ดัชนี (Indices) คืออะไร
ถ้าจะให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายที่สุด ดัชนีก็ คือ การรวมหุ้นหลาย ๆ ตัวเข้าด้วยกัน เพื่อดูภาพรวมของตลาด เหมือนกับที่เราดูเกรดเฉลี่ยเพื่อดูผลการเรียนโดยรวมนั่นเอง
ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นนะ สมมติว่า มีร้านขายผลไม้ และอยากรู้ว่าราคาผลไม้โดยรวมในร้านเป็นยังไง ก็เอาราคาผลไม้ทุกชนิดมารวมกัน เช่น ส้มกิโลละ 50 บาท แอปเปิ้ลกิโลละ 100 บาท มะม่วงกิโลละ 70 บาท และทุเรียนกิโลละ 200 บาท พอเอามารวมกันแล้วหาร 4 จะได้ราคาเฉลี่ย 105 บาท นี่แหละคือ “ดัชนี” อย่างง่ายของราคาผลไม้ในร้าน
ในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน เราจะเห็นดัชนีที่คุ้นเคยอย่าง SET50 ของไทย ที่รวมหุ้นใหญ่ 50 ตัวเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น PTT ราคา 35 บาท SCB ราคา 120 บาท หรือ ADVANC ราคา 180 บาท เมื่อนำมาคำนวณตามสูตรก็จะได้เป็นค่าดัชนีที่เราเห็นกัน
แล้วทำไมเราถึงต้องมีดัชนี?
เพราะมันช่วยให้เราดูภาพรวมของตลาดได้ง่ายขึ้นมาก แทนที่จะต้องดูหุ้น 500 ตัว เราก็แค่ดูตัวเลขเดียว เหมือนกับที่เราดูเกรดเฉลี่ยแทนที่จะดูคะแนนทีละวิชา นอกจากนี้ยังช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่าย เช่น ถ้า SET50 วันนี้อยู่ที่ 1,000 จุด แล้วพรุ่งนี้ขึ้นเป็น 1,050 จุด เราก็รู้ทันทีว่าตลาดขึ้น 5%
การคำนวณดัชนีในชีวิตจริง
- การคำนวณดัชนีในชีวิตจริงนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าการหาค่าเฉลี่ยธรรมดา โดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด
- นั่นหมายความว่า บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่าจะมีผลต่อดัชนีมากกว่า เหมือนกับในห้องเรียนที่บางวิชามีหน่วยกิตมากกว่าวิชาอื่น ๆ
ดัชนีมีประโยชน์มากในการลงทุน
- เพราะเราสามารถลงทุนผ่านกองทุน Index Fund หรือเทรด SET50 Futures ได้
- นอกจากนี้ยังช่วยในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ดูทิศทางตลาด และเปรียบเทียบระหว่างประเทศอีกด้วยเช่นกัน
ทำความรู้จักดัชนี แบบที่มือใหม่ก็เข้าใจได้
ขอเปรียบเทียบง่าย ๆ นะ ดัชนีก็เหมือนกับตะกร้าใบใหญ่ที่รวบรวมหุ้นดี ๆ เอาไว้ เช่น ถ้าอยากรู้ว่าหุ้นใหญ่ ๆ ในอเมริกาเป็นยังไงบ้าง แทนที่จะต้องไปดูทีละตัว ก็แค่ดูดัชนี S&P 500 ที่รวมหุ้นยักษ์ใหญ่ 500 ตัวเอาไว้แล้ว
ดัชนียอดฮิตที่เหล่าเทรดเดอร์นิยมเทรดกัน
- ดัชนีจากฝั่งอเมริกา – แดนมังกรทางการเงิน
- ดาวโจนส์ (US30) – รวมหุ้นดัง 30 ตัว ที่ทุกคนรู้จัก อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี เชื่อถือได้มาก
- S&P 500 (US500) – ตะกร้าหุ้นยักษ์ใหญ่ 500 ตัว ครอบคลุม 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นอเมริกา
- NASDAQ 100 (US100) – รวมหุ้นเทคฯ ดัง ๆ อย่าง Apple, Google, Facebook ถ้าชอบหุ้นเทคต้องดู!
- ดัชนีจากยุโรป – แหล่งรวมอุตสาหกรรมระดับโลก
- FTSE 100 (UK100) – หุ้นใหญ่จากอังกฤษ 100 ตัว ดูแล้วรู้เลยว่าเศรษฐกิจเมืองผู้ดีเป็นไง
- DAX 40 (DE40) – รวมหุ้นเยอรมัน 40 ตัว มีทั้ง BMW, Volkswagen สะท้อนความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเยอรมัน
- ดัชนีจากเอเชีย – ตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
- Nikkei 225 (JP225) – ดัชนีเก่าแก่จากญี่ปุ่น รวมหุ้นดัง 225 ตัว อยากรู้เศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องดูตัวนี้
- Hang Seng (HK50) – ประตูสู่การลงทุนในจีน รวมหุ้นใหญ่จากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่
คำนวณดัชนียังไง?
หลายๆคนอาจสงสัยว่าแล้วตัวเลขดัชนีที่เห็นมันมาจากไหน? มี 3 วิธีหลัก ๆ ที่ใช้กัน
- แบบเลขคณิต (Arithmetic) – วิธีง่าย ๆ ที่ใครก็เข้าใจ
- เอาราคาหุ้นทุกตัวมารวมกันแล้วหารจำนวนหุ้น
- เหมือนการคิดเกรดเฉลี่ยนั่นแหละ ง่ายสุด ๆ !!
- แต่มีข้อเสีย คือ ไม่ได้สนใจว่าบริษัทไหนใหญ่กว่ากัน
- แบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted) – วิธีที่แฟร์กับทุกบริษัท
- ให้ความสำคัญกับขนาดบริษัท บริษัทใหญ่มีผลต่อดัชนีมากกว่า
- เหมือนการให้คะแนนในรายการประกวดร้องเพลง คะแนนกรรมการแต่ละคนมีน้ำหนักไม่เท่ากัน
- S&P 500 ใช้วิธีนี้ เพราะสะท้อนความเป็นจริงได้ดีที่สุด
- แบบเรขาคณิต (Geometric) – เน้นดูการเติบโต
- มองที่อัตราการเติบโตของแต่ละหุ้น
- เหมาะกับการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
- นักลงทุนสถาบันชอบใช้วิธีนี้ประกอบการตัดสินใจ
ทำไมต้องเทรดดัชนี? ข้อดีเพียบ!
1. กระจายความเสี่ยงแบบมืออาชีพ
- ไม่ต้องพึ่งหุ้นตัวเดียว ถ้าบริษัทไหนมีปัญหา ก็ไม่กระทบพอร์ตมาก
- เหมือนการไม่เอาไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวนั่นเอง
- เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาตามข่าวหุ้นรายตัว
2. ใช้ทุนน้อยก็เทรดได้
- เริ่มต้นแค่หลักพันบาท ด้วยระบบมาร์จิ้น
- ถ้าจะซื้อหุ้นทุกตัวในดัชนีจริง ๆ ต้องใช้เงินเป็นล้าน
- วางเงินประกันแค่ 5-10% ก็เทรดได้แล้ว
3. ทำกำไรได้แม้ตลาดขาลง
- ขายก่อนซื้อทีหลังได้ (Short Sell) เมื่อคิดว่าตลาดจะลง
- ไม่ต้องรอแต่ขาขึ้นอย่างเดียว หาโอกาสทำกำไรได้ตลอด
- สร้างรายได้ได้ทุกสภาวะตลาด
4. สภาพคล่องสูงมาก ซื้อขายง่าย
- เทรดได้ 24 ชั่วโมง กับบางดัชนี
- เข้า-ออกง่าย ไม่ต้องกลัวขายไม่ออก
- ค่าธรรมเนียมถูกกว่าซื้อหุ้นเอง
5 โบรกเกอร์ชั้นนำสำหรับเทรดดัชนี ที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด
1. Exness – โบรกเกอร์ยอดนิยมอันดับ 1 ในไทย
จุดเด่น
- ฝาก-ถอนเงินรวดเร็วผ่านธนาคารไทยได้ทันที
- รองรับภาษาไทย 100% ใช้งานง่าย
- สเปรดต่ำ เริ่มต้นที่ 3 จุด
- ซัพพอร์ต 24 ชั่วโมงโดยทีมงานคนไทย
- มีดัชนีให้เทรดหลากหลาย ทั้ง US30, US500, GER40
ข้อควรระวัง
- สเปรดอาจกว้างขึ้นในช่วงข่าวสำคัญ
- บางช่วงเวลาอาจมีความผันผวนสูง
2. XM – เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการความมั่นคง
จุดเด่น
- มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 10 ปี
- ระบบฝาก-ถอนมีความปลอดภัยสูง
- มีออฟฟิศในไทย ให้ความเชื่อมั่น
- สเปรดคงที่ ไม่ลอยตัว
- มีบทวิเคราะห์ภาษาไทยทุกวัน
ข้อควรระวัง
- ค่าคอมมิชชั่นอาจสูงกว่าเจ้าอื่น
- ขั้นตอนการเปิดบัญชีอาจใช้เวลานาน
3. eToro – แพลตฟอร์มที่เน้น Social Trading
จุดเด่น
- สามารถ Copy Trade จากเทรดเดอร์ทั่วโลก
- อินเตอร์เฟซสวยงาม ใช้งานง่าย
- เหมาะกับมือใหม่ที่ต้องการเรียนรู้
- รองรับการเทรดหุ้นจริงและคริปโต
- มีชุมชนนักลงทุนขนาดใหญ่
ข้อควรระวัง
- ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง
- การฝาก-ถอนอาจใช้เวลานาน
- ไม่รองรับภาษาไทย
4. FBS – เหมาะกับผู้ที่มีทุนน้อย
จุดเด่น
- เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำมาก เพียง $1
- โบนัสเงินฝากสูง
- มีบัญชีให้เลือกหลากหลาย
- รองรับภาษาไทย
- ฝาก-ถอนผ่านธนาคารไทยได้
ข้อควรระวัง
- สเปรดค่อนข้างกว้าง
- อาจมีค่าธรรมเนียมแฝง
5. IC Markets – เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ
จุดเด่น
- สเปรดแคบมาก เริ่มต้นที่ 0 จุด
- Execution เร็ว เหมาะกับ Scalping
- รองรับ EA Trading
- เครื่องมือวิเคราะห์ครบครัน
- ไม่มี Requote
ข้อควรระวัง
- ไม่รองรับภาษาไทย
- เหมาะกับผู้มีประสบการณ์
- ขั้นตอนการฝาก-ถอนซับซ้อน
เริ่มต้นเทรดดัชนีอย่างไรดี?
- เตรียมตัวให้พร้อม
- ศึกษาพื้นฐานการเทรดให้เข้าใจ
- เลือกดัชนีที่สนใจและศึกษาให้ลึก
- เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
- ฝึกฝนในบัญชีทดลอง
- ลองผิดลองถูกโดยไม่เสียเงินจริง
- ทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ
- สร้างความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม
- วางแผนการเทรด
- ตั้งเป้าหมายกำไรที่ชัดเจน
- กำหนดจุดตัดขาดทุน
- จัดการความเสี่ยงให้ดี
สรุป
การเทรดดัชนีถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือลงทุนที่น่าสนใจมากในปัจจุบัน เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นหลาย ๆ ตัวได้พร้อมกันในคราวเดียว โดยไม่ต้องซื้อแยกทีละตัว ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
ดัชนีทำหน้าที่เหมือน “ตะกร้าใบใหญ่” ที่รวบรวมหุ้นดี ๆ เอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี SET50 ที่รวมหุ้นยักษ์ใหญ่ 50 ตัวของไทย หรือจะเป็น S&P 500 ที่รวม 500 บริษัทชั้นนำของอเมริกา ทำให้เราสามารถลงทุนในบริษัทระดับโลกได้ง่าย ๆ แม้มีเงินทุนไม่มาก
สิ่งที่ทำให้การเทรดดัชนีน่าสนใจมากยิ่งขึ้น คือ ความยืดหยุ่นในการทำกำไร เพราะเราสามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง ผ่านการเปิดสถานะซื้อ (Long) หรือขาย (Short) และที่สำคัญคือการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้นตัวเดียว
สำหรับใครที่สนใจจะเริ่มต้นเทรดดัชนี สามารถเลือกเทรดผ่านโบรกเกอร์ชั้นนำอย่าง Exness ได้ ด้วยจุดเด่นเรื่องความน่าเชื่อถือ ฝาก-ถอนรวดเร็ว และมีทีมซัพพอร์ตภาษาไทยคอยช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม แม้การเทรดดัชนีจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ มีการวางแผนการลงทุนที่ดี และเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่พอเหมาะ ไม่เสี่ยงเกินไป
ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง หรือนักลงทุนมืออาชีพที่ต้องการเครื่องมือในการทำกำไรที่หลากหลาย ขอเพียงศึกษาให้ดี และมีวินัยในการเทรด ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน และอย่าลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่ของโบรกเกอร์ได้