัทในดัชนีจะลดลง

ไม่ใช่ครั้งแรกที่โพสต์ของทรัมป์ทำตลาดสั่น

  • 2018: โพสต์โจมตี FED ว่า “ขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป” ผลต่อมาคือ ตลาดร่วง
  • 2020: โพสต์เกี่ยวกับโควิดและจีนในช่วงเริ่มแพร่ระบาด ทำให้ความผันผวนสูงมากในตลาด ETF
  • 2024 (ช่วงเลือกตั้ง): โพสต์นโยบายเศรษฐกิจที่คุมเข้มนำเข้าสินค้าจากประเทศพันธมิตร ทำให้ตลาดผันผวนแม้ยังไม่เป็นนโยบายจริง
  • 2025 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศมาตรการใหม่ที่จะมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก โดยการกำหนดภาษีศุลกากร 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศทั้งหมด

ประเด็นสำคัญของประกาศนี้

  • ทรัมป์ระบุว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาจากการที่ประเทศอื่นๆ เสนอสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิ่งจูงใจอื่นๆ เพื่อดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์สหรัฐฯ ไปผลิตในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้การผลิตภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว 

ปี 2025 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2025 ทรัมป์ได้ประกาศเกี่ยวกับภาษีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก 100% แน่นอนเลยว่าตลาดการเงินเกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน 

ผลกระทบต่อ ETFs จากการประกาศภาษีของทรัมป์

  1. ความผันผวนในตลาด
    • การกำหนดภาษี 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะใน ETFs ที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิง หรือประเทศที่มีการผลิตภาพยนตร์ร่วมกับสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ราคาหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ผันผวนอย่างรวดเร็ว
  2. การปรับตัวของอุตสาหกรรม
    • บริษัทที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์อาจต้องปรับตัวในระยะยาวเพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตหรือผลกำไรที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลกระทบต่อ ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นเหล่านี้
  3. การกระจายความเสี่ยง
    • นักลงทุนใน ETFs ที่ลงทุนในหลายสินทรัพย์หรือหลายภาคอุตสาหกรรมอาจเห็นผลกระทบในระยะสั้นจากการประกาศนี้ โดยเฉพาะในหุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีของทรัมป์ นักลงทุนอาจพิจารณาการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนให้มากขึ้น
  4. การตอบโต้จากต่างประเทศ
    • หากประเทศอื่น ๆ ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีหรือมาตรการที่คล้ายคลึงกัน การลงทุนใน ETFs ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการร่วมมือระหว่างประเทศ
  5. ผลกระทบต่อความเชื่อมั่น
    • ภาษีนี้อาจลดความเชื่อมั่นในตลาดภาพยนตร์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนใน ETFs ที่เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิงหรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาพยนตร์ในต่างประเทศ

นักลงทุนคิดยังไง? ความเชื่อมั่น vs. ความกลัว

ฝ่ายเชื่อมั่น: โอกาสจากผู้นำที่คุ้นเคย

  • ทรัมป์คือ “คนเดิม” ที่มีแนวทางชัดเจนเรื่องเศรษฐกิจและการค้าสหรัฐ
  • ตลาดยุคทรัมป์ (2017–2019) เติบโตดีมาก ดัชนี S&P 500 พุ่งกว่า 40%
  • การหยุดขึ้นภาษีสินค้านำเข้าชั่วคราว 90 วัน คือสัญญาณ “ลดความตึงเครียด”
  • มุมมองนี้ทำให้เกิดแรงซื้อทันทีในกลุ่ม
    • หุ้นเทคโนโลยี
    • ETF จีนและตลาดเกิดใหม่
    • กลุ่มบริษัทส่งออกสหรัฐฯ

นักลงทุนสายนี้คิดว่า “โอกาสกำลังมา” ถ้าทรัมป์กลับมา

ภาพแสดงถึงการสรุปมุมมองของฝ่ายที่เชื่อมั่นใน โดนัลด์ ทรัมป์ และ พร้อมที่จะซื้อหุ้นเทคโนโลยี เพราะคาดว่าอนาคตจะไปได้สวย

ฝ่ายกลัว: นี่อาจเป็น “ความเสี่ยงระยะยาว”

  • ทรัมป์มักมีแนวนโยบายที่ “คาดเดายาก” และเปลี่ยนแปลงเร็ว
  • โพสต์ล่าสุดอาจ “ปั่นตลาด” โดยเจตนา หรือเพื่อหวังผลทางการเมือง
  • ถ้ากลับมาเป็นผู้นำจริง อาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าแบบรุนแรงอีกครั้ง เช่น
    • ภาษีนำเข้า 100%
    • แบนบริษัทจีน
  • นักลงทุนสายนี้เลือก “ลดความเสี่ยง”
    • ขายทำกำไร
    • ถือเงินสด
    • เข้าลงทุนใน ETF ที่มีลักษณะป้องกันความผันผวน เช่น VIX ETFs, Gold ETFs

นักลงทุนสายนี้คิดว่า “โพสต์เดียวอาจนำไปสู่ความปั่นป่วนในระยะยาว”

ภาพแสดงถึงการสรุปมุมมองของฝ่ายกลัว จะเลือกการเก็งกำไรแทนอย่าง การถือเงินสด, ถือทองคำ หรือ เข้าลงทุนใน ETF เพื่อป้องกันหุ้นผันผวน เชื่อว่าจะนำไปสู่การปั่นป่วนในระยะยาวได้

บทเรียนสำคัญ: พลังของคำพูดกับกลไกการลงทุน

เพียงประโยคเดียวของโดนัลด์ ทรัมป์

“This is a great time to buy!!!”
ทำให้มูลค่าการซื้อขายในตลาด ETF เพิ่มขึ้นหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ตลาดไม่รอให้ “ประกาศทางการ” แค่ “เจตนา” หรือ “ถ้อยคำ” จากบุคคลสำคัญ ก็เพียงพอให้เกิดแรงซื้อ/ขายทันที

บทเรียนในครั้งนี้คือ “คำพูด” กลายเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ขับเคลื่อนการลงทุนได้โดยตรง

ETF กับระบบอัตโนมัติ = ปฏิกิริยาทันที

  • ตลาดสมัยใหม่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมและบอทเทรด
  • เมื่อโพสต์สำคัญปรากฏ ระบบ AI ตรวจจับคำสำคัญ (เช่น “buy”, “pause tariffs”) และสั่ง “ซื้อ” ETF ทันทีโดยไม่รอมนุษย์
  • ETFs จึงกลายเป็นช่องทางที่ “สะท้อนอารมณ์ตลาดแบบเรียลไทม์” ที่สุด

นักลงทุนต้องเข้าใจว่าความเคลื่อนไหวใน ETF ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานเสมอไป แต่อาจเกิดจาก “แรงกระเพื่อมทางอารมณ์” และระบบอัตโนมัติ

ความโปร่งใสกับความเปราะบาง

  • ตลาดที่ขับเคลื่อนเร็ว = โอกาสและความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน
  • โพสต์ของทรัมป์จุดประเด็น “จริยธรรมทางการเมืองกับการลงทุน”:
    • คำพูดที่มีผลต่อราคา = ต้องระวังผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป
    • นักลงทุนรายย่อยอาจตกเป็น “เหยื่อของความเร็ว”

บทเรียน

ในโลกที่คำพูดมีพลังมากกว่าข่าวเศรษฐกิจรายไตรมาส ความรู้ + การวิเคราะห์บริบท คืออาวุธสำคัญของนักลงทุน

กลยุทธ์อยู่รอดในตลาดที่ไวเหมือนไฟฟ้า

  • ตั้ง “กรอบรับความเสี่ยง” ล่วงหน้า
  • ใช้ ETF อย่างเข้าใจ ทั้งข้อดีและข้อจำกัด
  • ติดตามข่าวจากบุคคลสำคัญแบบ มีสติ ไม่ใช่ อารมณ์
  • จัดสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสม เช่น
    • ถือบางส่วนในกองทุนป้องกันความผันผวน
    • ไม่เทหมดหน้าตักใน ETF เดียว

เช็คลิสต์สรุป “บทเรียนจากเหตุการณ์ทรัมป์โพสต์” 

ตารางที่ 1  Checklist: บทเรียนจากเหตุการณ์ “ทรัมป์โพสต์”

ข้อคิดสำคัญรายละเอียด
โพสต์เดียว…ตลาดสะเทือนคำพูดจากผู้นำระดับโลกมีผลต่อราคาสินทรัพย์ในทันที
ETF ตอบสนองไวที่สุดระบบอัลกอริทึมเทรดแบบอัตโนมัติ ทำให้ ETF เคลื่อนไหวเร็วกว่าตลาดทั่วไป
ข่าวโซเชียล ≠ ข่าวไร้สาระต้องติดตามโซเชียลของผู้นำและนักการเมืองเหมือนตามตัวเลขเศรษฐกิจ
อย่าใช้อารมณ์เทรดตามข่าวมีแผนลงทุนที่ชัดเจน และยึดตามวินัยมากกว่าความรู้สึกในขณะนั้น
คิดแบบนักลงทุนโลกแม้ลงทุนในไทย แต่ข่าวจากสหรัฐฯ หรือจีน อาจกระทบพอร์ตทันที
กระจายความเสี่ยงไว้เสมอไม่พึ่ง ETF เดียว ควรกระจายลงทุนหลายสินทรัพย์เพื่อป้องกันผันผวน
มีข้อมูล = มีโอกาสรู้ทันก่อนตลาด = ตัดสินใจได้แม่นยำกว่าและลดโอกาสขาดทุน

คลิปที่น่าสนใจ 

 

ขอแนะนำคลิปที่สรุปเนื้อหาของ สรุปวิกฤติ ภาษีทรัมป์ โลกกำลังเข้าสู่ Great Depression จากช่องลงทุนแมน ซึ่งจะมีเนื้อหาที่เข้าใจง่ายตั้งแต่เริ่ม พร้อมทั้งผลกระทบวงกว้างต่อทุกวงการ หลังจากที่ขึ้นครองตำแหน่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ 

  • 1.58 : เริ่มเรื่อง ทรัมป์ไม่ใช่คนแรกที่ประกาศสงคราม
  • 3.51 : Great Depression จะกลับมาเยือนโลกหรือไม่ ? 
  • 5.23 : มาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
  • 8.20 : อธิบายภาวะเศรษฐกิจถดถอย 
  • 12.10 : อธิบายโลกที่ซื้อขายกันเอง VS ซื้อขายกับ อเมริกา 

สรุป

  • คำพูดของผู้นำระดับโลก มีพลังขับเคลื่อนตลาดทันที แม้ไม่มีนโยบายทางการออกมา
  • ETF ตอบสนองไว เพราะตลาดปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมและระบบเทรดอัตโนมัติ
  • ข่าวจากโซเชียลไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นักลงทุนต้องติดตามและวิเคราะห์อย่างมีสติ หากจะ เทรด Forex ก็ต้องดูแนวโน้มของตลาดด้วย
  • วินัยและการวางแผนสำคัญกว่าอารมณ์ อย่า เทรด ตามกระแส ต้องมีจุดเข้า–ออกชัดเจน
  • นักลงทุนไทยต้องคิดแบบ Global เพราะพอร์ตเราเคลื่อนไหวตามตลาดโลกในทันที
  • การกระจายความเสี่ยงคือเกราะป้องกัน ปรับพอร์ตให้ยืดหยุ่น พร้อมรับมือทุกข่าวสาร

อ้างอิง

FAQ — ETFs vs. ทรัมป์ …ใครชนะ? โพสต์เดียวสั่นทั้งโลก


หุ้น (Stock): คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นๆ โดยตรง
ETF (Exchange-Traded Fund): คือกองทุนที่รวมเงินจากนักลงทุนหลายคนไปซื้อสินทรัพย์หลากหลายแบบ (ซึ่งอาจเป็นหุ้นหลายตัว, ตราสารหนี้, สินค้าโภคภัณฑ์ และอื่นๆ) แล้วแบ่งเป็นหน่วยลงทุนให้ซื้อ/ขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์

สรุป หุ้น = ลงทุนในบริษัทเดียว แต่ ETF เหมือน ตะกร้าหุ้น ที่ซื้อทีเดียวได้ของทั้งตะกร้า

ได้ปันผล กรณีที่ ETF ลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผล เมื่อ ETF ได้รับเงินปันผลจากหุ้นมา ก็จะนำมาจ่ายต่อให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ETF (เรียกว่า Distribution) รูปแบบการจ่ายอาจจะเป็นรายไตรมาส รายครึ่งปี หรือรายปี แล้วแต่นโยบายของแต่ละ ETF แต่ก็มี ETF บางประเภทที่อาจจะไม่ได้เน้นจ่ายปันผล แต่เน้นการเติบโตของมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) เป็นหลัก
หาได้ยากมาก จนถึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมี ETF ที่ไม่ได้รับผลกระทบเลย 100% โดยเฉพาะคำพูดจากบุคคลที่มีอิทธิพลระดับโลกจากนายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน ยิ่งยุคนี้ที่ข่าวแทบจะ real time คำพูดก็ส่งผลต่อ “ความเชื่อมั่น (Sentiment)” โดยรวมของตลาดการเงินทั่วโลกได้เร็วมาก ขนาด fake news ที่ไม่ผ่านการกรอง ตลาดยังตอบสนองทันทีเลย มารู้ทีหลัง ค่อยรีบเด้ง ฟื้นตัวชดเชย เอากับเค้าสิ

ถ้าอ้างอิงจากนโยบายที่นายทรัมป์เคยให้ความสำคัญในอดีต + ถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง ETF ที่น่าจับตามองแบ่งได้เป็นหลายกลุ่ม

  • กลุ่มพลังงาน (Energy) ทรัมป์หนุนอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน ลดข้อจำกัดสิ่งแวดล้อม ETF ที่น่าสนใจ: XLE, VDE
  • กลุ่มอาวุธ-การทหาร (Defense & Aerospace) ทรัมป์มักเพิ่มงบกลาโหม ส่งเสริมการผลิตอาวุธและเทคโนโลยีทหาร ETF ที่น่าสนใจ: ITA, XAR
  • กลุ่มตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวม (Broad Market) เมื่อมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาษีบริษัท ETF ที่น่าสนใจ: SPY, VOO, IVV
  • กลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในยุคที่ทวีตเดียวทำตลาดสะเทือน ทองคำและพันธบัตร ก็เป็น “ที่หลบภัยชั้นดี” ETF ที่น่าสนใจ: GLD (ทอง), TLT (พันธบัตร)
  • ถ้าจะซื้อ ETF ไทย ผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์หุ้นไทย) สะดวกที่สุดแล้ว ใช้ streaming ก็ได้ ซื้อขาย ETF ไทยได้เหมือนกับการซื้อขายหุ้นตัวหนึ่งเลย
  • ถ้าจะซื้อ ETF ต่างประเทศ ผ่าน โบรกเกอร์หุ้นไทย ที่ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Offshore Trading) หรืออีกวิธีคือซื้อเป็น CFD (ไม่ได้ถือ ETF จริงๆ แค่เก็งกำไร แบบมี leverage) หลายโบรกเกอร์ Forex เช่น Exness, XM, IC Markets ให้เทรด ETF แบบ CFD ได้

 

เขียนโดย

Poomipat Wonganun

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen