Technical Analysis คืออะไร?

การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ การศึกษาและคาดการณ์ทิศทางราคา forex ในอนาคตโดยใช้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต

  • เป็นการวิเคราะห์ผ่านกราฟราคาและเครื่องมือที่เรียกว่า Indicator เพื่อระบุแนวโน้มและจุดกลับตัว
  • ช่วยเทรดเดอร์หาจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม และกำหนดจุด Stop Loss/Take Profit อย่างมีหลักการ
  • เหมาะกับ ตลาด Forex ที่เปิด 24 ชั่วโมงและมีความผันผวนสูง
  • สามารถปรับใช้ได้กับทุกกรอบเวลา ตั้งแต่การเทรดระยะสั้นจนถึงการลงทุนระยะยาว
  • ไม่สามารถรับประกันผลได้ 100% แต่ช่วยให้การเทรดเป็นระบบและลด การตัดสินใจด้วยอารมณ์

ลองมาดู 5 เคล็ดลับที่จะช่วยให้เหล่าเทรดเดอร์เทรด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

1. การใช้แนวรับ-แนวต้าน (Support and Resistance)

แนวรับ-แนวต้าน คือ ระดับราคาที่เมื่อราคาวิ่งมาถึงแล้วมีโอกาสสูงที่จะกลับตัวหรือทะลุผ่านไป ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้

  • แนวรับ คือ ระดับราคาที่มักมีแรงซื้อเข้ามาหนุน ทำให้ราคาเด้งกลับขึ้น
  • แนวต้าน คือ ระดับราคาที่มักมีแรงขายกดดัน ทำให้ราคาปรับตัวลง 
  • เกิดจาก จุดกลับตัวในอดีต ระดับจิตวิทยากลมๆ และระดับ Fibonacci 
  • ยิ่งถูกทดสอบบ่อย ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

เคล็ดลับการใช้งาน

  • หาแนวรับ-แนวต้าน จากจุดสูงสุดและต่ำสุดย้อนหลัง โดยเฉพาะในกรอบเวลาที่สูงขึ้น (H4, Daily)
  • ให้ความสำคัญกับแนวรับ-แนวต้านที่เคยทดสอบหลายครั้ง ยิ่งมีการทดสอบมากครั้ง ยิ่งมีความน่าเชื่อถือสูง
  • ใช้เส้น Fibonacci Retracement ช่วยในการหาแนวรับ-แนวต้านที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัว
  • สังเกตปริมาณการซื้อขาย เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ-แนวต้านสำคัญ
  • ตั้ง Stop Loss และ Take Profit ให้สอดคล้องกับระดับแนวรับ-แนวต้าน

ข้อดี

  • เข้าใจง่าย สามารถมองเห็นได้ชัดเจนบนกราฟโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติม
  • ช่วยกำหนดจุดเข้า-ออกและระดับ Stop Loss ได้อย่างมีหลักการ
  • ใช้ได้กับทุกกรอบเวลาและทุกตลาด ไม่จำกัดเฉพาะ Forex

ข้อเสีย

  • มีความเป็นอัตวิสัยสูง แต่ละคนอาจมองแนวรับ-แนวต้านไม่เหมือนกัน
  • ในช่วงตลาดผันผวนหรือมีข่าวสำคัญ แนวรับ-แนวต้านอาจถูกทะลุได้ง่าย
  • ไม่สามารถใช้เป็นสัญญาณซื้อ-ขายโดยตรง ต้องใช้ร่วมกับปัจจัยอื่น

 

2. ใช้อินดิเคเตอร์ (Indicator)

อินดิเคเตอร์ เป็นเครื่องมือที่คำนวณราคาตามสูตรคณิตศาสตร์ ช่วยให้เราคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคตได้แม่นยำมากขึ้น

เคล็ดลับการใช้งาน

  • ไม่ใช้อินดิเคเตอร์มากเกินไป ควรเลือกใช้ 2-3 ตัวที่เข้าใจดีและเสริมกัน
  • รู้จักจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละอินดิเคเตอร์ 
  • MACD: ดีสำหรับจับแนวโน้มและจุดตัด แต่ให้สัญญาณช้า
  • RSI: ดีสำหรับดูสภาวะ Overbought/Oversold แต่อาจให้สัญญาณผิดในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน
  • Bollinger Bands: ดีสำหรับวัดความผันผวนและกรอบการเคลื่อนไหว
  • Moving Average: ดีสำหรับหาแนวโน้มหลัก แต่ให้สัญญาณช้าในตลาดแกว่งตัว
  • ปรับค่าพารามิเตอร์ให้เหมาะกับกรอบเวลาและคู่เงินที่เทรด
  • ทดสอบย้อนหลัง (Backtest) เพื่อดูประสิทธิภาพของอินดิเคเตอร์ก่อนใช้จริง
  • ระวังสัญญาณหลอก โดยเฉพาะในช่วงตลาดแกว่งตัวหรือช่วงข่าวสำคัญ

ข้อดี

  • ให้สัญญาณซื้อ-ขายที่ชัดเจนและเป็นระบบ ลดความเป็นอัตวิสัย
  • มีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ตามสถานการณ์ต่างๆ
  • สามารถปรับแต่งค่าพารามิเตอร์ให้เหมาะกับสไตล์การเทรดได้

ข้อเสีย

  • เป็น Lagging Indicator ให้สัญญาณล่าช้าเพราะคำนวณจากข้อมูลในอดีต
  • อาจให้สัญญาณหลอกได้บ่อย โดยเฉพาะในตลาดที่แกว่งตัว
  • แต่ละอินดิเคเตอร์ทำงานได้ดีเฉพาะในบางสภาวะตลาดเท่านั้น

3. จับสัญญาณ Divergence ให้เป็น

Divergence คือ ความขัดแย้งระหว่างทิศทางราคากับอินดิเคเตอร์ ซึ่งมักบ่งชี้ถึงการกลับตัวของราคาที่กำลังจะเกิดขึ้น

เคล็ดลับการใช้งาน

  • เรียนรู้ประเภทของ Divergence 
    • Regular Divergence: สัญญาณกลับตัวของราคา
    • Hidden Divergence: สัญญาณยืนยันแนวโน้มหลัก
  • ใช้อินดิเคเตอร์ที่เหมาะสม เช่น RSI, MACD, หรือ Stochastic ในการหา Divergence
  • หา Divergence ในกรอบเวลาที่สูงขึ้น เพื่อความน่าเชื่อถือมากขึ้น
  • ยืนยันด้วยปัจจัยอื่นเสมอ เช่น แนวรับ-แนวต้าน หรือรูปแบบแท่งเทียน
  • ใช้เทคนิค Multiple Time Frame Analysis เพื่อยืนยันสัญญาณจากหลายกรอบเวลา

ข้อดี

  • เป็นสัญญาณกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูง
  • ช่วยเตือนล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมของราคา
  • สามารถใช้ระบุโอกาสในการทำกำไรที่มักถูกมองข้าม

ข้อเสีย

  • ยากต่อการจับสัญญาณสำหรับมือใหม่
  • เมื่อเกิด Divergence ราคาอาจไม่กลับตัวทันที ต้องรอเวลา
  • ต้องใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น RSI, MACD ทำให้ต้องเรียนรู้หลายอย่าง

4. ใช้ Price Action อ่านพฤติกรรมราคา

Price Action คือ การวิเคราะห์พฤติกรรมราคาผ่านรูปแบบแท่งเทียน โดยไม่ต้องพึ่งพาอินดิเคเตอร์มากนัก

เคล็ดลับการใช้งาน

  • เรียนรู้ รูปแบบแท่งเทียน ที่สำคัญ
    • Engulfing Pattern: สัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่ง
    • Pin Bar: บ่งชี้การปฏิเสธระดับราคาและการกลับตัว
    • Inside Bar: แสดงถึงช่วงการสะสมก่อนเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
  • สังเกตปริมาณการซื้อขาย ควบคู่กับรูปแบบแท่งเทียน
  • ให้ความสำคัญกับแท่งเทียนที่เกิดที่ระดับราคาสำคัญ
  • ดูความยาวของไส้เทียนและตัวเทียน เพื่อประเมินแรงซื้อ-ขาย
  • ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของแท่งเทียนต่อเนื่อง ไม่ดูเพียงแท่งเดียวโดดๆ

ข้อดี

  • เทรดได้โดยใช้กราฟเปล่า ไม่ต้องพึ่งพาอินดิเคเตอร์
  • ให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากกว่าอินดิเคเตอร์ (Leading Indicator)
  • ช่วยฝึกให้เข้าใจจิตวิทยาตลาดได้ดี

ข้อเสีย

  • ต้องจดจำรูปแบบแท่งเทียนจำนวนมาก
  • มีความเป็นอัตวิสัยสูง แต่ละคนอาจตีความแตกต่างกัน
  • ต้องใช้ประสบการณ์และเวลาฝึกฝนมาก

5. รู้จักใช้ Price Pattern อ่านแนวโน้มตลาด

 

Price Pattern หรือ Chart Pattern คือ รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดซ้ำๆ และสามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มในอนาคตได้

เคล็ดลับการใช้งาน

  • เรียนรู้ Pattern ที่สำคัญ 
    • Reversal Pattern: Head and Shoulders, Double Top/Bottom, Triple Top/Bottom
    • Continuation Pattern: Flags, Pennants, Triangles, Rectangles
  • ให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขาย ที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อตัวของ Pattern
  • ไม่เร่งรีบเข้าเทรด รอให้ Pattern ก่อตัวสมบูรณ์ก่อน
  • ตั้งเป้าหมายกำไรที่สมเหตุสมผล ตามทฤษฎีการวัดของแต่ละ Pattern
  • ตรวจสอบความสอดคล้องของ Pattern ในหลายกรอบเวลา

ข้อดี

  • มีทฤษฎีรองรับในการวัดเป้าหมายราคา (Price Target)
  • ใช้ได้ทั้งในการหาจุดกลับตัวและจุดต่อเนื่องของแนวโน้ม
  • มีรูปแบบที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

ข้อเสีย

  • ใช้เวลานานในการก่อตัวของ Pattern
  • บางครั้ง Pattern อาจก่อตัวไม่สมบูรณ์หรือล้มเหลว
  • มีหลายรูปแบบที่ต้องจดจำและแยกแยะ

วิดีโอ

การวิเคราะห์การเทรดด้วย Technical

วินาทีที่สำคัญ ดังนี้

  • 2:42 ระบบสัญญาณต่างๆ
  • 9:15 การใช้อินดิเคเตอร์ในการวิเคราะห์กราฟ
  • 9:43 การเข้าเทรด
  • 11:51 การ Back Test ระบบ
  • 15:04 ดูว่ากำไรไหม?

สรุป

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นเครื่องมือสำคัญในการเทรด Forex ที่เทรดเดอร์ทั่วโลกนิยมใช้ เพราะช่วยให้สามารถคาดการณ์ทิศทางตลาดได้อย่างมีหลักการโดยไม่ต้องพึ่งพาข่าวหรือปัจจัยพื้นฐานมากเกินไป ความจำเป็นของ Technical Analysis ในตลาด Forex มีดังนี้

  • Technical Analysis ช่วยระบุแนวรับ-แนวต้านและจุดกลับตัวของราคา ทำให้กำหนดจุดเข้า-ออกและ Stop Loss ได้อย่างมีหลักการ และช่วยคาดการณ์ทิศทางตลาดในอนาคตได้
  • Technical Analysis ช่วยสร้างระบบเทรดที่เป็นระบบและทดสอบย้อนหลังได้ ลดการเทรดตามอารมณ์
  • Technical Analysis ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งการเทรดระยะสั้น (Scalping) ไปจนถึงการเทรดระยะยาว โดยปรับเปลี่ยนเครื่องมือตามความเหมาะสม

FAQ — 5 เคล็ดลับ วิเคราะห์กราฟ Forex ด้วย Technical Analysis


ทำไมบางทีวิเคราะห์แทบตาย ตามเคล็ดลับทุกอย่างแล้ว กราฟมันก็ยังวิ่งสวนทางอยู่ดี?

เทคนิคอลคือการอ่าน “ความน่าจะเป็น” จากพฤติกรรมราคาในอดีต ตลาด Forex มีปัจจัยมหาศาลที่ส่งผลกระทบแบบคาดไม่ถึงได้ (เช่น ข่าวใหญ่, เหตุการณ์โลก, ทรัมป์โพสโซเชียล) การที่กราฟสวนทางไม่ได้แปลว่าเทคนิคอลหลอก แต่เป็นธรรมชาติของตลาดที่ไม่มีอะไรแน่นอน 100% สิ่งสำคัญคือการบริหารความเสี่ยง และยอมรับความจริงว่าเทคนิคเราเทพยังไงก็ต้องแพ้ในสักวัน
Divergence เป็นสัญญาณ “เตือน” ถึงโอกาสการกลับตัว ไม่ใช่สัญญาณ “สั่ง” ให้ราคากลับตัวทันที บางครั้งอาจเกิด Divergence ซ้ำๆหลายครั้งก่อนที่ราคาจะเปลี่ยนทิศทางจริงๆ สิ่งสำคัญคือการหา Divergence ในกรอบเวลาที่เหมาะสม (TF ใหญ่มีน้ำหนักกว่า) และยืนยันด้วยปัจจัยอื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน หรือรูปแบบแท่งเทียน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และต่อให้ทุกอย่างที่มียืนยันให้แล้ว ก็เชื่อเถอะว่ามีโอกาสแพ้อยู่ดี การวางแผนรับมือทุกสถานการ์ณคือคีย์แห่งชัยชนะในตลาดนี้จริงๆ
Price Pattern เป็น “รูปแบบ” ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ แต่ไม่ใช่พิมพ์เขียวที่ต้องเหมือนเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว การหา Pattern ต้องอาศัยประสบการณ์ + การฝึกฝน (+ มโนนิดนึง) สิ่งสำคัญคือการดู “โครงสร้าง” ปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อตัว ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าเชื่อถือมาก การดูหลายๆ TF ก็ช่วยยืนยันได้ว่าจังหวะนี้น่าเล่นไหม

จากประสบการ์ณทำงาน 10 กว่าปีกับ Full Time Trader ที่เทรดจนรวยจริง ๆ ทั้ง TA และ VI กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า “พรสวรรค์” มีส่วนอยู่บ้างจริง ๆ เพราะคนพวกนี้เค้าเห็นและตัดสินใจได้เหนือกว่าคนทั่วไปมาก เหมือนมีชิพ Price Behavior Sense ฝังอยู่ในตัว แต่คนพวกนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “โคตรขาดทุน” เป็นปีๆในช่วงแรก แต่อดทนเรียนรู้จากความผิดพลาด จนถึงวันผลิกพอร์ตที่สามารถ “สร้างโมเดลตลาดในหัวตัวเอง” ได้ 

Technical Analysis เอง ไม่ได้ทำให้รวย เอาเข้าจริง TA ก็เป็นแค่ “เครื่องมือมองตลาด” แต่สิ่งที่ทำให้รวยจริงๆ คือ Money Management + Trading Psychology + ความเข้าใจว่าตลาดไม่มีอะไร 100% คนที่ขาดทุนซ้ำซากไม่หยุด เพราะมองข้าม 3 ข้อนี้ไปนั่นเอง

Technical Analysis ใช้ได้ทั้งระยะสั้นและยาว แต่ “ธรรมชาติการตีความ” จะต่างกัน 

ในระยะสั้น → Technical Analysis อาจช่วยจับจังหวะการเข้าออกตามรูปแบบราคาและแนวโน้มได้บ้าง 

แต่ในระยะยาว → ปัจจัยพื้นฐานจึงมีความสำคัญมากกว่าอย่างชัดเจน เพราะมันคือตัวขับเคลื่อนมูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงิน ทำให้เทรดเดอร์ที่สำเร็จจะชอบใช้ปัจจัยพื้นฐานเพื่อกำหนดทิศทางหลัก และใช้ TA หาจังหวะเข้าออกที่ได้เปรียบใน TF ที่สั้นลงมา

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen