FED (Federal Reserve Bank) หรือ เฟด คือ
- FED (Federal Reserve Bank) หรือ FED คือ ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เหมือนเป็น “หัวใจ” ของระบบการเงินอเมริกา ควบคุมเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของประเทศ
- FED เป็นคนกำหนดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ ตลาดหุ้น และเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
- เป้าหมายหลักของFED คือ ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาแข็งแรง โดยดูแล 3 เรื่องใหญ่: ให้คนมีงานทำเยอะ ๆ, ควบคุมราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไป และดูแลดอกเบี้ยให้เหมาะสม
- FED คือ คนพิมพ์เงินดอลลาร์สหรัฐ และคอยดูแลว่าควรมีเงินหมุนเวียนในระบบเท่าไหร่จึงจะพอดี ไม่มากไปน้อยไป
- เวลาเศรษฐกิจมีปัญหา FEDจะเป็น “หมอใหญ่” ที่คอยช่วยแก้ไข เช่น ตอนวิกฤตการเงินปี 2008 หรือตอนโควิด-19 ระบาด FEDจะออกมาตรการต่าง ๆ มาช่วย
- FED มีสำนักงานใหญ่ที่วอชิงตัน ดี.ซี. และมีสาขา 12 แห่งทั่วประเทศ โดยสาขาที่นิวยอร์กสำคัญที่สุดเพราะดูแลศูนย์กลางการเงินของประเทศ
- FED มีอิสระในการทำงาน ไม่ได้ขึ้นตรงกับรัฐบาล ทำให้สามารถตัดสินใจเรื่องเศรษฐกิจโดยไม่ถูกการเมืองแทรกแซง
- ประธาน FED (เหมือนเป็น CEO) เป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในโลกการเงิน แค่พูดอะไรออกมาก็สามารถทำให้ตลาดหุ้นขึ้นหรือลงได้
- FED มีเครื่องมือหลายอย่างในการดูแลเศรษฐกิจ เช่น การขึ้น-ลงดอกเบี้ย การซื้อพันธบัตร หรือการออกมาพูดให้กำลังใจตลาด
- การตัดสินใจของ FED มีผลต่อชีวิตคนทั่วโลก เพราะเมื่อ FED ทำอะไร จะกระทบทั้งค่าเงิน ดอกเบี้ย ราคาหุ้น ราคาทอง น้ำมัน และสินค้าต่าง ๆ ทั่วโลก
FED (Federal Reserve Bank) มีหน้าที่อะไรบ้าง
มีหน้าที่สำคัญดังนี้
1.ดูแลนโยบายการเงิน
- กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ เช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวอาจลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย หรือขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอเงินเฟ้อเมื่อเศรษฐกิจร้อนแรง
- ควบคุมปริมาณเงินในระบบผ่านการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล (Open Market Operations) และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืม (Discount Rate)
- ตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา โดยใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เป็นตัวชี้วัดหลัก
2.กำกับดูแลสถาบันการเงิน
- ออกกฎระเบียบและควบคุมการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบ (Systemically Important Financial Institutions)
- จัดทำ “Stress Test” ทดสอบความแข็งแกร่งของธนาคารเป็นประจำทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่าจะรับมือวิกฤติได้
- กำหนดมาตรฐานการดำเนินงาน การบริหารความเสี่ยง และการคุ้มครองผู้บริโภค
3.ส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
- มุ่งรักษาการจ้างงานให้อยู่ในระดับสูงสุด โดยตั้งเป้าอัตราการว่างงานที่ประมาณ 4-5% ซึ่งถือเป็นระดับการจ้างงานเต็มที่ (Full Employment)
- ใช้มาตรการพิเศษในภาวะวิกฤติ เช่น การอัดฉีดสภาพคล่อง (Quantitative Easing) ในช่วงวิกฤติการเงินปี 2008 ที่เพิ่มงบดุลจาก 9 แสนล้านดอลลาร์เป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์
- ดูแลเสถียรภาพของตลาดการเงินผ่านการสื่อสารและให้แนวทาง (Forward Guidance) แก่ตลาด
4.ทำหน้าที่เป็นธนาคารของรัฐบาล
- ควบคุมการพิมพ์และออกธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ โดยในปีงบประมาณ 2020 ได้ผลิตธนบัตรกว่า 95 พันล้านใบ ด้วยต้นทุนเฉลี่ย 7.4 เซนต์ต่อใบ
- บริหารจัดการการชำระเงินและระบบหักบัญชีระหว่างธนาคาร มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
- ให้บริการทางการเงินและจัดการธุรกรรมต่างๆ ให้กับกระทรวงการคลังสหรัฐ
5.เป็นผู้ให้กู้แหล่งสุดท้าย
- พร้อมให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินในยามวิกฤติ เช่น การให้กู้ฉุกเฉิน 85 พันล้านดอลลาร์แก่ AIG ในปี 2008 เพื่อป้องกันการล้มละลาย
- จัดตั้งโครงการพิเศษในภาวะวิกฤติ เช่น Term Auction Facility (TAF) และ Commercial Paper Funding Facility (CPFF) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบการเงิน
- ทำงานร่วมกับธนาคารกลางทั่วโลก เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินระหว่างประเทศ เช่น การทำ Currency Swap Lines ในช่วงวิกฤติ
6.การกำหนดนโยบายในภาวะวิกฤต
- ออกมาตรการ Quantitative Easing (QE) หรือการผ่อนคลายเชิงปริมาณ โดยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เช่น ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ได้เพิ่มงบดุลเป็นเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2022
- ใช้มาตรการ Forward Guidance หรือการสื่อสารแนวทางนโยบายล่วงหน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาด
- ออกโครงการเงินกู้พิเศษต่างๆ เช่น Primary Dealer Credit Facility (PDCF) และ Term Securities Lending Facility (TSLF) ในช่วงวิกฤติ
7.การวิจัยและวิเคราะห์เศรษฐกิจ
- จัดทำรายงาน Beige Book ทุก 6 สัปดาห์ ซึ่งรวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจจากทั้ง 12 เขต
- พัฒนาฐานข้อมูลเศรษฐกิจ FRED (Federal Reserve Economic Data) ที่รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจกว่า 816,000 ชุด
- วิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย
8.การร่วมมือระหว่างประเทศ
- ประสานงานกับธนาคารกลางทั่วโลก ในการรักษาเสถียรภาพการเงินระหว่างประเทศ
- จัดทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตรา (Currency Swap Lines) กับธนาคารกลางสำคัญ เช่น ECB และ Bank of England
- มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤติการเงินระดับโลก เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักในการค้าระหว่างประเทศ
แต่ละหน้าที่เหล่านี้ทำงานประสานกันเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และระบบการเงินโลก การตัดสินใจของ FED จึงมีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลก
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของ FED
- อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) – เป็นตัวชี้วัดการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการ FED มีเป้าหมายควบคุมที่ 2% ต่อปี
- อัตราการจ้างงาน (Employment Rate) – แสดงสภาวะการจ้างงานในประเทศ เป้าหมายอัตราว่างงานที่ 4% ถือว่าเหมาะสม
- การเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) – วัดจาก GDP การใช้จ่าย และการลงทุน บ่งบอกสุขภาพเศรษฐกิจโดยรวม
- เสถียรภาพของตลาดการเงิน – ดูความผันผวนของตลาดหุ้น พันธบัตร และสภาพคล่องในระบบการเงิน
- สถานการณ์เศรษฐกิจโลก (Global Economy) – เหตุการณ์สำคัญทั่วโลกที่อาจกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ – โดยเฉพาะราคาน้ำมันและอาหาร ซึ่งกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพ
- นโยบายการคลังของรัฐบาล – การใช้จ่ายภาครัฐและระดับหนี้สาธารณะที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ
- ตัวชี้วัดภาคอสังหาริมทรัพย์ – สะท้อนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของประชาชน
- ดัชนีราคาผู้บริโภคและผู้ผลิต – แสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าทั้งระดับค้าปลีกและต้นทุนการผลิต
- เหตุการณ์ไม่คาดคิด – เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ หรือวิกฤติการเมืองที่กระทบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
โครงสร้างของ Federal Reserve (FED)
เฟดแบ่งเป็น 3 หมวดหลัก ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ทำงานประสานกัน เพื่อควบคุมระบบการเงินของสหรัฐฯ ให้มีเสถียรภาพ เหมือนกับเฟืองจักรสามตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศนั่นเอง
หมวดที่ 1: การบริหารนโยบาย (Policy Management)
- Board of Governors (คณะผู้ว่าการ)
- เปรียบเหมือนคณะกรรมการบริษัทใหญ่
- มีสมาชิก 7 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี
- นำโดยประธาน FED (ปัจจุบันคือ Jerome Powell)
- ตัดสินใจเรื่องนโยบายการเงินหลักของประเทศ
หมวดที่ 2: การดำเนินนโยบายการเงิน (Monetary Policy Operations)
- FOMC (Federal Open Market Committee)
- คณะกรรมการที่ดูแลเรื่องอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะ
- มีสมาชิก 12 คน (7 คนจากคณะผู้ว่าการ + 5 คนจากธนาคารกลางภูมิภาค)
- ประชุม 8 ครั้งต่อปี
- ตัดสินใจขึ้นหรือลดดอกเบี้ยที่มีผลต่อเศรษฐกิจทั้งประเทศ
หมวดที่ 3: การปฏิบัติการระดับภูมิภาค (Regional Operations)
- 12 Federal Reserve Districts (ธนาคารกลางภูมิภาค)
- เปรียบเหมือนสาขาของธนาคารกลาง กระจายอยู่ 12 แห่งทั่วประเทศ
- สาขานิวยอร์กสำคัญที่สุดเพราะดูแลตลาดการเงินใหญ่ของประเทศ
- แต่ละสาขาดูแลธนาคารในพื้นที่
- เก็บข้อมูลเศรษฐกิจและรายงานให้ส่วนกลาง
ผลกระทบของ FED ใน 3 ด้านหลัก
ด้านที่ 1 คือ ตลาดหุ้น
เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย:
- ผลต่อตลาดหุ้น
- ดัชนี S&P500 มักปรับตัวลง 2-5% ในช่วงแรกหลังการประกาศขึ้นดอกเบี้ย
- กลุ่มหุ้นที่มีหนี้สินสูง (High Leverage) จะได้รับผลกระทบมากที่สุด อาจลดลง 5-10%
- หุ้นกลุ่ม Growth Stocks ที่ต้องการเงินทุนสูงมักปรับตัวลงแรง 8-15%
- ผลต่อกำไรบริษัท
- ต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 25-0.5% ต่อการขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
- กำไรสุทธิอาจลดลง 3-7% จากภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) จะมีความสำคัญมากขึ้น
- การเคลื่อนย้ายเงินทุน
- เงินอาจไหลออกจากตลาดหุ้น 1-2% ของมูลค่าตลาด
- พันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทน 4-5% จะดึงดูดเงินลงทุน
- กองทุนตราสารหนี้มักเห็นเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้น 10-15%
เมื่อ FED ลดดอกเบี้ย:
- ผลต่อตลาดหุ้น
- ดัชนี S&P500 มักปรับตัวขึ้น 3-6% ในระยะสั้น
- หุ้นกลุ่มการเงินอาจปรับตัวลง 2-4% เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยลดลง
- หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มักปรับขึ้น 5-8% เพราะต้นทุนเงินกู้ลดลง
- ผลต่อกำไรบริษัท
- ต้นทุนดอกเบี้ยลดลงประมาณ 2-0.4% ต่อการลดดอกเบี้ย 0.25%
- กำไรสุทธิอาจเพิ่มขึ้น 4-8% จากภาระดอกเบี้ยที่ลดลง
- บริษัทมีโอกาสในการ Refinance หนี้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลง
- การเคลื่อนย้ายเงินทุน
- เงินอาจไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่ม 2-3% ของมูลค่าตลาด
- เงินจะย้ายจากพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่หุ้นปันผล
- กองทุนตราสารทุนมักเห็นเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้น 15-20%
ด้านที่ 2 คือ อัตราแลกเปลี่ยน (Forex)
ผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์
การขึ้นดอกเบี้ยของ FED:
- เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนได้ผลตอบแทนสูงขึ้น เช่น การขึ้นดอกเบี้ย 25% อาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 1-2% ในระยะสั้น
- นักลงทุนย้ายเงินเข้าสหรัฐฯ เพื่อลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้า FED ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 5% ขณะที่ยุโรปอยู่ที่ 3% นักลงทุนจะได้ส่วนต่าง 2%
คู่เงินหลักมักปรับตัวลง เช่น:
- EUR/USD อาจลดลง 100-200 pips ในวันที่มีการประกาศ
- GBP/USD อาจลดลง 150-250 pips
- USD/JPY มักปรับตัวขึ้น เพราะเยนอ่อนค่าเทียบดอลลาร์
การลดดอกเบี้ยของ FED:
- ดอลลาร์อ่อนค่าลง เพราะผลตอบแทนในสหรัฐฯ ต่ำลง อาจอ่อนค่า 2-3% ในระยะสั้น
- เงินทุนไหลออกไปตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ตลาดเกิดใหม่ที่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 6-7%
- คู่เงินหลักปรับตัวขึ้น:
- EUR/USD อาจเพิ่มขึ้น 150-300 pips
- GBP/USD อาจเพิ่มขึ้น 200-400 pips
- USD/JPY มักปรับตัวลง
ผลต่อการเทรด Forex
ช่วงประชุม FED:
- ความผันผวนเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าจากปกติ
- Spread ของคู่เงินหลักอาจกว้างขึ้น 50-100% จากปกติ
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าในช่วงประกาศ
หลังประกาศผลประชุม:
- ราคาอาจเคลื่อนที่ 100-500 pips ภายในไม่กี่นาที
- เกิด Gap ในกราฟราคา โดยเฉพาะถ้าผลประชุมไม่เป็นไปตามคาด
- Volume การซื้อขายอาจสูงถึง 200-300% ของค่าเฉลี่ยปกติ
ด้านที่ 3 คือ เศรษฐกิจ
เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย:
- ผลต่อการบริโภคและการลงทุน
- การบริโภคมักลดลง 2-3% ในช่วง 6 เดือนแรก
- การลงทุนภาคเอกชนอาจลดลง 5-8%
- ยอดขายรถยนต์ลดลง 10-15% เพราะดอกเบี้ยสินเชื่อสูงขึ้น
- บัตรเครดิตมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยสูงขึ้น 25-0.5% ต่อการขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
- ผลต่อเงินเฟ้อ
- อัตราเงินเฟ้อมักลดลง 3-0.5% ในช่วง 6-12 เดือน
- ราคาสินค้าและบริการเติบโตช้าลง
- ค่าจ้างแรงงานมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นช้าลง
- ผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์
- ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 15-20%
- อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 5-1%
- ราคาบ้านอาจปรับตัวลง 5-10%
เมื่อ FED ลดดอกเบี้ย:
- ผลต่อการบริโภคและการลงทุน
- การบริโภคเพิ่มขึ้น 3-5% ในช่วง 6 เดือนแรก
- การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 7-10%
- ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 12-18%
- อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลลดลง 2-0.4%
- ผลต่อเงินเฟ้อ
- ความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5-1% ต่อปี
- ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น 3-5%
- การจ้างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้น
- ผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์
- ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 20-25%
- อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง 5-0.75%
- ราคาบ้านปรับตัวเพิ่มขึ้น 8-12%
ผลกระทบทั้ง 3 ด้านนี้มีความเชื่อมโยงกัน และ FED ต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงิน การตัดสินใจของ FED จึงต้องคำนึงถึงผลกระทบในทุกด้านอย่างรอบคอบ
เครื่องมือหลักที่ FED ใช้ในการดำเนินนโยบายการเงิน
1.อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
- เป็นเครื่องมือหลักที่สำคัญที่สุดของ FED
- FED จะปรับขึ้น-ลงอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเศรษฐกิจ
- ขึ้นดอกเบี้ยเมื่อต้องการชะลอเศรษฐกิจหรือควบคุมเงินเฟ้อ
- ลดดอกเบี้ยเมื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- มีผลโดยตรงต่อต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารและประชาชน
2.QE (Quantitative Easing) หรือการเพิ่มปริมาณเงิน
- FED จะเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ต่างๆ ในตลาด
- ทำให้มีเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
- ใช้ในภาวะวิกฤติเมื่อการลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่เพียงพอ
- เช่น ในวิกฤติปี 2008 และช่วงโควิด-19
3.เงินสำรอง (Reserve Requirements)
- FED กำหนดให้ธนาคารต้องกันเงินสำรองไว้บางส่วน
- ยิ่งกำหนดสูง ธนาคารยิ่งปล่อยกู้ได้น้อยลง
- ปัจจุบันตั้งไว้ที่ 0% เพื่อให้ธนาคารมีความคล่องตัวในการปล่อยกู้
- เป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมปริมาณเงินในระบบ
ทั้ง 3 เครื่องมือนี้ FED จะใช้ผสมผสานกันเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้บ่อยที่สุด ส่วน QE และเงินสำรองมักใช้ในสถานการณ์พิเศษ
ติดตามการประชุม FED (Federal Reserve Bank)
การประชุม FED 8 ครั้งต่อปี
- จัดขึ้นราวๆ ทุก 6-8 สัปดาห์ตามตารางที่กำหนดล่วงหน้า
- แต่ละครั้งใช้เวลาประชุม 2 วัน
- ประกาศผลประชุมวันที่สองเวลา 02:00 น. ตามเวลาไทย
- หลังจากนั้น 30 นาที จะมีการแถลงข่าวของประธาน FED
ความผันผวนของตลาดช่วงประชุม
- ช่วง 1-2 วันก่อนประชุม ตลาดมักเคลื่อนไหวแคบลง
- ระหว่างประชุมความผันผวนเพิ่มขึ้น 30-50%
- หลังประกาศผล ตลาดอาจเคลื่อนไหว 100-200 pips ภายใน 1 ชั่วโมง
- อาจใช้เวลา 24-48 ชั่วโมงกว่าตลาดจะกลับสู่ภาวะปกติ
การติดตามปฏิทินประชุม
- ปฏิทินประชุมประกาศล่วงหน้าตลอดทั้งปี
- นักลงทุนควรลดขนาดการลงทุน 1-2 วันก่อนประชุม
- ไม่ควรเปิดออเดอร์ใหม่ 2-3 ชั่วโมงก่อนประกาศผล
- หลังประกาศควรรอให้ตลาดสงบก่อนเข้าเทรดใหม่
ผลกระทบระยะ 6-18 เดือน
- การขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มักส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว 3-5% ใน 6 เดือน
- เงินเฟ้อมักตอบสนองช้า ใช้เวลา 12-18 เดือนจึงเห็นผล
- ตลาดที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบเร็วที่สุด ภายใน 3-6 เดือน
- การจ้างงานมักตอบสนองช้าสุด อาจใช้เวลาถึง 18-24 เดือน
ผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์
- หากขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ค่าเงินดอลลาร์มักแข็งค่าขึ้น 1-2% ในระยะสั้น
- หากลดดอกเบี้ย 0.25% ค่าเงินดอลลาร์มักอ่อนค่าลง 1-3%
- ผลกระทบต่อค่าเงินอาจคงอยู่ 3-6 เดือน
- คู่เงินหลักเช่น EUR/USD อาจเคลื่อนไหว 100-300 pips หลังประกาศ
ผลต่อตลาดหุ้น
- การขึ้นดอกเบี้ยมักทำให้ดัชนี S&P500 ลดลง 2-5% ในระยะสั้น
- การลดดอกเบี้ยมักทำให้ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น 3-6%
- หุ้นกลุ่มการเงินตอบสนองเร็วที่สุดภายใน 1-2 วัน
- ผลกระทบต่อกำไรบริษัทจะเห็นในไตรมาสถัดไป
ผลต่อตลาดพันธบัตร
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีมักเปลี่ยนแปลง 0.1-0.3%
- Yield Curve อาจเปลี่ยนรูปร่างภายใน 1-2 สัปดาห์
- ราคาพันธบัตรเดิมจะปรับตัวตรงข้ามกับทิศทางดอกเบี้ย
- ผลกระทบมักคงอยู่ 3-12 เดือน
ผลต่อสินทรัพย์อื่นๆ
- ราคาทองคำมักเคลื่อนไหว 1-2% หลังประกาศ
- ราคาน้ำมันอาจผันผวน 3-5% ในระยะสั้น
- คริปโตเคอร์เรนซีอาจเคลื่อนไหว 5-10%
- อสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบภายใน 3-6 เดือน
สรุป
FED หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการเงินโลก เพราะเป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบายการเงินของประเทศที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันมากขึ้น การตัดสินใจของ FED จึงส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ความสำคัญหลักของ FED
- ควบคุมเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ และมีผลต่อเศรษฐกิจโลก
- กำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลต่อตลาดการเงินทั่วโลก
- ดูแลค่าเงินดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักในการค้าระหว่างประเทศ
- มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจระดับโลก
สำหรับนักลงทุน
- ต้องติดตามนโยบาย FED อย่างใกล้ชิด
- ใช้ข้อมูลจาก FED ในการวางแผนการลงทุน
- เข้าใจผลกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
- ปรับกลยุทธ์การลงทุนตามทิศทางนโยบาย FED
การติดตามข่าวสารและการตัดสินใจของ FED จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดการเงิน เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสม