Flash Manufacturing PMI คืออะไร?

Flash Manufacturing PMI หรือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเบื้องต้น คือ ตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตที่เผยแพร่เป็นข้อมูลเบื้องต้น (Preliminary) ก่อนการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index – PMI) ฉบับสมบูรณ์ในแต่ละเดือน ถือเป็นตัวเลขที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นเสมือน “สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า” ที่ให้ภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว

คำอธิบายง่ายๆ

  • PMI = Purchasing Managers’ Index = ดัชนีที่วัดสุขภาพของภาคเศรษฐกิจโดยสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ
  • Flash = ข้อมูลเบื้องต้นที่ออกมาก่อน PMI ฉบับสมบูรณ์ (Final PMI)
  • Manufacturing PMI = เน้นภาคการผลิต เช่น โรงงาน อุตสาหกรรมหนัก และการผลิตสินค้า
  • Flash Manufacturing PMI = ค่าประมาณการล่วงหน้าของดัชนี PMI ที่คำนวณจากข้อมูลที่รวบรวมได้ประมาณ 85% – 90% ของแบบสำรวจทั้งหมดในเดือนนั้นๆ
  • Flash PMI: จะประกาศออกมาก่อน ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนสิ้นเดือนปฏิทินนั้นๆ ทำให้เห็นทิศทางเศรษฐกิจได้ก่อนใคร
  • Final PMI (ฉบับสมบูรณ์): จะประกาศในช่วงต้นเดือนถัดไป โดยใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจครบ 100% ทำให้มีความแม่นยำสูงสุด แต่จะช้ากว่า

รู้จักกับ “PMI” หัวใจของการวัดเศรษฐกิจภาคการผลิต

Flash Manufacturing PMI เป็นตัวชี้วัดที่นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้กำหนดนโยบายให้ความสนใจอย่างมาก เพราะภาคการผลิตเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่มีอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง เช่น จีน เยอรมนี และสหรัฐ ข้อมูลที่ออกมาอย่างรวดเร็วนั้นช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินได้ก่อนตัวชี้วัดอื่นๆ

Flash Manufacturing PMI จัดทำโดยหน่วยงานอิสระ เช่น S&P Global หรือ Markit (ในบางภูมิภาค) โดยสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิตเพื่อประเมินกิจกรรมต่างๆ เช่น การผลิต ยอดสั่งซื้อใหม่ การจ้างงาน และสต็อกสินค้า

นิยามเบื้องต้น

  • Flash Manufacturing PMI เป็นดัชนีที่วัดระดับกิจกรรมในภาคการผลิต โดยตัวเลข 50 เป็นจุดแบ่ง:
    • มากกว่า 50 = การขยายตัวของภาคการผลิต
    • น้อยกว่า 50 = การหดตัวของภาคการผลิต
  • เผยแพร่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อน PMI ฉบับสมบูรณ์ (Final PMI)
  • ครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น การผลิต ยอดสั่งซื้อใหม่ การจ้างงาน ราคาวัตถุดิบ และความคาดหวังทางธุรกิจ
  • จัดทำในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ ยูโรโซน จีน ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร

สำรวจอะไรบ้าง?

การสำรวจจะครอบคลุม 5 ปัจจัยหลัก ซึ่งจะถูกนำมาคำนวณเป็นค่าดัชนี PMI ได้แก่:

  1. ยอดคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders): สะท้อนความต้องการสินค้าในอนาคต
  2. ผลผลิต (Production): ปริมาณการผลิตสินค้าในปัจจุบัน
  3. การจ้างงาน (Employment): อัตราการจ้างงานในภาคการผลิต
  4. ระยะเวลาการส่งมอบสินค้าจากซัพพลายเออร์ (Suppliers’ Delivery Times): สะท้อนถึงความคึกคักในห่วงโซ่อุปทาน (ถ้ายิ่งช้าแสดงว่ามีความต้องการสูง)
  5. ปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventories): ระดับสินค้าที่บริษัทเก็บไว้

แปลผลอย่างไร?

ค่าดัชนี PMI จะมีตัวเลขระหว่าง 0 ถึง 100 และใช้เลข 50 เป็นเกณฑ์วัด ดังนี้

  • สูงกว่า 50: บ่งชี้ว่าภาคการผลิตกำลัง ขยายตัว (Expansion)
  • เท่ากับ 50: บ่งชี้ว่าภาคการผลิต ทรงตัว (No Change)
  • ต่ำกว่า 50: บ่งชี้ว่าภาคการผลิตกำลัง หดตัว (Contraction)

ยิ่งตัวเลขอยู่ห่างจาก 50 มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะท้อนถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น

ทำไม Flash Manufacturing PMI จึงมีความสำคัญ?

ความสำคัญของ Flash PMI อยู่ที่ “ความรวดเร็วในการให้ข้อมูล” ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหนึ่งใน ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจชั้นนำ (Leading Economic Indicator) ที่มีอิทธิพลสูง

  • ให้ภาพเศรษฐกิจที่ทันท่วงที: Flash PMI เป็นข้อมูลเศรษฐกิจชุดแรกๆ ที่ประกาศในแต่ละเดือน ช่วยให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายสามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจได้ก่อนที่ข้อมูลจากภาครัฐ (เช่น GDP หรือข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรม) จะประกาศออกมา ซึ่งมักจะล่าช้ากว่าหลายสัปดาห์
  • มีผลต่อตลาดการเงิน: เนื่องจากเป็นข้อมูลที่รวดเร็วและสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจได้ดี การประกาศตัวเลข Flash PMI จึงมักส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ตลาดหุ้น ตลาดปริวรรตเงินตรา (Forex) และราคาสินค้าโภคภัณฑ์
    • หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาด: อาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศนั้นๆ แข็งค่าขึ้น และตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น
    • หากตัวเลขออกมาแย่กว่าคาด: อาจส่งผลในทางตรงกันข้าม
  • เครื่องมือประกอบการตัดสินใจ: ธุรกิจต่างๆ ใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางแผนการผลิต การลงทุน และการจ้างงาน ขณะที่ธนาคารกลางอาจใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณากำหนดนโยบายการเงิน

การรวบรวมข้อมูล

  • ดำเนินการโดย S&P Global หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละประเทศ
  • สำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อจากบริษัทในภาคการผลิตประมาณ 400-800 ราย
  • ข้อมูลรวบรวมผ่านแบบสอบถามเกี่ยวกับการผลิต ยอดสั่งซื้อ สต็อก และแนวโน้มธุรกิจ
  • Flash PMI ใช้ตัวอย่างข้อมูลประมาณ 80-90% ของ Final PMI เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและแม่นยำ

ความสำคัญของข้อมูล

  • ข้อมูล Flash PMI มีความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากครอบคลุมตัวอย่างข้อมูลส่วนใหญ่ที่ใช้ใน Final PMI
  • การสำรวจครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น ยานยนต์ เครื่องจักร และอิเล็กทรอนิกส์
  • ข้อมูลสะท้อนถึงทั้งอุปสงค์ในประเทศและการส่งออก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการค้าโลก
  • การออกข้อมูลเร็วกว่า GDP รายไตรมาส ทำให้เป็นตัวชี้วัดที่ทันสมัยสำหรับนักลงทุน

ข้อดีข้อเสีย Flash Manufacturing PMI

ข้อดี

  • ให้ข้อมูลที่ทันสมัย ช่วยนักลงทุนตัดสินใจก่อนที่ข้อมูลฉบับสมบูรณ์จะออก
  • สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน
  • ลดความล่าช้าในการวิเคราะห์สถานะของภาคการผลิต
  • เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนฟอเร็กซ์ หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากสร้างความผันผวนในตลาด

ข้อเสีย

  • อาจมีการปรับแก้เล็กน้อยเมื่อ Final PMI ออกมา
  • ครอบคลุมเฉพาะภาคการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนน้อยกว่าในเศรษฐกิจสมัยใหม่เมื่อเทียบกับภาคบริการ
  • ความผันผวนอาจเกิดจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การหยุดชะงักของซัพพลายเชน
  • การตีความต้องพิจารณาควบคู่กับบริบท เช่น นโยบายการค้าหรือราคาวัตถุดิบ

Flash Manufacturing PMI มีความสำคัญต่อนโยบายทางการเงิน

Flash Manufacturing PMI มีความสำคัญเพราะภาคการผลิตเป็นตัวบ่งชี้ชั้นนำของสุขภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน และการจ้างงาน ข้อมูลที่ออกมาอย่างรวดเร็วนั้นสามารถสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์และอุปทานทั่วโลกได้ก่อนตัวชี้วัดอื่นๆ

ความสำคัญต่อนโยบายการเงิน

  • ธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve (Fed), European Central Bank (ECB), และ People’s Bank of China (PBOC) ใช้ Flash Manufacturing PMI ในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ
  • PMI ที่สูงกว่าคาดอาจบ่งชี้แรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาวัตถุดิบ ส่งผลให้ธนาคารกลางพิจารณาขึ้นดอกเบี้ย
  • PMI ที่ต่ำกว่าคาดอาจกระตุ้นนโยบายผ่อนคลาย เช่น การลดดอกเบี้ยหรือเพิ่มสภาพคล่อง
  • นักวิเคราะห์มักใช้ Flash PMI ร่วมกับข้อมูลอื่น เช่น Producer Price Index (PPI) และ Industrial Production

การสะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจ

  • Flash Manufacturing PMI ที่สูงกว่า 50 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการเติบโตในภาคการผลิต
  • PMI ที่ต่ำกว่า 50 อาจบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของอุปสงค์และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
  • ช่วยให้นักลงทุนเห็นวงจรเศรษฐกิจ เช่น การฟื้นตัวหลังวิกฤตหรือการถดถอยที่กำลังมา
  • สะท้อนถึงการค้าโลก เนื่องจากภาคการผลิตเชื่อมโยงกับการส่งออกและซัพพลายเชน

ความแตกต่างจาก Services PMI

  • Manufacturing PMI เน้นภาคการผลิต เช่น โรงงานและอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งมีสัดส่วนน้อยกว่าใน GDP ของเศรษฐกิจสมัยใหม่
  • Services PMI เน้นภาคบริการ เช่น การเงินและการค้าปลีก ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า
  • Manufacturing PMI มีอิทธิพลมากในประเทศที่เน้นการผลิต เช่น จีนและเยอรมนี
  • Flash Manufacturing PMI มักมีผลต่อสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันและโลหะ มากกว่า Services PMI

การตีความและการใช้ประโยชน์จาก Flash Manufacturing PMI

การมีข้อมูล Flash Manufacturing PMI อยู่ในมือเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การตีความและนำไปใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนนี้เราจะพูดถึงวิธีวิเคราะห์ PMI และกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม รวมถึงข้อควรระวังที่ต้องรู้

เกณฑ์การตีความ

  • PMI > 50 = การขยายตัว ถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจและหุ้นอุตสาหกรรม
  • PMI < 50 = การหดตัว อาจบ่งชี้ความเสี่ยงต่อการชะลอตัวและกดดันสินค้าโภคภัณฑ์
  • การเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน = สำคัญกว่าตัวเลขเดี่ยวๆ เช่น PMI จาก 51 เป็น 53 แสดงถึงการเติบโตที่เร่งขึ้น
  • เปรียบเทียบกับฉันทามติ = ความแตกต่างจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์มักสร้างความผันผวนในตลาด
  • ส่วนประกอบของ PMI = ยอดสั่งซื้อใหม่และราคาวัตถุดิบเป็นตัวบ่งชี้ชั้นนำของเงินเฟ้อและอุปสงค์

กลยุทธ์การลงทุนตาม PMI

  • PMI สูงกว่าคาด:
    • ลงทุนในหุ้นภาคการผลิต เช่น บริษัทเครื่องจักรหรือยานยนต์
    • ซื้อสกุลเงินของประเทศนั้น เช่น USD หรือ CNY
    • เพิ่มน้ำหนักในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันและโลหะอุตสาหกรรม
  • PMI ต่ำกว่าคาด:
    • ลดน้ำหนักในหุ้นที่ไวต่อเศรษฐกิจ เช่น วัสดุพื้นฐาน
    • เพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ
    • หลีกเลี่ยงสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน เช่น ทองแดง
  • การใช้ร่วมกับข้อมูลอื่น:
    • เปรียบเทียบ PMI กับ Industrial Production และ Durable Goods Orders
    • ติดตาม PPI เพื่อดูแรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทุนวัตถุดิบ
    • วิเคราะห์ควบคู่กับการประชุมธนาคารกลาง เช่น FOMC หรือ ECB
  • การเก็งกำไรระยะสั้น:
    • นักเทรดฟอเร็กซ์สามารถใช้ PMI ในการซื้อ/ขายคู่สกุลเงิน เช่น USD/JPY
    • นักลงทุนหุ้นอาจเก็งกำไรใน ETF ภาคอุตสาหกรรม เช่น XLI

ข้อจำกัดของ Flash PMI

  • เป็นข้อมูลเบื้องต้น อาจมีการปรับแก้ใน Final PMI ซึ่งอาจเปลี่ยนการตีความ
  • ครอบคลุมเฉพาะภาคการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนน้อยกว่าใน GDP ของบางประเทศ เช่น สหรัฐ
  • อาจผันผวนจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การหยุดชะงักของซัพพลายเชนหรือราคาวัตถุดิบ
  • การตีความต้องพิจารณาบริบท เช่น นโยบายการค้าหรือวิกฤตพลังงาน

เหตุใด Flash Manufacturing PMI จึงควรอยู่ในเรดาร์ของทุกนักลงทุน

Flash Manufacturing PMI ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจพลวัตของภาคการผลิตและการค้าโลก การติดตาม PMI อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความผันผวนของตลาดและปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม

ประเด็นสำคัญที่ควรจำไว้

  • Flash Manufacturing PMI เป็นตัวชี้วัดที่ทันสมัยและมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงินและการค้า
  • การเคลื่อนไหวของ PMI สามารถสร้างโอกาสหรือความเสี่ยงในหุ้น ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์
  • PMI ที่แตกต่างจากฉันทามติมักนำไปสู่ความผันผวนในตลาด โดยเฉพาะในวันประกาศ
  • การวิเคราะห์ PMI ควรร่วมกับตัวชี้วัดอื่น เช่น PPI, Industrial Production, และ Trade Balance

แนวทางการนำไปใช้ในการลงทุน

  • การคาดการณ์นโยบายการเงิน:
    • ใช้ Flash PMI ในการประเมินทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
    • PMI ที่สูงอาจบ่งชี้การขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ลดน้ำหนักในพันธบัตรระยะยาว
  • การปรับพอร์ตการลงทุน:
    • เพิ่มน้ำหนักในหุ้นอุตสาหกรรมเมื่อ PMI สูงต่อเนื่อง
    • กระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ปลอดภัยเมื่อ PMI ต่ำกว่าคาด
  • การเก็งกำไรระยะสั้น:
    • ใช้ PMI ในการเทรดฟอเร็กซ์ เช่น ซื้อ USD เมื่อ PMI สหรัฐสูง
    • เก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน เมื่อ PMI จีนแข็งแกร่ง
  • การติดตามแนวโน้มระยะยาว:
    • วิเคราะห์ PMI 3-6 เดือนเพื่อจับสัญญาณวงจรเศรษฐกิจ
    • เปรียบเทียบ PMI ระหว่างภูมิภาค เช่น สหรัฐและยูโรโซน เพื่อหาโอกาสลงทุน

ข้อควรระวังและข้อจำกัด

  • Flash PMI เป็นข้อมูลย้อนหลัง ควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดที่ทันสมัย เช่น Export Orders
  • อย่าตัดสินใจจาก PMI เพียงตัวเดียว ต้องพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น นโยบายการค้าหรือวิกฤต geopolitical
  • ความผันผวนของ PMI ในบางช่วงอาจเกิดจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์
  • การตีความต้องคำนึงถึงบริบท เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลางหรือสงครามการค้า

การวิเคราะห์กราฟ Flash Manufacturing PMI และการเชื่อมโยงกับข่าว

สรุปจากกราฟ

  • ภาพจาก Forex Factory และกราฟ TradingView แสดงปฏิทินเศรษฐกิจและการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงิน EUR/USD
  • หลังการประกาศ Flash Manufacturing PMI และ Flash Services PMI ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 (ตามเวลาเขต +7) ณ ช่วงเวลา 8:45 PM และ 9:00 PM ตามลำดับ
  • ข้อมูลเผยว่า Flash Manufacturing PMI อยู่ที่ 52.0 (เท่ากับการคาดการณ์ 52.0 แต่สูงกว่าตัวเลขก่อนหน้า 51.1)
  • Flash Services PMI อยู่ที่ 53.1 (ต่ำกว่าคาดการณ์ 53.7 แต่สูงกว่า 52.9 ก่อนหน้า)
  • การประกาศนี้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ EUR/USD ซึ่งสังเกตได้จากกราฟที่แสดงการขึ้นต่อเนื่อง 2 แท่ง เริ่มตั้งแต่เวลา 2 ทุ่ม ถึง 3 ทุ่ม (ตามเวลาในกราฟ)

ผลกระทบ

  • การที่ Flash Manufacturing PMI ออกมาตามคาดที่ 52.0
  • บ่งชี้การขยายตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ไม่แข็งแกร่งเกินคาด
  • ทำให้นักลงทุนมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง
  • ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ (USD) อ่อนค่าลง
  • เมื่อ USD อ่อนค่า คู่สกุลเงินที่จับคู่กับยูโร (EUR) เช่น EUR/USD มักแข็งค่าขึ้น
  • กราฟแสดงการดีดตัวของราคาในแท่งเวลา 2:00 PM หลังข่าวเริ่มสะท้อนตลาด
  • ตามด้วยการขึ้นต่อในแท่ง 3:00 PM ซึ่งบ่งบอกถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่งจากปฏิกิริยาของนักเทรด

คลิปที่น่าสนใจ

คลิปนี้จาก Guze Market นำเสนอการวิเคราะห์ข่าว Flash Manufacturing PMI และ Flash Services PMI ในวันที่ 6 ของโปรเจกต์ โดยเน้นกลยุทธ์การเทรดชนข่าว 

พิธีกรอธิบายว่า Flash Manufacturing PMI จะประกาศเวลา 3:45 PM (เลื่อนจากเดิม 2:30 PM) ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นจาก S&P Global วัดกิจกรรมภาคการผลิตสหรัฐฯ โดยใช้ข้อมูล 80-85% ของ Final PMI และมีความสำคัญรองจาก ISM PMI

ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับข่าว Flash Manufacturing PMI

  • นาทีที่ 05:00-06:00: พูดถึงการเลื่อนเวลาประกาศเป็น 3:45 PM และความสำคัญของ Flash PMI ในการสะท้อนทิศทางเศรษฐกิจ โดยหากตัวเลข >50 บ่งบอกการขยายตัว (USD แข็งค่า ทองคำอ่อน) แต่ถ้า <50 บ่งบอกการหดตัว (USD อ่อนค่า ทองคำแข็ง)
  • นาทีที่ 12:00-15:00: วิเคราะห์ผลกระทบ หาก Flash Manufacturing PMI อยู่ที่ 51.5+ จะเป็นบิ๊กอิมแพคทำให้ DXY ดีดขึ้นและทองคำร่วง แต่ถ้า 51.3-51.4 อาจกระทบน้อยและกลับมาเล่นตามโครงสร้างหลัง 5-10 นาที
  • นาทีที่ 25:00-28:00: เน้นการรอแท่งเทียน M30 จบหลังข่าว (ประมาณ 4:00 PM) เพื่อดูการยืนยันทิศทาง และแนะนำให้เทรดหลังข่าวมากกว่าในช่วงประกาศ

เพิ่มเติม

  • คลิปยังเปรียบเทียบกับยูโรโซน ซึ่งภาคบริการแย่ลงแต่การผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ EUR อ่อนค่าและ DXY แข็งขึ้นตั้งแต่บ่าย 3 โมง
  • นอกจากนี้ วิเคราะห์ทิศทางทองคำที่อาจย่อตัวลงในกรอบ Sideway Down เนื่องจากปัจจัยสงครามและการค้าลดลง โดยโซนสำคัญอยู่ที่ 2877-2916 หากหลุด 2877 อาจเปลี่ยนโครงสร้างขาขึ้น
  • พิธีกรแนะนำรอโซนซื้อหรือเซลล์หลังข่าว โดยใช้ Fibonacci และ RSI วิเคราะห์สัญญาณกลับตัว
  • คลิปนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการวางแผนจากข่าว PMI

สรุป

Flash Manufacturing PMI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำความเข้าใจแนวโน้มของภาคการผลิตและการค้าโลก การติดตามและวิเคราะห์ PMI อย่างรอบคอบจะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความผันผวนของตลาดและปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม การลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างความรู้ การวิเคราะห์ข้อมูล และการตอบสนองต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลง Flash Manufacturing PMI เป็นส่วนสำคัญของปริศนาเศรษฐกิจที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของการเติบโตและความท้าทายในภาคการผลิตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

อ้างอิง

FAQ — Flash Manufacturing PMI คืออะไร?

Flash Manufacturing PMI เป็นดัชนีเบื้องต้นที่วัดกิจกรรมภาคการผลิต ออกโดย S&P Global ช่วยคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ การค้า และนโยบายการเงิน ส่งผลต่อหุ้น ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์
Flash PMI เป็นข้อมูลเบื้องต้น ออกเร็วกว่า Final PMI 1-2 สัปดาห์ ใช้ข้อมูล 80-90% ของ Final PMI มีความแม่นยำสูงและสร้างความผันผวนในตลาด
Manufacturing PMI เน้นภาคการผลิต เช่น โรงงานและอุตสาหกรรมหนัก ส่วน Services PMI เน้นภาคบริการ Manufacturing PMI มีผลต่อสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่า
  • PMI สูงกว่าคาด: สกุลเงินแข็งค่า หุ้นอุตสาหกรรมขึ้น น้ำมันและโลหะปรับขึ้น
  • PMI ต่ำกว่าคาด: สกุลเงินอ่อนค่า หุ้นลง สินค้าโภคภัณฑ์ปรับลง
ติดตามแนวโน้ม 3-6 เดือน หาก PMI สูง ปรับพอร์ตไปที่หุ้นอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ ใช้ร่วมกับ PPI และ Industrial Production ระวังความผันผวนจากนโยบายการค้า

 

เขียนโดย

Poomipat Wonganun

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon