Payoneer คืออะไร?

  • Payoneer คือ แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลระดับโลก ที่ให้บริการรับและโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งได้รับการควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินในหลายประเทศ
  • บริษัทให้บริการทางการเงินสัญชาติอเมริกันที่ให้บริการโอนเงินออนไลน์และบริการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ
  • แพลตฟอร์มทางการเงินที่เชื่อมโยงธุรกิจทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยให้บริการตั้งแต่ปี 2005
  • ระบบที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งและรับเงินผ่าน e-wallet, บัญชีธนาคารเสมือน หรือบัตรเดบิต MasterCard แบบเติมเงินได้
  • บริการที่รองรับการชำระเงินข้ามประเทศใน 150+ สกุลเงินท้องถิ่น ผ่านการโอนเงินระหว่างประเทศและการชำระเงินออนไลน์
  • แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ฟรีแลนซ์ และผู้ขายออนไลน์สามารถรับชำระเงินจากตลาดและลูกค้าทั่วโลกได้อย่างสะดวก
  • จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ภายใต้สัญลักษณ์ PAYO
  • ให้บริการทางการเงินครอบคลุม 190+ ประเทศ และรองรับ 70+ สกุลเงิน
  • มีบริการเสริมด้านเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจ (Working Capital)
  • ช่วยลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร
  • เป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มชั้นนำระดับโลก เช่น Amazon, Google, Airbnb และ Upwork

บริการหลักของ Payoneer

  • การรับเงินจากต่างประเทศผ่านบัญชีรับเงินท้องถิ่น
  • การโอนเงินระหว่างผู้ใช้ Payoneer
  • การถอนเงินไปยังบัญชีธนาคารทั่วโลก
  • การรับชำระเงินจากแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ เช่น Upwork, Fiverr, Amazon

Payoneer เหมาะสำหรับ

  • ฟรีแลนซ์ที่รับงานจากต่างประเทศ
  • ผู้ขายสินค้าออนไลน์บนมาร์เก็ตเพลสระดับโลก
  • ธุรกิจที่ต้องทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ
  • ผู้ที่ต้องการรับเงินจากต่างประเทศอย่างสะดวกและปลอดภัย

ข้อดีข้อเสียของ Payoneer

ข้อดีของ Payoneer

  • ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างบัญชี Payoneer ด้วยกัน
  • ฟรีค่าธรรมเนียมการรับเงินจากบัญชีธนาคารในหลายสกุลเงิน
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายเดือน
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบ 2 ชั้น และระบบป้องกันการแฮก
  • มีแอพมือถือให้จัดการบัญชีได้สะดวก
  • รองรับการทำธุรกรรมใน 200+ ประเทศ
  • มีบริการภาษาไทยรองรับ

ข้อเสียของ Payoneer

  • รับเงินได้เฉพาะจากนิติบุคคลเท่านั้น ไม่สามารถรับจากบุคคลธรรมดาได้
  • ค่าธรรมเนียมการถอนเงินเข้าบัญชีไทย 2% (หรือ 1.2% หากสมัครผ่านลิงก์แนะนำ)
  • ค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับบัตร $29.95
  • การถอนเงินใช้เวลา 4-7 วันทำการ
  • ไม่สามารถเปิดบัญชีมากกว่า 1 บัญชีด้วยชื่อเดียวกัน
  • ไม่มีระบบ POS สำหรับร้านค้า
  • มีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินสูงถึง 3.5%

คู่มือการสมัครใช้งาน Payoneer แบบละเอียด

ขั้นตอนการเปิดบัญชีเพิ่มเติม

  • เริ่มต้น: คลิ๊กที่ลงทะเบียน
  • สามารถเลือกหน้าเว็บเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษได้

  • การสมัครบัญชี คลิ๊กที่ “เปิดบัญชี”
  • กรอกข้อมูลส่วนตัว
    • กรอกชื่อ-นามสกุล, อีเมล, วันเกิด
    • แล้วกด NEXT 
    • ระบุที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ (ไม่ต้องใส่เลข 0 นำหน้า)
  • กรอกรหัสผ่านที่เราต้องการใช้เข้าเว็บ Payoneer
  • โดยให้มีตัวอักษรภาษาอังกฤษ + ตัวเลขรวมอยู่ด้วย
  • กรอกข้อมูลบัญชีธนาคาร
  • เลือกประเทศ
  • เลือกสกุลเงิน THB
  • เลือกธนาคาร
  • ใส่ชื่อเจ้าของบัญชี และเลขที่บัญชี
  • แล้วเลือกในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ 2 ช่อง
  • จากนั้นคลิก NEXT

  • เป็นอันว่าเรียบร้อยในขั้นตอนนี้ ระบบจะแจ้งว่ากำลังตรวจสอบการสมัคร

  • ฉบับแรกจะเป็นอีเมลแจ้งว่ากำลังตรวจสอบการสมัคร

  • ถ้าขึ้นมาแบบนี้ หมายความว่าการสมัครเรียบร้อยแล้ว

แนะนำเพิ่มเติม

ตั้งค่าความปลอดภัย

  • สร้างรหัสผ่านอย่างน้อย 7 ตัว ผสมตัวเลขและตัวอักษร
  • ตั้งคำถามความปลอดภัย (สำคัญมากสำหรับการถอนเงิน)
  • ยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต

เชื่อมต่อบัญชีธนาคาร

  • กรอกชื่อและเลขบัญชีธนาคาร
  • สามารถแก้ไขหรือเพิ่มบัญชีภายหลังได้
  • ไม่รองรับบัญชีธนาคารกรุงเทพ NY

การรับเงิน

  1. ไปที่เมนู Receive > Global Payment Service
  2. เลือกสกุลเงินที่ต้องการรับและดูรายละเอียดบัญชี
  3. ส่งข้อมูลบัญชีให้ผู้โอน (รับโอนจากบัญชีนิติบุคคลเท่านั้น)

การถอนเงิน

  1. เข้าสู่ระบบและเลือกเมนู Withdraw
  2. เลือกสกุลเงินและระบุจำนวนที่ต้องการถอน
  3. ตรวจสอบยอดเงินสุทธิ (หักค่าธรรมเนียม 2%)
  4. ยืนยันด้วยรหัส SMS (สามารถตั้งค่าข้ามขั้นตอนนี้ได้)
  5. รอรับเงินเข้าบัญชี 1-3 วันทำการ

ข้อควรจำ

  • เก็บรักษาข้อมูลการเข้าระบบและคำถามความปลอดภัยอย่างดี
  • ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนก่อนถอนเงิน
  • เตรียมเอกสารยืนยันตัวตนให้พร้อมสำหรับการสมัคร
  • รับโอนได้เฉพาะจากบัญชีธุรกิจเท่านั้น

คู่มือการยื่นเอกสารยืนยันที่อยู่ (Proof of Address) สำหรับ Payoneer

เอกสารที่สามารถใช้ยืนยัน

  • คลิกที่ ส่งตอนนี้ เพื่อทำการส่งเอกสารยืนยันว่าเรามีตัวตนจริงๆ ซึ่งก็ได้แก่ บัตรประชา หรือพาสปอร์ต ถ่ายภาพเตรียมเป็นไฟล์ JPG ไว้ให้เรียบร้อย
    • ใบแจ้งหนี้สาธารณูปโภค: ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน, บิลบัตรเครดิต
    • Bank Statement: สามารถขอจากธนาคารหรือพิมพ์จากระบบออนไลน์
  • ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประมาณ 3 วันก็จะได้รับการยืนยันว่าตรวจเอกสารผ่านแล้ว

ข้อกำหนดสำคัญ

  • เอกสารต้องมีอายุไม่เกิน 3 เดือน
  • ชื่อและที่อยู่ต้องตรงกับข้อมูลที่ใช้สมัคร
  • ห้ามมีการขีดเขียนหรือแก้ไขเพิ่มเติมในเอกสาร
  • ไม่จำเป็นต้องประทับตรา “สำเนาถูกต้อง” หรือขีดคร่อม

วิธีการส่งเอกสาร

  • เอกสารกระดาษ: ถ่ายภาพให้เห็นครบทั้ง 4 มุม ไฟล์ต้องมีขนาดมากกว่า 1MB
  • e-Statement: ส่งในรูปแบบไฟล์ PDF

กรณีบัญชีธุรกิจ

  • ใช้เอกสารที่ระบุชื่อและที่อยู่บริษัท
  • สามารถใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์

ข้อควรระวัง

  • ไม่รับบิลค่าโทรศัพท์มือถือ
  • เอกสารต้องชัดเจน อ่านง่าย ไม่มีรอยยับหรือเปื้อน
  • ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนส่ง
  • หากเอกสารไม่ผ่าน สามารถส่งใหม่ได้ภายใน 30 วัน

คู่มือการใช้งานและขอบัตร Debit Payoneer ฉบับสมบูรณ์

ประโยชน์ของบัตร Payoneer Debit บัตร Payoneer ช่วยให้คุณใช้จ่ายเงินในบัญชี USD ได้โดยตรง เหมาะสำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์และชำระค่าบริการต่างๆ เช่น ค่าโฆษณา Facebook หรือซื้อของจาก AliExpress โดยไม่ต้องเสียค่าแลกเปลี่ยนหลายต่อ

รูปแบบบัตรที่ให้บริการ

  1. บัตรแข็ง (Physical Card): 
    • ใช้รูดซื้อสินค้าที่ร้านค้าได้
    • ถอนเงินจากตู้ ATM ได้ (มีค่าธรรมเนียมเหมือนใช้บัตรต่างประเทศ)
  2. บัตรเสมือน (Virtual Card): 
    • ใช้ชำระเงินออนไลน์เท่านั้น
    • ค่าธรรมเนียมรายปี $29.95

ขั้นตอนการขอบัตรสำหรับผู้ใช้ใหม่

  1. มียอดเงินในบัญชีขั้นต่ำ $100 (ต้องได้จากตลาดออนไลน์เท่านั้น)
  2. ยืนยันตัวตนโดยส่ง: 
    • รูปถ่ายบัตรประชาชนตัวจริง
    • เอกสารยืนยันที่อยู่ (บิลค่าน้ำ/ไฟ/สาธารณูปโภค หรือ statement)
  3. ขอบัตรผ่านระบบ
  4. ติดต่อ Support เพื่อขอบัตร Virtual
  5. เปิดใช้งานบัตรเมื่อได้รับ

ขั้นตอนการขอบัตรสำหรับผู้ใช้เดิม

  1. ติดต่อ Support เพื่อขอบัตร Virtual
  2. ส่งเอกสารยืนยันตัวตนและที่อยู่
  3. เปิดใช้งานบัตรในระบบ

ช่องทางติดต่อ Payoneer ภาษาไทย

  1. อีเมล: 
    • เข้าศูนย์บริการและกด “SEND MESSAGE”
    • เลือกภาษาไทย
    • กรอกแบบฟอร์มและส่ง
  2. โทรศัพท์: 
    • หมายเลข: 060-003-5396
    • ให้บริการ จันทร์-พฤหัส 9:00-17:00 น.
    • วันศุกร์ 9:00-16:00 น.
  3. Line Official: 
    • ID: @payoneerthailand

ข้อแนะนำเพิ่มเติม: ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนติดต่อขอบัตร และศึกษาค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้เข้าใจก่อนเริ่มใช้งาน

 

คู่มือ ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Payoneer

Payoneer เป็นระบบตัวกลางสำหรับการรับเงินระหว่างประเทศ โดยจะสร้างบัญชีในชื่อของผู้ใช้เพื่อรับเงินผ่านการโอนโดยตรง (Direct Deposit) ผู้ใช้สามารถนำเลขบัญชีนี้ไปใช้รับเงินจากต่างประเทศได้ทันที

ความสามารถในการรับเงิน

Payoneer รองรับการรับเงิน 7 สกุลหลัก ได้แก่

  • ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
  • ยูโร (EUR)
  • ปอนด์อังกฤษ (GBP)
  • เยนญี่ปุ่น (JPY)
  • ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)
  • ดอลลาร์แคนาดา (CAD)
  • เปโซเม็กซิโก (MXN)

ข้อจำกัดในการรับเงิน

  • รับเงินได้เฉพาะจากนิติบุคคล (Corporate) เท่านั้น
  • ไม่สามารถรับเงินจากบุคคลธรรมดาได้ (แนะนำให้ใช้ Wise แทนสำหรับกรณีนี้)
  • สามารถโอนเงินระหว่างบัญชี Payoneer ด้วยกันได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม

การให้บริการในประเทศไทย

  • Payoneer มีบริการรองรับผู้ใช้ไทยอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทีมสนับสนุนที่สื่อสารภาษาไทยได้

ระยะเวลาในการทำธุรกรรม

  • การถอนเงินจาก Payoneer ใช้เวลาประมาณ 4-7 วันทำการ โดยปกติจะไม่เกินหนึ่งสัปดาห์

การเปรียบเทียบกับ PayPal ทั้งสองระบบมีจุดเด่นต่างกัน:

  • PayPal รับเงินจากบุคคลธรรมดาได้
  • Payoneer เหมาะสำหรับการรับเงินแบบ Direct Deposit จากบริษัท

ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • สามารถใช้ Payoneer โดยไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตของ Payoneer
  • ไม่แนะนำให้ใช้ Payoneer รับเงินจาก PayPal เพราะจะเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนและอาจมีปัญหาในการยืนยันตัวตน
  • ไม่สามารถเปิดบัญชี Payoneer มากกว่า 1 บัญชีด้วยชื่อเดียวกันได้

คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ใหม่: ควรพิจารณาวัตถุประสงค์การใช้งานให้ชัดเจน และเลือกใช้บริการให้เหมาะสมกับความต้องการ เช่น หากต้องการรับเงินจากบุคคลธรรมดา ควรเลือกใช้ Wise แทน Payoneer

ระบบค่าธรรมเนียมของ Payoneer อย่างละเอียด

ค่าธรรมเนียมการรับเงินผ่าน Payoneer

1. การโอนเงินระหว่างผู้ใช้ Payoneer

  • ไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับการโอนในสกุลเงิน USD, EUR, GBP และ JPY
  • สามารถโอนได้ทันทีระหว่างบัญชี Payoneer ด้วยกัน

2. การรับเงินผ่าน Direct Deposit

  • ไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับสกุลเงิน EUR, GBP, JPY, AUD, CAD และ CNY
  • สกุลเงิน USD มีค่าธรรมเนียม 1% (ยกเว้นกรณีสมัครผ่านลิงก์พิเศษ)

3. การรับเงินจากลูกค้าทั่วไป

  • ผ่านบัตรเครดิตและช่องทางออนไลน์
    • บัตรเครดิต: ค่าธรรมเนียมไม่เกิน 3.99% (บางประเทศมีค่าธรรมเนียมเพิ่ม $0.49)
    • ACH (เฉพาะสหรัฐฯ): 1%
    • PayPal (เฉพาะสหรัฐฯ): 3.99% + $0.49
  • ผ่านบัญชีรับเงิน (Receiving Account)
    • ไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับสกุลเงิน EUR, GBP และสกุลเงินอื่นๆ
    • สกุลเงิน USD: ค่าธรรมเนียมไม่เกิน 1% (อาจมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ ขึ้นอยู่กับประเภทบัญชี)
    • หมายเหตุ: ค่าธรรมเนียมอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามประเภทบัญชีและภูมิภาค ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมที่แน่นอนในขณะทำธุรกรรม

การถอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในประเทศไทย

การถอนเงินจาก Payoneer มีทั้งหมด 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน

รูปแบบที่ 1: ถอนเงินในสกุลเดียวกันในประเทศของคุณ

เช่น คุณอยู่อเมริกา มีเงินดอลลาร์ในบัญชี Payoneer และถอนไปยังบัญชีธนาคารอเมริกันที่รับเป็นดอลลาร์ ค่าธรรมเนียมจะคิดตามยอดรวมที่ถอนในแต่ละเดือน:

กรณีถอนไม่เกิน 50,000 ต่อเดือน

  • ถอนดอลลาร์ไปบัญชีดอลลาร์: เสีย 1.50 USD
  • ถอนยูโรไปบัญชียูโร: เสีย 1.50 EUR
  • ถอนปอนด์ไปบัญชีปอนด์: เสีย 1.50 GBP

กรณีถอนเกิน 50,000 ต่อเดือน

  • ไม่ว่าจะถอนสกุลเงินไหน จะเสียค่าธรรมเนียม 0.5% ของยอดที่ถอน

เงื่อนไขสำคัญ

  • ต้องเป็นบัญชีในประเทศที่คุณได้ลงทะเบียกับ Payoneer ไว้
  • ต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้ในประเทศนั้นๆ
  • บัญชีปลายทางต้องรับในสกุลเงินเดียวกับที่มีในบัญชี Payoneer

รูปแบบที่ 2: ถอนเงินต่างสกุล

เช่น คุณมีเงินดอลลาร์แต่ต้องการถอนเป็นยูโร หรือมียูโรแต่ต้องการถอนเป็นดอลลาร์

  • ค่าธรรมเนียมปกติ: 2% ของยอดที่ถอน
  • ค่าธรรมเนียมพิเศษ: 1.2% (ถ้าสมัครผ่านลิงก์แนะนำ)
  • ค่าธรรมเนียมสูงสุดไม่เกิน 3% ในทุกกรณี

รูปแบบที่ 3: ถอนเงินไปต่างประเทศในสกุลเดียวกัน

เช่น คุณมีเงินดอลลาร์และถอนไปบัญชีดอลลาร์ในยุโรป

  • ค่าธรรมเนียมสูงสุด 3% ของยอดที่ถอน
  • อาจมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำเพิ่มเติม

คำแนะนำในการประหยัดค่าธรรมเนียม

  1. ถ้าเป็นไปได้ ให้ถอนเงินในสกุลเดียวกับที่มีในบัญชีและในประเทศของคุณ เพราะค่าธรรมเนียมจะถูกที่สุด
  2. วางแผนรวมยอดถอนให้เยอะๆ ในแต่ละครั้ง แทนการถอนบ่อยๆ ครั้งละน้อย
  3. สมัครผ่านลิงก์แนะนำตั้งแต่แรก เพื่อรับสิทธิ์ค่าธรรมเนียมพิเศษและโบนัสอื่นๆ
  4. ศึกษาอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่จะทำรายการ เพื่อเลือกจังหวะที่เหมาะสมในการถอนเงินต่างสกุล

สิ่งที่ควรจำ

  • อัตราแลกเปลี่ยนจะอ้างอิงตามราคาตลาด ณ เวลาที่ทำรายการ
  • การถอนเงินระหว่างประเทศอาจใช้เวลามากกว่าการถอนในประเทศ
  • ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมทั้งหมดก่อนยืนยันการทำรายการทุกครั้ง
  • บางกรณีอาจมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำเพิ่มเติม

ค่าธรรมเนียมอื่นๆ

ค่าธรรมเนียมบัญชีรายปี

  • Payoneer จะคิดค่าธรรมเนียมรายปีเฉพาะเมื่อคุณมีการใช้งานบัญชีน้อย โดยมีเงื่อนไขดังนี้:
  • ถ้าในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา คุณได้รับเงินเข้าบัญชีน้อยกว่า 2,000 USD (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินอื่น) Payoneer จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 29.95 USD ต่อปี แต่หากคุณมียอดรับเงินมากกว่า 2,000 USD ต่อปี คุณจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมส่วนนี้

ค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน

  • โดยทั่วไปการสมัครใช้งาน Payoneer ไม่มีค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตาม ในบางประเทศอาจมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน ดังนั้นควรตรวจสอบเงื่อนไขสำหรับประเทศของคุณก่อนสมัคร

ค่าธรรมเนียมการคืนทรัพย์

  • ในกรณีพิเศษที่ Payoneer ต้องคืนเงินให้กับรัฐบาล (เมื่อรัฐอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของบัญชี) จะมีค่าธรรมเนียมการดำเนินการ โดยอัตราค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปตามกฎหมายของแต่ละรัฐ
  • คำแนะนำ: เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมบัญชีรายปี ควรรักษายอดรับเงินให้เกิน 2,000 USD ต่อปี หรือถ้าไม่มีการใช้งานเป็นเวลานาน อาจพิจารณาปิดบัญชีเพื่อประหยัดค่าธรรมเนียม

ระบบความปลอดภัยของ Payoneer

Payoneer ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเงินและข้อมูลของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีการรักษาความปลอดภัยในหลายระดับ

การควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแล

Payoneer ได้รับใบอนุญาตและการควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ธนาคารกลางไอร์แลนด์ที่ควบคุมการให้บริการในเขตเศรษฐกิจยุโรป ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการทำธุรกรรมทุกรายการเป็นไปตามมาตรฐานสากล

Payoneer Singapore Pte Limited ใบอนุญาตหมายเลข PS20200604 สถาบันการชำระเงินหลัก (MPI) จดทะเบียนกับหน่วยงานการเงินของสิงคโปร์

การปกป้องเงินของลูกค้า

เงินของลูกค้าจะถูกเก็บไว้ในบัญชีแยกต่างหากจากบัญชีดำเนินงานของบริษัท โดยมีลักษณะสำคัญคือ:

  • ฝากไว้กับสถาบันการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ
  • มีสภาพคล่องพร้อมใช้งานตลอดเวลา
  • ไม่ถูกนำไปปล่อยกู้หรือลงทุน
  • แยกออกจากเงินทุนดำเนินงานของบริษัท

พันธมิตรทางการเงินที่แข็งแกร่ง

Payoneer ร่วมมือกับธนาคารชั้นนำระดับโลก เช่น Barclays, Citibank, Deutsche Bank และ Bank of America ทำให้มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง มีการบริหารความเสี่ยงโดยคณะกรรมการเฉพาะ ที่จะคอยตรวจสอบและย้ายเงินไปยังธนาคารที่ปลอดภัยที่สุดหากพบความเสี่ยง

การตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน

  • มีการตรวจสอบบัญชีประจำปีโดย PwC
  • ได้รับการรับรองมาตรฐาน PCI DSS ระดับ 1
  • ผ่านการประเมิน SOC 1 และ SOC 2 Type II
  • 99% ของยอดเงินทั้งหมดอยู่ในระดับ “Investment Grade” หรือสูงกว่า

ระบบรักษาความปลอดภัยบัญชีผู้ใช้

Payoneer มีระบบป้องกันการเข้าถึงบัญชีแบบหลายชั้น:

  • การยืนยันตัวตนแบบ 2 ขั้นตอน
  • ระบบ CAPTCHA ป้องกันบอท
  • เทคโนโลยี RSA Adaptive Authentication
  • ระบบป้องกันการยึดบัญชี
  • การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานเพื่อตรวจจับความผิดปกติ

ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมและได้มาตรฐานเหล่านี้ ทำให้ Payoneer ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้กว่า 4 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงแบรนด์ดิจิทัลชั้นนำอย่าง Google, Airbnb, Upwork และ Fiverr ในการใช้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ

สรุป

Payoneer ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มฟรีแลนซ์และธุรกิจออนไลน์ทั่วโลก เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มการเงินที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ และมีพันธมิตรเป็นธนาคารชั้นนำระดับโลก ทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ 

ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 4 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดิจิทัลยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Airbnb, Upwork และ Fiverr 

นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผลและความสะดวกในการใช้งานยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Payoneer เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับการรับ-โอนเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการดิจิทัลและผู้ขายสินค้าออนไลน์

ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและความต้องการระบบการเงินที่ไร้พรมแดนในยุคปัจจุบัน

 

เขียนโดย

Somchai Witthtaya

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon