รูปแบบแท่งเทียน In-Neck Candlestick Pattern คืออะไร?

รูปแบบแท่งเทียน In-Neck คือสัญญาณที่บ่งชี้ว่า แนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไป มีลักษณะเป็นแท่งเทียนสีแดงยาวตามด้วยแท่งสีเขียวเล็ก ที่ราคาปิดอยู่ในระดับเดียวกับแท่งแรกจนเกิดเป็น Neckline ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของแรงซื้อที่ล้มเหลว และเป็นการยืนยันว่าแรงขายยังคงคุมตลาดอยู่

หากจะอธิบายให้ละเอียดขึ้น รูปแบบนี้ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่เกิดขึ้นในช่วงขาลง โดยแท่งแรกเป็นแท่งยาวสีแดงที่แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง ตามมาด้วยแท่งที่สองซึ่งเป็นแท่งเล็กสีเขียว รูปแบบนี้สะท้อนถึงจิตวิทยาตลาดที่ฝั่งซื้อ (กระทิง) พยายามจะสู้กลับและดันราคาให้สูงขึ้น แต่พลังของแรงซื้อนั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะแรงขายได้ ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ผลักดันราคาปิดให้กลับมาอยู่ที่ระดับ “ใกล้เคียงหรือสูงกว่าเล็กน้อย” จากราคาปิดของแท่งแดงก่อนหน้าเท่านั้น การที่ไม่สามารถดันราคาให้สูงขึ้นไปได้อย่างมีนัยสำคัญนี้ เป็นการยืนยันว่าแรงขาย (หมี) ยังคงคุมตลาดอยู่ และแนวโน้มขาลงมีโอกาสที่จะดำเนินต่อไป

สำหรับที่มาของชื่อ “In-Neck” นั้น มาจากการที่ราคาปิดของแท่งเทียนทั้งสองแท่งอยู่ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาก จนดูเหมือนเป็นเส้นแนวนอนคล้าย “แนวคอเสื้อ” (Neckline) ซึ่งเป็นการสื่อว่าราคาปิดของวันที่สองยังคงอยู่ “ใน” (In) แนวคอเสื้อเดิมนั่นเอง

องค์ประกอบสำคัญของรูปแบบแท่งเทียน In-Neck Candlestick Pattern

In-Neck Candlestick Pattern ประกอบด้วย 4 ส่วนหลักที่ต้องเกิดขึ้นตามลำดับในช่วงแนวโน้มขาลง

สภาพตลาด (Market Context)

  • ต้องอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend): รูปแบบนี้จะมีความน่าเชื่อถือก็ต่อเมื่อเกิดขึ้นในขณะที่ตลาดมีทิศทางเป็นขาลงอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

แท่งเทียนที่ 1: แท่งแดงยาว (First Candle: Long Red)

  • เป็นแท่งเทียนสีแดง (Bearish) ที่มีลำตัวยาว: แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งและการปรับตัวลงของราคาอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มเดิม

แท่งเทียนที่ 2: แท่งเขียวเล็ก (Second Candle: Small Green)

  • เป็นแท่งเทียนสีเขียว (Bullish) ที่มีลำตัวเล็กกว่า: แสดงถึงความพยายามของแรงซื้อที่จะเข้ามาสู้ในตลาด
  • การเปิดราคา (Open): ต้องเปิดราคา ต่ำกว่า ราคาปิดของแท่งเทียนแรก (เกิด Gap Down) ซึ่งในตอนแรกจะดูเหมือนว่าแรงขายยังคงรุนแรง
  • การปิดราคา (Close): นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของรูปแบบ โดยราคาจะดีดตัวกลับขึ้นมา ปิดที่ระดับราคาเดียวกัน หรือสูงกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ “ราคาปิด” ของแท่งเทียนแรก การปิดในลักษณะนี้ทำให้เกิดเป็นแนวระดับเดียวกันคล้าย “เส้นคอเสื้อ” (Neckline)

ลักษณะของรูปแบบรูปแบบแท่งเทียน In-Neck Candlestick Pattern

รูปแบบ In-Neck Candlestick Pattern มีลักษณะเป็น Bearish เท่านั้น ไม่มี Bullish

รูปแบบ Bearish (ขาลง)

รูปแบบ In-Neck Candlestick Pattern เป็น รูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation Pattern) โดยจะเกิดขึ้นในระหว่างที่ตลาดกำลังเป็นขาลงอยู่แล้ว และบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาลงนั้นมีโอกาสสูงที่จะดำเนินต่อไป

ทำไม In-Neck จึงเป็นสัญญาณ “ขาลง” ต่อเนื่อง

การจะเข้าใจว่าทำไมรูปแบบนี้ถึงบ่งชี้ว่าราคาจะลงต่อ เราต้องเข้าใจ “จิตวิทยา” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแท่งเทียนทั้งสองแท่ง

1.วันแรก (แท่งแดงยาว): แรงขายคุมตลาดอย่างสมบูรณ์

  • ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลงอยู่แล้ว การปรากฏของแท่งเทียนสีแดงยาวเป็นการตอกย้ำว่าฝั่งขาย (ตลาดหมี) มีพลังมหาศาลและควบคุมทิศทางตลาดได้อย่างสมบูรณ์ แรงขายยังคงถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

2.วันที่สอง (แท่งเขียวเล็ก): ความพยายามที่ล้มเหลวของฝั่งซื้อ

  • การเปิดตลาด: วันที่สองเปิดราคาต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้า (Gap Down) ซึ่งในตอนแรกดูเหมือนว่าแรงขายจะยังคงรุนแรงต่อเนื่อง
  • ระหว่างวัน: แต่แล้วฝั่งซื้อ (ตลาดกระทิง) ก็พยายามเข้ามาสู้ โดยพยายามดันราคาให้กลับขึ้นไปตลอดทั้งวัน เกิดเป็นแท่งเทียนสีเขียว
  • จุดตัดสิน (ราคาปิด): นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด แม้ฝั่งซื้อจะพยายามสู้มาทั้งวัน แต่พลังของพวกเขามีไม่มากพอ ทำได้ดีที่สุดแค่ดันราคาให้กลับมาปิดที่ “แนวราคาปิด” ของวันก่อนหน้าเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถดันราคาให้ทะลุแนวต้านทางจิตวิทยาซึ่งก็คือราคาปิดของเมื่อวานไปได้

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ In-Neck Pattern

1. แนวทางการระบุรูปแบบ (Identification Guidelines)

เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นรูปแบบ In-Neck จริงๆ ควรตรวจสอบองค์ประกอบ 5 ข้อนี้:

  • แนวโน้ม: ตลาดต้องอยู่ในแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนมาก่อน
  • แท่งเทียนที่ 1: เป็นแท่งเทียนสีแดง (Bearish) ที่มีลำตัวยาว
  • แท่งเทียนที่ 2: เป็นแท่งเทียนสีเขียว (Bullish) ที่มีลำตัวสั้นกว่า
  • การเปิดราคา: แท่งที่ 2 ต้องเปิดราคาต่ำกว่าราคาปิดของแท่งที่ 1
  • การปิดราคา: แท่งที่ 2 ต้องปิดที่ราคา “ใกล้เคียงหรือสูงกว่าเล็กน้อย” จาก “ราคาปิด” ของแท่งที่ 1

2. ข้อแตกต่างสำคัญ: In-Neck vs On-Neck

สองรูปแบบนี้คล้ายกันมากจนอาจสับสนได้ จุดแตกต่างมีเพียงจุดเดียวคือ “ระดับราคาปิดของแท่งเทียนที่สอง”

  • In-Neck: ปิดใกล้เคียงกับ “ราคาปิด” (Close) ของแท่งแรก (แสดงถึงการสู้กลับที่อ่อนแอ)
  • On-Neck: ปิดใกล้เคียงกับ “ราคาต่ำสุด” (Low) ของแท่งแรก (แสดงถึงการสู้กลับที่อ่อนแอยิ่งกว่า)
  • On-Neck Pattern จึงมีความแข็งแกร่งของสัญญาณมากกว่า มีโอกาสที่ราคาจะลงต่อสูงกว่า

3. ความน่าเชื่อถือและสถิติ

ตัวอย่างรูปแบบ In-Neck ไม่ใช่สัญญาณที่แม่นยำ 100% แต่ให้ข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจ: อ้างอิงจาก ข้อมูลการวิเคราะห์และทดสอบย้อนหลัง (Backtesting) มาจากเว็บไซต์ candlescanner.com

  • ความสำเร็จในการยืนยันแนวโน้ม: รูปแบบนี้ให้สัญญาณที่ถูกต้อง (ราคายังคงลงต่อ) ประมาณ 52.2%
  • ความหายาก: เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยเฉลี่ยจะพบ 1 ครั้งในทุกๆ 2,999 แท่งเทียน
  • ข้อควรระวัง: ด้วยสถิติข้างต้น ไม่แนะนำให้ใช้รูปแบบนี้เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อขาย แต่ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น เส้นแนวโน้ม (Trend Line), ปริมาณการซื้อขาย (Volume) หรือ Indicators อื่นๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
  • รูปแบบ In Neck นั้นหายากมากบนกราฟราคา จนอาจถูกมองว่าเป็นเพียงความแปลกที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก มากกว่าที่จะเป็นรูปแบบที่สามารถนำมาใช้เทรดเป็นประจำได้

4. กลยุทธ์การเทรดเบื้องต้น

  • รอการยืนยัน (Confirmation): อย่าเพิ่งเข้าเทรดทันทีที่เห็นรูปแบบ ควรรอแท่งเทียนถัดไป (แท่งที่ 3) เพื่อยืนยัน หากแท่งที่ 3 เป็นสีแดงและปิดต่ำกว่าราคาต่ำสุดของรูปแบบ จะเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่งขึ้น
  • จุดเข้า (Entry): อาจพิจารณาเข้าสถานะขาย (Short Position) หลังจากแท่งยืนยันปิดลง
  • จุดตัดขาดทุน (Stop-Loss): ตั้งจุดตัดขาดทุนไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนแรก เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

คลิปที่น่าสนใจ

  • นาทีที่ 05:01 ผู้สอนอธิบายความหมายหลักว่า In-Neck คือสัญญาณที่บ่งชี้ว่าแนวโน้ม “ขาลงจะไปต่อ” ไม่ใช่การกลับตัว
  • นาทีที่ 08:47 ได้ชี้ให้เห็นลักษณะที่สำคัญที่สุดคือ แท่งเทียนสีเขียวแท่งที่สองจะกลับตัวขึ้นมาปิดใกล้เคียงกับ “ราคาปิด” ของแท่งแดงแรก
  • นาทีที่ 11:43 ได้เน้นย้ำถึงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด คือการ “รอแท่งเทียนที่ 3” เพื่อยืนยันสัญญาณก่อนเข้าเทรด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงได้มาก

สรุป

รูปแบบ In-Neck และ On-Neck คือคู่สัญญาณ “ขาลงต่อเนื่อง” ที่มีจุดตัดสินสำคัญอยู่ที่ราคาปิดของแท่งเทียนที่สอง โดยรูปแบบ On-Neck ที่ราคาปิดจรด “จุดต่ำสุด” เดิม ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรูปแบบมีความน่าเชื่อถือไม่สูงและเกิดขึ้นได้ยากมาก จึงจำเป็นต้องรอ “แท่งเทียนยืนยัน” เพื่อลดความเสี่ยงเสมอ และไม่ควรใช้เป็นสัญญาณหลักในการตัดสินใจเพียงอย่างเดียว

แหล่งอ้างอิง

FAQ — รูปแบบแท่งเทียน In-Neck Candlestick Pattern

จะไม่นับว่าเป็นรูปแบบ In-Neck  หากแท่งเทียนสีเขียวมีขนาดใหญ่และสามารถดันราคาปิดขึ้นไปสูงกว่าครึ่งหนึ่งของแท่งแดงแรกได้ รูปแบบจะเปลี่ยนไปเป็น Piercing Line Pattern ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal) และมีความหมายตรงกันข้ามทันที
ควรระวังมากที่สุดในช่วงตลาดไซด์เวย์ (Sideways) หรือช่วงที่ตลาดมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง ในสภาวะเช่นนี้ รูปแบบอาจเป็นเพียงความผันผวนของราคาในกรอบแคบๆ ไม่ได้มีนัยสำคัญของการต่อเนื่องในแนวโน้มขาลงอย่างแท้จริง
ความหายากทำให้การเก็บข้อมูลสถิติเพื่อยืนยันความแม่นยำทำได้ยากขึ้น ดังนั้น แม้รูปแบบจะดูน่าสนใจตามทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ นักลงทุนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันมากนัก และมักจะมองหาสัญญาณอื่นที่เกิดขึ้นบ่อยและเชื่อถือได้มากกว่าเป็นหลัก

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon