MiFID หรือ MiFID II สองชื่อนี้ต่างกันยังไง? ทำไมถึงมีสองชื่อด้วยล่ะ และจะสำคัญกับนักลงทุนอย่างเรายังไง? มาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับกฎเหล็กที่คุมเข้มบริษัทการเงินในยุโรปกันครับ
ใบอนุญาต MiFID คืออะไร ?
รูปที่ 1 MiFID เป็นกฎระเบียบทางการเงินที่สำคัญของสหภาพยุโรป
MiFID (ย่อมาจาก Markets in Financial Instruments Directive) คือ ชุดกฎหมายสำคัญของสหภาพยุโรป (EU) ที่ออกมาเพื่อกำกับดูแลตลาดการเงินให้เป็นระเบียบ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความโปร่งใสและคุ้มครองนักลงทุนให้ดีที่สุด
MiFID เป็นองค์กรรัฐหรือเอกชน?
หลายคนอาจสับสนว่า MiFID เป็นองค์กรหรือไม่ คำตอบคือ MiFID ไม่ใช่องค์กร แต่เป็นกฎระเบียบที่หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐในแต่ละประเทศสมาชิก EU นำไปบังคับใช้กับบริษัทเอกชนในตลาดการเงิน เช่น โบรกเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์ และธนาคาร
ภาพรวมบทบาทและหน้าที่ของ MiFID
จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่า MiFID เป็นกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลตลาดการเงินและการลงทุนในยุโรป มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างตลาดการเงินที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ โดยมีหน้าที่สำคัญ 3 ด้านหลักๆ ดังนี้
รูปที่ 2 ภาพรวมบทบาทและหน้าที่ของ MiFID คือการ การคุ้มครองกับนักลงทุน กำกับดูแลตลาดและ การปรับปรุงโครงสร้างตลาด
- ปกป้องนักลงทุน: MiFID สร้างความโปร่งใสให้บริษัทการลงทุนเปิดเผยข้อมูลต่างๆ อย่างชัดเจน เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
- การกำกับดูแลตลาดให้ยุติธรรม: MiFID กำหนดกฎเกณฑ์ให้บริษัทการลงทุนต้องทำตาม เพื่อให้ตลาดมีความเป็นธรรมและแข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียม
- การลดความเสี่ยงเชิงเทคนิคต่างๆ: MiFID มีมาตรการควบคุมการเทรดที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การกำหนดเพดาน leverage, ควบคุมการซื้อขาย Algorithm Trading, ตรวจสอบและรายงานธุรกรรมใหญ่ๆ เงินหนาๆ
- การปรับปรุงโครงสร้างตลาด: เมื่อโลกการเงินมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น MiFID ก็ต้องอัปเกรดตัวเองเป็น MiFID II เพื่อให้ทันยุคทันสมัย ขยายขอบเขตการดูแลไปยังผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เหมือนกับมีชุดเกราะใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องนักลงทุนทุกคนในทุกตลาด ให้ทุกคนมั่นใจได้ว่าจะลงทุนได้อย่างปลอดภัย ส่วนจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างนั้น อ่านต่อในหัวข้อต่อไปกันเลย!
MiFID สู่ MiFID II มีอะไรที่พัฒนาขึ้นบ้าง?
MiFID ก็เหมือนกฎหมายรุ่นเก๋าที่เคยใช้กันมาตั้งแต่ปี 2007 แต่พอโลกการเงินมันเปลี่ยนไปเร็ว กฎหมายก็เริ่มตามไม่ทันซะแล้ว ทาง EU เลยต้องประชุมกันใหญ่ แล้วก็คลอดออกมาเป็น MiFID II ในปี 2014 แต่กว่าจะผ่านด่านต่างๆ กว่าจะให้ทุกฝ่ายเตรียมตัวพร้อม ก็ปาเข้าไปปี 2018 ถึงจะเริ่มใช้งานจริง ลากยาวมาถึงปัจจุบันนั่นเอง
แล้ว MiFID II มีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจสำหรับ Forex Broker กันบ้าง?
- การจำกัด Leverage: MiFID II ได้กำหนดเพดาน leverage ที่โบรกเกอร์สามารถเสนอให้ลูกค้ารายย่อยได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนหนักๆ
- รายงานข้อมูลการซื้อขาย: MiFID II กำหนดให้โบรกเกอร์ต้องรายงานข้อมูลการซื้อขายอย่างละเอียด รวมถึงรายละเอียดของลูกค้า, เครื่องมือทางการเงิน, ราคา, ปริมาณ และเวลาที่ทำการซื้อขาย ให้แก่หน่วยงานกำกับดูแล เห็นหมดเลยครับ ยิ่งกว่าติดกล้องวงจรปิดอีก
- Product Governance: MiFID II บังคับให้บริษัทการลงทุนต้องตรวจสอบสินค้าก่อนวางขาย ก็คือให้ตรวจสอบดีๆก่อนนะ ว่าที่จะเปิดตัวไปเนี่ย ลูกค้าเค้าต้องการจริงๆใช่ไหม? ได้พิจารณาเรื่องความเสี่ยงของลูกค้าแล้วบ้างหรือยัง?
- การบันทึกการสื่อสาร: MiFID II กำหนดให้โบรกเกอร์ต้องบันทึกการสื่อสารกับลูกค้า ทั้งการสนทนาทางโทรศัพท์ อีเมล และแชท เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ในกรณีที่มีข้อพิพาทหรือการร้องเรียน
- ควบคุมการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์: มีกฎใหม่ๆ มาจัดระเบียบการซื้อขายด้วยความเร็วสูง (high-frequency trading) และการซื้อขายโดยใช้ algorithms เพื่อลดความผันผวนของตลาด ไม่ให้ใครใช้เทคโนโลยีมาเอาเปรียบคนอื่น
สรุปง่ายๆ ก็คือ MiFID II ก็คือตัวเดียวกับ MiFID นั้นแหละ แต่เป็นเวอร์ชั่น Pro Max ที่โตขึ้น ฉลาดขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น มาเติมเต็ม 3 เป้าหมายหลักๆที่มีมาตั้งแต่แรกแล้วก็ คือ…
- ขยายขอบเขต: ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ให้ครบทุกมิติ แม้แต่โบรกเกอร์ CFDs ของคริปโต เช่น Bitcoin CFDs ก็ต้องทำตามข้อกำหนดของ MiFID II ด้วย ไม่มีข้อยกเว้น
- ความโปร่งใสมากขึ้น: บริษัทต่างๆ ต้องรายงานข้อมูลการซื้อขายอย่างละเอียด และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะมากขึ้น เพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ครบถ้วน ไม่มีหมกเม็ด
- คุ้มครองนักลงทุนมากขึ้น: ออกกฎเข้มๆ อุดทุกช่องโหว่และรูรั่ว เพื่อไม่ให้บริษัทเอาเปรียบนักลงทุน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้นักลงทุนอย่างเราๆ มั่นใจได้ว่าจะได้เทรดในตลาดยุโรปที่มียุติธรรมและปลอดภัย
MiFIR คู่หูของ MiFID II: แล้วมันคืออะไร? ต่างกันอย่างไร?
เพื่อให้กรอบการทำงานของ MiFID II เกิดขึ้นได้จริง สหภาพยุโรปได้ออกกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่ทำงานควบคู่กันไป นั่นคือ MiFIR (Markets in Financial Instruments Regulation)
ถ้า MiFID II เปรียบเสมือน “พิมพ์เขียว” ที่บอกว่าแต่ละประเทศต้องสร้างบ้าน (กฎหมาย) ที่มีลักษณะและมาตรฐานความปลอดภัยอย่างไร MiFIR ก็เปรียบเสมือน “กฎการก่อสร้าง” ที่ทุกประเทศต้องใช้เหมือนกันเป๊ะๆ เช่น ต้องใช้ปูนสูตรนี้, เหล็กขนาดนี้, เดินสายไฟแบบนี้ เพื่อให้บ้านทุกหลังมีความแข็งแรงตามมาตรฐานเดียวกันทันที
ความแตกต่างระหว่าง MiFID II และ MiFIR
- รูปแบบการบังคับใช้:
- MiFID II (Directive – ข้อบังคับ): เป็น “เป้าหมาย” ที่ EU กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องไปออกเป็นกฎหมายในประเทศของตนเอง ซึ่งอาจมีการตีความหรือปรับใช้รายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันได้เล็กน้อย
- MiFIR (Regulation – กฎระเบียบ): เป็น “กฎหมาย” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงกับทุกประเทศสมาชิกทันทีเหมือนกันหมด ไม่ต้องผ่านการออกเป็นกฎหมายในประเทศอีกครั้ง เพื่อสร้างความเท่าเทียมและป้องกันการเลือกปฏิบัติ
- ขอบเขตของเนื้อหา:
- MiFID II: จะเน้นไปที่การ “จัดระเบียบองค์กร” ที่ให้บริการทางการเงิน เช่น การขอใบอนุญาต, การดำเนินงานของบริษัท, การคุ้มครองนักลงทุน, และการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ (Product Governance)
- MiFIR: จะเน้นไปที่ “ความโปร่งใสของตลาด” และ “การรายงานข้อมูล” เป็นหลัก เช่น กำหนดว่าธุรกรรมประเภทไหนต้องรายงานข้อมูลอะไรบ้าง, ต้องรายงานเมื่อไหร่, และต้องเปิดเผยข้อมูลการซื้อขาย (Pre-trade & Post-trade transparency) ให้สาธารณะรับรู้อย่างไร
สรุปง่ายๆ คือ MiFID II กำหนด “กรอบการทำงาน” ของบริษัทการเงิน ในขณะที่ MiFIR กำหนด “กฎการรายงานข้อมูลและสร้างความโปร่งใส” ที่ทุกบริษัทในตลาดต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเหมือนกันทั้งหมด ทั้งสองสิ่งนี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้ตลาดการเงินของยุโรปมีเสถียรภาพและน่าเชื่อถือครับ
MiFID มีผลบังคับใช้กับใครบ้าง?
MiFID มีผลบังคับใช้กับหลากหลายกลุ่มคนและองค์กรในตลาดการเงินยุโรป เพื่อสร้างความโปร่งใสและคุ้มครองนักลงทุน ซึ่งรวมถึง:
รูปที่ 3 MiFID กำกับดูแลทั้งกลุ่มคน หน่วยงาน และ องค์กรต่างๆ
- บริษัทหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ: MiFID กำกับดูแลบริษัทที่ให้บริการด้านการลงทุนต่างๆ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์ ตราสารหนี้ ETF และตลาดการเงินอื่นๆ โดยมีการกำหนดมาตรฐานในการดำเนินงานและการแยกค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างชัดเจน
- ธนาคารและสถาบันการเงิน: ธนาคารที่มีการดำเนินงานในยุโรปต้องปฏิบัติตามกฎ MiFID โดยเฉพาะในเรื่องของการให้ข้อมูลและบริการทางการเงินที่ยุติธรรม
- ผู้จัดการกองทุนและ Hedge Funds: กฎนี้มีผลกระทบต่อการจัดการกองทุนและการให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินด้วย
- โบรกเกอร์และผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตรา:MiFID ครอบคลุมถึงโบรกเกอร์ที่ให้บริการในตลาดการเงินยุโรป ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
- นักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างๆ: กฎนี้มีการคุ้มครองนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันต่างๆ โดยมีการกำหนดมาตรฐานในการให้ข้อมูล เช่น การเปิดเผยค่าธรรมเนียมต่างๆที่ควรทราบแก่นักลงทุน เป็นต้น
ในภาพรวม MiFID มีผลบังคับใช้โดยตรงกับบริษัทที่ให้บริการทางการเงิน ภายในสหภาพยุโรป และประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) เท่านั้น แต่มีผลกระทบต่อบริษัททั่วโลก!!! เพราะบริษัทใหญ่ๆก็ย่อมมีธุรกิจในโซนยุโรปนั่นเอง
- ถ้ามีสาขาหรือให้บริการในยุโรป: บริษัทเหล่านี้จะต้องปฏิบัติตาม MiFID ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในยุโรป
- ถ้าทำธุรกรรมกับบริษัทในยุโรป: บริษัทนอก EU ก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดบางอย่างของ MiFID เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมกับบริษัทในยุโรปได้
แล้วสหราชอาณาจักร (UK) หลัง (Brexit) ล่ะ?
สหราชอาณาจักร (อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ) ที่ออกจากยุโรป (Brexit) ไปแล้วก็ยังคงใช้กฎระเบียบที่คล้ายกับ MiFID II แต่เป็นเวอร์ชั่นพิเศษ เรียกว่า UK MiFID (ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีความแตกต่างจาก MiFID II ของ EU มากขึ้นเรื่อยๆ)
MiFID น่าเชื่อถือไหม?
น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง เพราะ MiFID เปรียบเสมือน “ตราสัญลักษณ์รับรองคุณภาพ” ที่ยืนยันว่าบริษัทการเงินนั้นๆ ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานระดับสูงของยุโรป เหตุผลที่ทำให้ MiFID น่าเชื่อถือคือ:
รูปที่ 4 MiFID น่าเชื่อถืออย่างมาก ทั้งมี มาตรฐานการกำกับดูแลที่เข้มงวด คุ้มครองนักลงทุน และยังถูกยอมรับในวงกว้าง
- มาตรฐานที่เข้มงวด: มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนด้านการบริหารความเสี่ยง การเปิดเผยข้อมูล และการดำเนินงาน
- เน้นการคุ้มครองนักลงทุน: ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสเป็นอันดับแรก เพื่อให้นักลงทุนไม่ถูกเอาเปรียบ
- เป็นที่ยอมรับในระดับสากล: เป็นมาตรฐานที่บริษัทการเงินทั่วโลกยอมรับ และใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
เงื่อนไขผ่านด่าน MiFID II: โบรกเกอร์ Forex ต้องเจออะไรบ้าง?
MiFID II เป็นเหมือน “พิมพ์เขียว” ที่วางกรอบกว้างๆ ไว้ ส่วนหน่วยงานกำกับดูแลในแต่ละประเทศ (เช่น CySEC ในไซปรัส หรือ BaFin ในเยอรมนี) จะเป็นผู้กำหนดรายละเอียดและตรวจสอบคุณสมบัติของโบรกเกอร์อย่างเข้มข้น
โดย MiFID กำหนดหลักการสำคัญ มาหลากหลายข้อเลย ที่บริษัทการลงทุนต้องปฏิบัติตาม เช่น
- เงินทุนหนาๆ (Initial Capital Requirement): มีเงินสำรองไว้เยอะๆ เผื่อฉุกเฉิน ซึ่ง MiFID ไม่ได้บอกว่าต้องมีเท่าไหร่ แต่ละประเทศจะเป็นคนกำหนดเอง เช่น FCA (Financial Conduct Authority – UK): กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำสำหรับบริษัทที่ต้องการให้บริการ Forex อยู่ที่ £750,000 (ประมาณ 32 ล้านบาท)
- เงินกองทุนต้องสอดคล้องกับความเสี่ยง (Ongoing Capital Requirement): บริษัทต้องรักษาระดับเงินทุนให้เพียงพอต่อความเสี่ยงที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ ยิ่งเทรดเยอะ ยิ่งเสี่ยงเยอะ ก็ต้องมีเงินทุนมากขึ้นตามไปด้วย
แต่เดี๋ยวก่อน นี่ยังแค่พื้นฐานนะครับ ยังมีเงื่อนไขอีกเพียบที่ต้องผ่านให้ได้ สิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลใช้ในการคัดเลือก Forex Broker ต่างๆ จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลยครับ
รูปที่ 5 สิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลใช้ในการพิจารณาให้ใบอนุญาตกับ Forex Broker ต่างๆ โดยต้องสอดคล้องกับแนวทางของ MiFID II
- ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ:ขึ้นอยู่กับประเภทของใบอนุญาตที่ต้องการ โดยทุนจดทะเบียนขั้นต่ำอาจจะอยู่ที่ราวๆ €50,000 ถึงมากกว่า €730,000
- ความเหมาะสมของผู้บริหาร:บริษัทต้องมีผู้บริหารและบุคลากรที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ทางการเงินสายตรง
- แผนธุรกิจและนโยบาย:ต้องจัดทำแผนธุรกิจที่ละเอียด รวมไปถึงการวิเคราะห์ตลาด กลยุทธ์การตลาด และนโยบายการบริหารความเสี่ยงและการจัดการข้อร้องเรียนของลูกค้าด้วย
- การปฏิบัติตามกฎหมาย:บริษัทเหล่านั้นจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและการสนับสนุนการก่อการร้ายต่างๆ
- ความมีชื่อเสียงของผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการ:ผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการต้องมีชื่อเสียงทางธุรกิจที่ดี (ไม่มีข่าวฉาวแหละครับ) และมีการศึกษา ประสบการณ์ และคุณสมบัติทางวิชาชีพที่จำเป็นในการบริหารบริษัท
- การมีสถานประกอบการถาวร:บริษัทต้องมีสถานประกอบการถาวรในประเทศที่ยื่นขอใบอนุญาตนั้นด้วย ไม่ใช่มีแค่ที่อยู่ลอยๆนะ
- การปฏิบัติตามมาตรฐานการสื่อสารและการรายงาน:บริษัทต้องมีระบบในการบันทึกและรายงานการสื่อสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย เพื่อให้สามารถตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างเป็นธรรม
วิธีการฟ้องร้องต่อ MiFID
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ คุณไม่สามารถฟ้องร้องหรือยื่นเรื่องกับ MiFID ได้โดยตรง เพราะ MiFID เป็นเพียงชุดกฎหมาย ไม่ใช่หน่วยงานรับเรื่อง
หากคุณมีปัญหากับโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ MiFID คุณสามารถร้องเรียนได้ที่:
- หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศที่โบรกเกอร์จดทะเบียน: เช่น หากโบรกเกอร์จดทะเบียนในไซปรัส ให้ติดต่อ CySEC หากจดทะเบียนในสหราชอาณาจักร ให้ติดต่อ FCA หน่วยงานเหล่านี้มีอำนาจในการตรวจสอบและดำเนินการโดยตรง
- หน่วยงานไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการเงิน: ในกรณีที่หลังจากร้องเรียนไปยังหน่วยงานกำกับดูแล (เช่น CySEC, FCA) แล้ว หากยังไม่พอใจผลการตัดสิน นักลงทุนมักจะมีสิทธิ์ยื่นเรื่องต่อไปยังหน่วยงานไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นองค์กรอิสระ เช่น The Financial Commission เพื่อให้พิจารณาและตัดสินข้อพิพาทโดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก นี่คือช่องทางที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนรายย่อยมากที่สุด
สิ่งที่ควรเตรียมก่อนร้องเรียน: รวบรวมหลักฐานทั้งหมด เช่น อีเมล, บันทึกการสนทนา, และเอกสารการทำธุรกรรม เพื่อให้การร้องเรียนของคุณมีน้ำหนักและชัดเจน
สรุป
MiFID II คือมาตรฐานกฎหมายการเงินฉบับปัจจุบันของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่พัฒนาต่อยอดจาก MiFID เดิมให้มีความทันสมัยและครอบคลุมยิ่งขึ้น หัวใจหลักของกฎระเบียบนี้คือการสร้าง “ความโปร่งใส” และ “การคุ้มครองนักลงทุน” อย่างสูงสุด การที่โบรกเกอร์ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เข้มงวดเหล่านี้ ถือเป็นประโยชน์โดยตรงต่อนักลงทุน ที่จะมั่นใจได้ว่ากำลังเทรดในตลาดที่มีความเป็นธรรมและปลอดภัย
อ้างอิง
- [1] https://brandinside.asia/mifid-ii-rules/
- [2] https://skilling.com/row/th/blog/trading-terms/mifid/
- [3] https://www.niceactimize.com/compliance/mifid-ii.html
- [4] https://www.ryt9.com/s/iq29/2762597
- [5] https://blogs.cfainstitute.org/investor/2017/04/11/mifid-ii-whats-wrong-with-it/
- [6] https://rue.ee/forex-regulations/






