ตราสารในการเทรด Forex คืออะไร?

ในจักรวาลของการลงทุนและการเงิน “ตราสาร” (Financial Instrument) คือ คำที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง มันคือหัวใจของการซื้อขายทั้งหมด หากเปรียบ แพลตฟอร์มเทรด ของคุณเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ “ตราสาร” ก็คือสินค้าทุกชิ้นที่วางอยู่บนชั้นวาง รอให้นักลงทุนอย่างเราเข้าไปเลือกซื้อหรือขาย เพื่อสร้างผลกำไร

นิยามที่ชัดเจน ตราสาร คือ สัญญาที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ ที่มีมูลค่าทางการเงินและสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลหรือองค์กรได้ ในโลกการเทรดสมัยใหม่ โดยเฉพาะกับ โบรกเกอร์ Forex ตราสารไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “คู่สกุลเงิน” (Currency Pairs) อีกต่อไป 

แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่การเป็นศูนย์รวมของสินทรัพย์จากทั่วทุกมุมโลก โดยอาศัยเทคโนโลยีที่เรียกว่า สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD – Contract for Difference) ซึ่งเป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่ปฏิวัติวงการและเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดที่เคยถูกจำกัดไว้สำหรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทองคำ, น้ำมัน, ดัชนีหุ้นชั้นนำอย่าง S&P 500, หรือแม้แต่หุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Tesla

ข้อสงสัยที่พบบ่อย

ตราสารตราสารทุน และ ตราสารหนี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

  • ตราสารทุน (Equity) คือ การลงทุนในฐานะ “เจ้าของ” กิจการ (เช่น การซื้อหุ้น) โดยคาดหวังผลตอบแทนจากกำไรของบริษัทในรูปเงินปันผลและส่วนต่างราคาหุ้น
  • ตราสารหนี้ (Debt) คือ การให้กิจการ “กู้ยืมเงิน” ในฐานะ “เจ้าหนี้” (เช่น การซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้) โดยจะได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนในรูปของดอกเบี้ยตามเวลาที่กำหนด

ดังนั้น ทั้งสองอย่างจึงต่างกันที่สถานะของผู้ลงทุนและความเสี่ยง โดยตราสารทุนมีความเสี่ยงสูงกว่าแต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่นกัน

**ตราสารหลักใน การเทรด Forex คือ คู่สกุลเงิน (Currency Pairs) แต่ในปัจจุบันได้ขยายขอบเขตรวมถึงตราสารประเภทอื่น ๆ ผ่าน สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ด้วย และ ซื้อขายกันในตลาดที่เรียกว่า Over-the-Counter (OTC)

ลักษณะสำคัญของตราสาร: สิ่งที่นักเทรดต้องรู้

ตราสารแต่ละชนิดอาจมีหน้าตาและปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน แต่ทุกชนิดล้วนมีคุณลักษณะพื้นฐานร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเทรดต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้

การมีสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset)

ข้อนี้เป็นหัวใจหลักที่กำหนดมูลค่าและการเคลื่อนไหวของตราสารทุกชนิด ตราสารไม่ได้มีค่าในตัวเอง แต่มีค่าเพราะมัน “อ้างอิง” ถึงสินทรัพย์อื่น เช่น

  • XAU/USD: ตราสารนี้อ้างอิงราคาทองคำ (XAU) เทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD)
  • EUR/USD: อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินยูโร (EUR) และดอลลาร์สหรัฐ (USD)
  • USOIL/WTI: อ้างอิงราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดราคาน้ำมันของโลก
  • US500: อ้างอิงมูลค่าของดัชนี S&P 500 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา

การเข้าใจว่าตราสารของคุณอ้างอิงกับอะไร จะทำให้คุณรู้ว่าต้องติดตามข่าวสารและปัจจัยใดที่จะส่งผลกระทบต่อราคา

การเป็นสัญญาทางการเงิน (Financial Contract)

  • จุดนี้เป็นสิ่งที่นักเทรดรายย่อยมักเข้าใจผิดมากที่สุด 
  • เมื่อคุณ “ซื้อ” ตราสาร CFD ทองคำ 1 ออนซ์ คุณไม่ได้เป็นเจ้าของทองคำแท่งจริงๆ และจะไม่มีใครมาส่งทองคำให้คุณที่บ้าน แต่คุณกำลังเข้าสู่ “สัญญา” กับ โบรกเกอร์ เพื่อเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคา ณ เวลาที่เปิดและปิดสัญญา
  • ข้อดีของการเทรดในรูปแบบสัญญา คือ ความสะดวกสบาย ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บหรือขนส่ง และสามารถซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว

ความผันผวนและสภาพคล่อง (Volatility and Liquidity)

  • ว่ามีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมหาศาลตลอดเวลา ทำให้คุณสามารถเปิด-ปิดออเดอร์ได้ง่าย และมีค่าส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย (Spread) ที่ต่ำ ในทางกลับกัน
  • ตราสารที่มีสภาพคล่องต่ำอาจมีค่า Spread ที่สูง และอาจเกิดช่องว่างของราคา (Gap) ได้ง่าย

การใช้ Leverage และ Margin

  • ลักษณะเด่นที่ทำให้ตลาด CFD เป็นที่นิยม Leverage คือ เครื่องมือที่โบรกเกอร์ให้ยืมเพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อขายของคุณ
    • เช่น Leverage 1:100 หมายความว่าคุณใช้เงินประกัน (Margin) เพียง $100 ก็สามารถควบคุมสถานะการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงถึง $10,000 ได้ 
    • มันคือดาบสองคมที่สามารถทวีคูณทั้งกำไรและขาดทุน จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง

ความสำคัญของตราสารต่อการเทรด

การมีตราสารให้เลือกหลากหลายไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ความได้เปรียบ” เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ

การกระจายความเสี่ยง (Diversification)

ลองจินตนาการว่าพอร์ตของคุณมีแต่คู่เงิน และในเดือนนั้นธนาคารกลางของประเทศหลักๆ ไม่มีนโยบายใหม่ๆ ส่งผลให้ตลาดสกุลเงินเคลื่อนไหวในกรอบแคบมาก (Sideways) การทำกำไรจึงเป็นไปได้ยาก แต่ในเดือนเดียวกัน 

อาจเกิดความตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาน้ำมัน (USOIL) และทองคำ (XAU/USD) พุ่งทะยานขึ้นอย่างรุนแรง นักลงทุนที่เข้าใจเรื่องตราสารจะสามารถโยกย้ายเงินทุนไปสร้างโอกาสในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้ แทนที่จะนั่งรอตลาดสกุลเงินอย่างไร้จุดหมาย

การเพิ่มโอกาสในการทำกำไร (More Opportunities)

ข่าวสารเศรษฐกิจหนึ่งชิ้นสามารถสร้างโอกาสในหลายตลาดพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจัง จะเกิดปรากฏการณ์ต่อเนื่องคือ:

  1. ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า: เปิดโอกาสให้ “ซื้อ” คู่เงิน อย่าง USD/JPY หรือ USD/CAD
  2. ตลาดหุ้นกังวล: ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นของบริษัทต่างๆ อาจกดดันผลกำไรและทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง เปิดโอกาสให้ “ขาย” ตราสารดัชนีอย่าง S&P 500 (US500) หรือ Nasdaq (NAS100)
  3. ทองคำลดความน่าสนใจ: การขึ้นดอกเบี้ยทำให้การถือครองสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนอย่างทองคำมีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่สูงขึ้น อาจเปิดโอกาสให้ “ขาย” ตราสาร XAU/USD

การป้องกันความเสี่ยง (Hedging)

  • กลยุทธ์นี้มักใช้โดยบริษัทหรือนักลงทุนรายใหญ่ เช่น บริษัทในไทยที่นำเข้าเครื่องจักรจากเยอรมนีและมีกำหนดชำระเงินเป็นสกุลยูโรในอีก 3 เดือนข้างหน้า 
  • บริษัทกังวลว่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้น (ทำให้ต้องใช้เงินบาทมากขึ้น) จึงสามารถเข้า “ซื้อ” ตราสาร CFD ของคู่เงิน EUR/THB ในปริมาณที่เหมาะสม
  • หากค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นจริง กำไรที่ได้จากสถานะ CFD จะช่วยชดเชยต้นทุนค่าเครื่องจักรที่สูงขึ้น ทำให้สามารถล็อกต้นทุนไว้ได้

“ตราสาร” vs “คู่เงิน”: ความแตกต่างที่ต้องเข้าใจ

เพื่อขจัดความสับสน ให้จำหลักการง่ายๆ ว่า “คู่เงิน” คือประเภทหนึ่งของ “ตราสาร”

หากเปรียบเทียบกับ “ยานพาหนะ” คำว่า “ตราสาร” คือ คำที่กว้างที่สุด หมายถึงยานพาหนะทุกชนิด ส่วน “คู่เงิน” ก็เปรียบเสมือน “รถยนต์” ซึ่งเป็นยานพาหนะประเภทหนึ่ง ในขณะที่ “ทองคำ” อาจเป็น “เรือยอชท์” และ “ดัชนีหุ้น” อาจเป็น “เครื่องบินเจ็ต” ทั้งหมดคือยานพาหนะ (ตราสาร) แต่มีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกัน

เมื่อคุณเปิดหน้าต่าง Market Watch บน แพลตฟอร์มเทรด ของคุณ รายชื่อสินทรัพย์ทั้งหมดที่แสดงอยู่คือ “จักรวาลของตราสาร” ส่วนที่เขียนว่า EUR/USD, GBP/JPY, AUD/NZD คือหมวดหมู่ย่อยที่เรียกว่า “คู่เงิน” ในขณะที่ XAU/USD, USOIL, US500 ก็เป็นตราสารเช่นกัน แต่อยู่ในหมวดหมู่สินค้าโภคภัณฑ์และดัชนี

เจาะลึกประเภทของตราสารอนุพันธ์

ตราสารที่เทรดกันส่วนใหญ่เป็นตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งมีหลากหลายประเภท แต่ที่นักลงทุนรายย่อยควรรู้จักมีดังนี้:

  • สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD): เป็นที่นิยมสูงสุด เพราะถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนรายย่อย มีความยืดหยุ่นสูง ใช้ Leverage ได้ และเข้าถึงสินทรัพย์อ้างอิงได้หลากหลายประเภทโดยมีโบรกเกอร์เป็นคู่สัญญา
  • สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures): เป็นสัญญามาตรฐานที่ซื้อขายในตลาดกลางที่เป็นทางการ (Exchange) เช่น Chicago Mercantile Exchange (CME) มีการกำหนดขนาดสัญญาและวันหมดอายุที่ชัดเจน มีความโปร่งใสสูงและมีความเสี่ยงด้านคู่สัญญาต่ำกว่า มักใช้โดยนักลงทุนสถาบัน
  • ออปชั่น (Option): เป็นสัญญาที่ให้ “สิทธิ์” ในการซื้อ (Call) หรือขาย (Put) สินทรัพย์ตามราคาที่กำหนด (Strike Price) ภายในเวลาที่กำหนด ผู้ซื้อออปชั่นจะจ่ายค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า “พรีเมียม” (Premium) ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่เขาจะเสียได้หากตลาดไม่เป็นไปตามคาด ทำให้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม
  • สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward): คล้ายกับ Futures แต่เป็นสัญญาส่วนตัวที่ตกลงกันเองระหว่างสองฝ่าย (Over-the-Counter) ทำให้สามารถปรับแต่งเงื่อนไขได้ตามต้องการ แต่มักขาดสภาพคล่องและมีความเสี่ยงด้านคู่สัญญาสูงกว่า

กลยุทธ์การประยุกต์ใช้ตราสารในการเทรด

การวิเคราะห์ระหว่างตลาด (Inter-market Analysis) นี่คือกลยุทธ์ขั้นสูงที่ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างตราสารต่างประเภทมาประกอบการตัดสินใจ เช่น:

ความสัมพันธ์ของผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงิน

  • เมื่อผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (US10Y) ปรับตัวสูงขึ้น มักจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่า
  • ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย นักเทรดที่ติดตามตราสารนี้จึงอาจได้เปรียบในการเทรดคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับ USD

ความสัมพันธ์ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และค่าเงิน

  • เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอย่างแคนาดา (ทำให้ค่าเงิน CAD แข็งค่า) แต่จะส่งผลเสียต่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมันอย่างญี่ปุ่น (ทำให้ค่าเงิน JPY อ่อนค่า)
  • สิ่งนี้อาจสร้างโอกาสในการ “ซื้อ” คู่เงิน CAD/JPY

การเทรดตามภาวะความเชื่อมั่นของตลาด (Risk-on / Risk-off)

ตลาดการเงินมักจะสลับไปมาระหว่างสองภาวะนี้

  • Risk-on (ตลาดเปิดรับความเสี่ยง): เมื่อมีข่าวดีทางเศรษฐกิจ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น เงินทุนจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น (ดัชนี S&P500, Nasdaq), และสกุลเงินของประเทศที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์ (AUD, NZD, CAD)
  • Risk-off (ตลาดปิดรับความเสี่ยง): เมื่อเกิดความไม่แน่นอนหรือข่าวร้าย (เช่น สงคราม, โรคระบาด, วิกฤตการเงิน) นักลงทุนจะเกิดความกลัวและรีบย้ายเงินทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปยัง สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เช่น ทองคำ (XAU), เงินเยนญี่ปุ่น (JPY), และเงินฟรังก์สวิส (CHF)

“การเข้าใจว่าตลาดอยู่ในภาวะใด จะช่วยให้คุณเลือกเทรดตราสารได้ถูกฝั่ง เช่น หากเกิดวิกฤตการเงิน คุณควรจะมองหาโอกาสในการขายดัชนีหุ้น และซื้อทองคำ”

สรุปข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี

  • เข้าถึงได้ด้วยทุนน้อย (Leverage): สามารถควบคุมสถานะการซื้อขายขนาดใหญ่ด้วยเงินประกัน (Margin) เพียงเล็กน้อย ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร
  • ความหลากหลายในการลงทุน: ช่วยกระจายความเสี่ยงและเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากทุกสภาวะตลาด
  • สภาพคล่องสูงและตลาด 24 ชั่วโมง: สำหรับตราสารหลักๆ สามารถซื้อขายได้เกือบตลอดเวลา ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง
  • ทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง: สามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในตลาดขาขึ้น (Long/Buy) และตลาดขาลง (Short/Sell)

ข้อเสีย

  • ความเสี่ยงจาก Leverage สูง: เป็นดาบสองคมที่สามารถล้างพอร์ตของคุณได้ในพริบตาหากขาดการบริหารความเสี่ยงที่ดี
  • ความซับซ้อนและปัจจัยที่หลากหลาย: ตราสารแต่ละชนิดมีปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ราคาทองคำต้องเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ ในขณะที่การวิเคราะห์ราคาน้ำมันต้องเข้าใจเรื่องอุปทานจาก OPEC ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาอย่างลึกซึ้ง
  • ต้นทุนการเทรด (Trading Costs): ประกอบด้วยค่า Spread, ค่าคอมมิชชัน (ในบางบัญชี), และค่า Swap (ค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืน) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไรในระยะยาว
  • ความผันผวนที่คาดเดายาก: ข่าวสารที่ไม่คาดคิดสามารถทำให้ราคาสินทรัพย์ผันผวนอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนน่าตกใจได้

คลิปที่น่าสนใจ

วินาทีที่สำคัญ

  • 00:00 – เริ่มต้นวิดีโอด้วยการเกริ่นนำถึง “ตราสารหนี้” และ “ตราสารทุน” ว่าเป็นคำที่คนส่วนใหญ่มักสับสน
  • 00:33 – ให้คำนิยามของ “ตราสารหนี้” ว่าเป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่งที่ผู้ถือมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้”
  • 00:57 – พูดถึงจุดเด่นของ “ตราสารหนี้” ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในรูปแบบของดอกเบี้ย
  • 01:49 – เริ่มอธิบาย “ตราสารทุน” ว่าโดยหลักแล้วคือหุ้นสามัญ และผู้ถือจะมีสถานะเป็น “เจ้าของกิจการ”
  • 02:06 – เปรียบเทียบความเสี่ยง โดยระบุว่า “ตราสารทุน” หรือหุ้นนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้
  • 02:51 – สรุปภาพรวมความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง “ตราสารหนี้” (เสี่ยงน้อย, ผลตอบแทนสม่ำเสมอ) และ “ตราสารทุน” (เสี่ยงสูง, โอกาสได้ผลตอบแทนสูง)

สรุป

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทราบดีว่าสามารถเทรดทองคำ, น้ำมัน, หรือดัชนีหุ้นได้ แต่หัวใจสำคัญที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้สร้างความได้เปรียบ ไม่ใช่แค่การกระจายความเสี่ยง แต่คือการมองตราสารเหล่านี้เป็น “ตัวชี้วัดนำ” (Leading Indicator) และเป็นชิ้นส่วนของภาพจิ๊กซอว์ทางเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า

สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามคือ

  1. การใช้ตลาดหุ้นเป็น “มาตรวัดความเชื่อมั่น” แบบเรียลไทม์: แทนที่จะรอข่าวเศรษฐกิจ เทรดเดอร์สามารถดูการเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 (US500) หากดัชนีร่วงลงอย่างหนัก บ่งบอกถึงภาวะ “Risk-off” ที่นักลงทุนกำลังกลัว ซึ่งเป็นสัญญาณชั้นดีในการเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินเยน (JPY) หรือฟรังก์สวิส (CHF) ได้ก่อนใคร
  2. การอ่านทิศทางค่าเงินจาก “ตลาดพันธบัตร”: ทิศทางผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) คือหนึ่งในปัจจัยชี้นำค่าเงินดอลลาร์ที่ทรงพลังที่สุด หาก Yield พุ่งสูงขึ้น มันจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกและส่งผลให้ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น นี่คือข้อมูลเบื้องหลังที่เทรดเดอร์ที่มองแต่กราฟราคาอาจไม่เห็น
  3. การเทรด “ความสัมพันธ์” ไม่ใช่แค่ “ทิศทาง”: แทนที่จะถามแค่ว่า “ทองคำจะขึ้นหรือไม่?” เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะถามว่า “ระหว่างทองคำกับเงินเยน อะไรคือสินทรัพย์ปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่าในตอนนี้?” และอาจเข้าเทรดคู่ XAU/JPY เพื่อทำกำไรจาก “ความแตกต่าง” ของความแข็งแกร่งนั้น

อ้างอิง

FAQ — ตราสาร ในการเทรด Forex คืออะไร? ทำความรู้จักอย่างละเอียด

“ตราสาร” เป็นคำที่ใหญ่กว่า หมายถึงสินทรัพย์ทุกชนิดที่เทรดได้ (ทองคำ, น้ำมัน, ดัชนีหุ้น) ส่วน “คู่เงิน” เป็นแค่ตราสารประเภทหนึ่งเท่านั้นค่ะ การเทรดตราสารหลายอย่างจึงช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสทำกำไรเมื่อตลาดสกุลเงินซบเซา
ได้จริง โดยเทรดผ่าน สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ซึ่งเป็นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาทองคำโดยไม่จำเป็นต้องครอบครองทองคำจริงๆ ทำให้คุณสามารถใช้เงินทุนน้อยกว่าและเทรดได้สะดวกสบายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ข้อดีสำคัญที่สุด คือ การกระจายความเสี่ยง (Diversification) เพราะช่วยลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง หากตลาดหุ้นตก คุณอาจยังทำกำไรได้จากราคาทองคำที่สูงขึ้น ทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีความสมดุลและมั่นคงกว่า
“Risk-off” คือ ภาวะที่นักลงทุนเกิดความกลัวและเทขายสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) แล้วหันไปถือ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) แทน ในช่วงนี้ นักเทรดจึงนิยมเข้าซื้อทองคำ (XAU), เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินฟรังก์สวิส (CHF)
เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันจำนวนมหาศาล เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นจะกระทบต้นทุนและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นโดยตรง ซึ่งมีแนวโน้มทำให้ค่าเงินเยน (JPY) อ่อนค่าลง นักเทรดจึงอาจมองหาโอกาสในการขายคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับ JPY

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon