บทความนี้เป็นตอนต่อจาก หลังจากที่พวกเราเข้าใจหลักการพื้นฐานของการเทรดทองคำแล้ว ต่อไปจะเป็นการเรียนรู้เคล็ดลับต่าง ๆ ของการเทรดทองคำ, กลยุทธ์ในการเทรด และคำแนะนำที่จะทำให้คุณ พร้อมที่จะก้าวเข้าใกล้สู่คำว่า “มืออาชีพ” มากยิ่งขึ้น
PART 1 –
ทบทวนความเข้าใจ กับ การเทรดทองในตลาด Forex
- ทบทวนปัจจัยที่มีผลให้ราคาทองคำ ขึ้น หรือ ลง
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟทองคำ
- กลยุทธ์การเทรดทองคำ ที่ได้รับความนิยม
- การจัดการความเสี่ยง
รูปที่ 1: อธิบายถึงการเทรดทองในตลาด Forex จะต้องมีคุณสมบัติดังหัวข้อต่อไปนี้ เพื่อการก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ เพราะสิ่งที่ต้องรู้ และ ทำตามนั้นสำคัญมาก
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาของทองคำ
- อัตราดอกเบี้ย
- เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาทองคำมักจะลดลง
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD)
- ทองคำมักจะมีความสัมพันธ์ผกผันกับดอลลาร์สหรัฐ
- สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือการเมืองสามารถกระตุ้นให้ผู้ลงทุนหันมาซื้อทองคำ
- ราคาทองคำอาจเพิ่มขึ้น หรือ ลดลง
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
- การปรับอัตราดอกเบี้ยของ Federal Reserve (Fed) ในปี 2022
- ราคาทองคำลดลงจาก $2,070 ลดลงเหลือ $1,680
- การระบาดของ COVID-19 ผู้คนมีความกังวลในสถานการณ์ความไม่แน่นอนนี้ จึงถือทองคำไว้มากขึ้น
- ราคาทองคำเพิ่มจาก $1,500 เป็น 2,000 $ดอลลาร์
รูปที่ 2: อธิบายถึงตัวอย่างของข่าวสารที่มีผลต่อทองคำ และ การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ของปี 2022 ที่ผ่านมา มีผลต่อราคาทองคำ รับผิดชอบโดย Fed
วิเคราะห์ทางเทคนิคกราฟทองคำ
- วิเคราะห์จากเว็บไซต์ข้อมูลต่าง ๆ เช่น
- หาจุดแนวรับของราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน
- หาแนวต้านของวันของราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน
- วิเคราะห์รูปแบบของกราฟ ว่าอยู่ใน Chart Pattern ราคาแบบใด เช่น
- Double Top
- Head and Shoulders
- Triangles
- ใช้ Indicators หรือ ตัวชี้วัดต่าง ๆ เพื่อดูแนวโน้ม
- RSI (Relative Strength Index) ใช้ดูภาวะ Overbought หรือ Oversold
- Moving Averages ติดตามแนวโน้มของกราฟ
- Fibonacci Retracement ใช้หาจุดกลับตัว เพื่อหาจุดเข้าเทรด
กลยุทธ์การเทรดทองคำที่ได้รับความนิยม
- กลยุทธ์ตามแนวโน้ม (Trend Following)
- ใช้ Moving Averages หรือ ADX เพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- เทรนด์ขาขึ้น เมื่อราคาย่อลงมาในโซน Demand เข้าออเดอร์ Buy ทำกำไรตามเป้าที่ตั้งไว้
- เทรนด์ขาลง เมื่อราคาเด้งในโซน Supply คือจุดที่เข้าออเดอร์ Sell ทำกำไรตามเป้าที่ตั้งไว้
- กลยุทธ์การเทรดในช่วงตลาดไซด์เวย์ (Range Trading)
- ใช้แนวรับและแนวต้านร่วมกับ Oscillators เช่น RSI หรือ Stochastic
- กลยุทธ์ข่าวสาร (News Trading)
- เทรดตามการประกาศข่าวเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อราคา เหมาะสำหรับนักเทรดแบบเซียน ที่กำหนดความเสี่ยงเอาไว้แล้ว
- มีโอกาสในการสร้างกำไรคำโต แต่ก็เสี่ยงที่จะพอร์ตแตกถ้าหากว่ากราฟสวนทาง
ตัวอย่างเหตุการณ์จริง
- กลยุทธ์ข่าวสาร: การประกาศข้อมูล Non-Farm Payroll ใน 2021 ส่งผลให้ทองคำปรับตัวลง
- กำหนดเวลาข่าวออกคือ 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
- เทรดเดอร์เตรียมพร้อมที่จะเทรดทำกำไรในช่วงหลังการประกาศตัวเลขออกมา
- ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
รูปที่ 3: อธิบายถึงนักเทรดสามารถเข้าถึงบทวิเคราะห์ข่าวสารของทองคำได้ที่ Investing.com โดยมีรายละเอียดแปลเป็นภาษาไทยเอาไว้ให้แล้ว
การจัดการความเสี่ยงของการเทรดทองคำ
เนื่องจากกราฟราคา รวมทั้งพฤติกรรมราคาของทองคำ มีความผันผวนเป็นอย่างมาก เรื่องสำคัญที่สุดของการเทรดทองคำแบบมืออาชีพคือ กำหนดความเสี่ยง
- ตั้ง Stop Loss และ Take Profit จำกัดการขาดทุนและกำหนดผลกำไร
- ใช้ Position Sizing คำนวณขนาดการเทรดตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปแล้วคำนวณจากยอด Balance ในบัญชี และ ความเสี่ยงที่รับได้
- หลีกเลี่ยง Overtrading เรียกสั้น ๆ ว่า “โอเวอร์เทรด”
- การใช้ Lot ขนาดใหญ่ และ หลาย Position
- การเทรดเสีย แล้วเติมเงินเข้าไปเพื่อไม่ให้พอร์ตแตก (เข้าใจกันง่าย ๆ สำหรับเทรดเดอร์) เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง หากจะเป็น “มืออาชีพ”
สรุป Part 1 ทบทวนความเข้าใจ กับ การเทรดทองในตลาด Forex
- XAU/USD ราคาขึ้น/ลง ด้วย 4 ปัจจัย คือ 1.อัตราดอกเบี้ย 2.ค่าเงืน USD 3.เงินเฟ้อ 4.ความเสี่ยง (Risk On/Off)
- วิเคราะห์กราฟ หาแนวรับ-แนวต้าน ใช้ Indicator, Price Action และ Chart Pattern
- กลยุทธ์ยอดนิยม คือ Trend Following (MA, ADX), Range Trading (RSI, Stochastic), และ News Trading (ต้องบริหารความเสี่ยงดี ๆ)
- สำคัญสุด คือ Money Management และจิตวิญญาณแห่งนักรบ (Trading Psychology) อย่า Overtrade, อย่า FOMO, อย่า Panic “จงเป็นน้ำ อย่าเป็นไฟ”
- ไม่มีอะไรที่แน่นอน มีเพียง วัฏจักรที่ซ้ำรอย
- อดทนรอคอยโอกาส ดุจงูรอกระต่าย และจงเฉียบคมดุจเหยี่ยวโฉบเหยื่อเมื่อโอกาสมาถึง
- อย่าปล่อยให้ความโลภและความกลัวครอบงำ
- อย่าประมาทตลาดแม้เพียงเสี้ยววินาที เพราะความประมาทอาจนำมาซึ่งหายนะ
PART 2 –
เลือกโบรกเกอร์ และ บัญชีเทรดที่ดีที่สุดของการเทรดทองคำ
- ทองคำต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มี ค่าสเปรดต่ำที่สุดเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างกำไรที่ดีที่สุด
- โบรกเกอร์ต้องมีความรวดเร็ว มั่นคง สเถียร ระบบกราฟเยี่ยม ไม่ส่งคำสั่งช้าจนน่าหงุดหงิด
- ทดสอบได้จากบัญชี Demo
- หรือ ทดสอบการเทรดด้วยจำนวนเงินน้อย ๆ เพื่อทดลองระบบ
- ศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์รีวิวโบรกเกอร์
- ต้องมีระบบช่วยเหลือ ซัพพอร์ตที่ดี พร้อมให้บริการลูกค้าเมื่อต้องการ
- ผู้ตอบคำถามมีความรู้เรื่องการเทรด เข้าใจศัพท์ของ Forex
- ให้บริการดี ใส่ใจลูกค้าในทุกคำถาม มีความพยายามในการตอบ
- มีความน่าเชื่อถือสูง
- อายุการให้บริการ
- ใบอนุญาต
- รีวิวจากผู้ใช้จริง
- ความยาก ความง่าย ของแพลตฟอร์มในการเทรด เลือกโบรกเกอร์ที่มีแพลตฟอร์มเหมาะสมกับการเทรดทองคำมากที่สุด
- มีแพลตฟอร์มแอพพลิเคชั่นเป็นของตนเองหรือไม่ เพื่อการฝาก / ถอน / โอน หรือ ฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่เหมาะกันเทรดเดอร์
- ไม่มีปัญหาเรื่องของการค้าง, โหลดช้า, ข้อมูลหาย
ดูค่า Spread ของแต่ละบัญชี ให้ได้เปรียบต่อการซื้อขาย ทองคำ
- สเปรด คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask)
- หากสเปรดต่ำ จะทำให้ต้นทุนในการเทรดต่ำลง
- ตัวอย่างเช่น บัญชี Pro ของโบรกเกอร์ XAU มีค่าสเปรดต่ำเพียงแค่ 1.7 Pips สเปรดต่ำสร้างโอกาสในการทำกำไรได้ดีกว่า
รูปที่ 4: อธิบายถึงค่าสเปรดของโบรกเกอร์ กับ ทองคำ Xauusd ที่ยิ่งน้อย ยิ่งสร้างโอกาสในการทำกำไร ตรวจสอบได้จาก Markets Watch ของแต่ละโบรกเกอร์ครับ
เลือกโบรกเกอร์ที่มีการดำเนินการรวดเร็ว
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีระบบการดำเนินการคำสั่งเทรดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
- เฉลี่ยแล้วกดคำสั่ง Buy / Sell ต้องไม่เกิน 1 วินาที
- เฉลี่ยแล้วโบรกเกอร์ทั่วไปจะประมาณ 100 มิลิวินาที เพียงแค่ คลิกเดียว
- การดำเนินการที่รวดเร็วช่วยลดการเกิด Slippage (การเทรดไม่ตรงราคาที่ต้องการ)
- โบรกเกอร์ไหนที่เกิด Slippage บ่อย ๆ มองไว้เลยว่าสภาพคล่อง หรือ ระบบเทรดไม่ค่อยสวย
- โดยรวมข้อความข้างต้นนี้จะถูกเรียกว่าความลื่นไหลในการเทรด เพราะนี่คือสิ่งสำคัญ การซื้อ-ขาย ความเร็วควรตอบโจทย์เรื่องนี้
เลือกโบรกเกอร์ที่มีการตอบคำถามที่ดี
- ความรวดเร็วในการตอบคำถาม และ ความรู้ของ ทีมงานซัพพอร์ต ควรมาเป็นอันดับ 1
- ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว ชัดเจน ไม่คลุมเครือ
- มีภาษาไทย หรือ เจ้าหน้าที่คนไทยให้บริการจะดีมาก เพราะจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่าพวก AI หรือ Chat bot
- โดยส่วนตัวเคยคุยกับ AI จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อสาร และ ค่อนข้างน่าหงุดหงิดสำหรับคำตอบเดิม ๆ ด้วย
ความน่าเชื่อถือและใบอนุญาต
- อายุของการให้บริการในแต่ละโบรกเกอร์ ควรเน้นไปที่ 5-10 ปี ขึ้นไป
- มีใบอนุญาต การจดทะเบียนที่ชัดเจน และ ตรวจสอบได้
- License ควรอยู่ในหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ตัวอย่างเช่น
- เราสามารถตรวจสอบใบอนุญาตเหล่านี้ได้จากการสอบถาม ซัพพอร์ต หรือ บางโบรกเกอร์จะมีโชว์ที่หน้าเว็บไซต์เลย
- ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์สำคัญต่อความปลอดภัยในการฝากและถอนเงิน อีกทั้งความเชื่อใจอื่น ๆ ด้วย
รูปที่ 5: อธิบายถึง License ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ จะได้รับการรับรองจากองค์กรชั้นนำ ดังภาพ ซึ่งถูกจัดอันดับความเข้มงวดเอาไว้ 3 ระดับ
แพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานง่าย
- แอพพลิเคชั่นประจำโบรกเกอร์นั้น ๆ ใช้งานง่าย
- เปิดบัญชีง่าย
- ฝากเงิน / ถอน / โอน
- ใช้งานฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเทรด
- รองรับแพลตฟอร์มเทรดหลายแบบ เช่น Meta Trader 4 กับ Meta Trader 5 ซึ่งอยู่ในความถนัดของเทรดเดอร์เหล่านั้น
- รองรับการเทรดในหลายอุปกรณ์ ทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ แน่นอนว่ายุคนี้ถนันดในโทรศัพท์มากกว่า
- ปัจจุบันหลายคนเทรดผ่าน TradingView ซึ่งมี Indicators เยอะมาก และ สามารถมองภาพกราฟราคาได้ชัดเจนกว่า
การฝากและถอนเงินที่สะดวก
- แนะนำว่าให้เลือกโบรกเกอร์ที่มีการฝากเงินที่ง่าย และ ไม่เก็บค่าธรรมเนียม
- ฝากผ่าน QR Code ในปัจจุบันหลายโบรกเกอร์แนะนำช่องทางนี้ครับ ซึ่งสะดวก รวดเร็ว
- การฝากผ่านบัตรเครดิต หรือ เหรียญคริปโต ก็สามารถทำได้ แต่จะเหมาะกับคนเฉพาะกลุ่ม
- การถอนเงินต้องรวดเร็ว ไม่มีค่าธรรมเนียม ถอน 100 บาท ควรได้ 99 บาท หรือ 100 บาทเต็มจำนวน
- ไม่ซับซ้อนในการถอน เช่น ขอยืนยันหลายอย่าง หรือ รอนาน 2-3 วัน
- โบรกเกอร์ยุคใหม่ ถอนเงินไม่เกิน 2 นาที นานสุดไม่เกิน 1 วัน (หากข้อมูลไม่ผิดพลาดนะครับ)
รีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้จริง
- คนที่เคยเจ็บมาก่อน มักจะมารีวิวผ่านกลุ่ม Facebook การเทรดทองคำ ซึ่งเราจะพบเจอข้อเท็จจริง และ การใส่ร้ายต่าง ๆ มากมาย สามารถพิจารณาดูได้
- อ่านจากเว็บไซต์รีวิวโบรกเกอร์ในประเทศไทย ที่ครบครัน อ่านง่าย
รูปที่ 6: อธิบายถึงการจัดอันดับของเว็บ Thaibrokerforex.com เกี่ยวกับ โบรกเกอร์ที่เทรดทองดีที่สุด
สรุป Part 2 เลือกโบรกเกอร์ และ บัญชีเทรดที่ดีที่สุดของการเทรดทองคำ
- เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับการเทรดทองคำ เป็นสิ่งที่มืออาชีพกับความถนัดในการเทรดผลิตภัณฑ์นี้ต้องรู้
- สิ่งที่ต้องดูคือ Spread, Commission และ Swap 3 ตัวนี้ เป็นต้นทุนหลักในการเทรด
- ค่า Swap เป็นต้นทุนแฝงในการเทรด แต่การถือยาว ๆ อาจจะไม่เหมาะสำหรับ การเทรดทอง เพราะราคาผันผวนมาก ควรทำกำไรจากการเทรดแบบ Scalping และ Day Trading จะดีกว่า
- Leverage ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะเงินน้อยก็ออกออเดอร์ได้
- แต่ช่วงผันผวนรุนแรง โบรกเกอร์จะลดเลเวอเรจเพื่อป้องกันความเสี่ยง
- Stop Out มักจะเรียกเป็น เปอร์เซ็นต์พอร์ตแตก ยิ่งมี % น้อยยิ่งดี เพราะยิ่งทำให้ทนการลากของทองได้มากขึ้น (Stop Out % กับ Margin Level คือค่าเดียวกัน)
PART 3 –
การวิเคราะห์ทางเทคนิค แบบขั้นเซียน
- เส้นทางของมืออาชีพควรเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค
- เรียนรู้พฤติกรรมของราคา Price Action / Price Pattern คือ อาวุธในการเทรดที่ดีที่สุด
- การวิเคราะห์มีหลายสูตร หลายเทคนิค แล้วแต่เทรดเดอร์จะเลือกใช้เพื่อความถนัด
- ใช้เครื่องมือชี้วัด หรือ Indicators ร่วมด้วยเพื่อความเหมาะสม
- เลือกใช้กลยุทธ์ตามสไตล์การเทรดของแต่ละคน
แนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ราคาคือทุกสิ่ง
- ราคาในอดีตสะท้อนถึงข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด
- ข่าวสาร
- สภาพเศรษฐกิจ
- และอารมณ์ของนักลงทุน
- ราคาเคลื่อนที่ในแนวโน้ม
- ราคามีแนวโน้มที่เคลื่อนที่ในทิศทางที่ต่อเนื่อง
- โดยส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มที่สามารถทำนายได้
- แนวโน้มขึ้น
- แนวโน้มลง
- ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
- แนวโน้มในอดีตมักจะเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ซึ่งทำให้กราฟราคาเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำนายราคา
- นักเทรดจะทำนายการเคลื่อนไหวของกราฟ จากราคาในอดีต “ราคาเคยมาจุดนี้ ยังไงก็จะต้องปรับตัวขึ้นไปสู่จุดเดิมซ้ำ”
- ราคาในอดีตสะท้อนถึงข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด
การระบุแนวโน้ม บอกถึงการใช้กราฟเป็น
กราฟราคาจะมีแนวโน้มบอก แต่นักเทรดจะต้องมองให้ออกว่า กราฟอยู่ในทิศทางใด สิ่งนี้เรียกว่า เทรนด์ โดยจะมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
- แนวโน้มขึ้น (Uptrend)
- ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher Highs) และจุดต่ำสุดใหม่ (Higher Lows)
- แนวโน้มลง (Downtrend)
- ราคาทำจุดสูงสุดต่ำกว่าเดิม (Lower Highs) และจุดต่ำสุดต่ำกว่าเดิม (Lower Lows)
- แนวโน้มข้างเคียง (Sideways/Consolidation)
- ราคาเคลื่อนที่ในช่วงแคบๆ ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
รูปที่ 7: อธิบายถึงเทรนด์ขาขึ้นของกราฟทองคำ มีจุด Fake Out ให้เห็น หากตีเส้นจะเห็นว่ากราฟกำลังเป็นเทรนด์ขึ้น สื่อให้เห็นว่าอารมณ์ของนักลงทุนอยู่ในฝั่ง Buy จะได้เปรียบกว่า
เครื่องมือวิเคราะห์พื้นฐาน
- เส้นแนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance)
- แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่ตลาดไม่สามารถลดลงไปได้ต่ำกว่า ซึ่งจะมีผู้ซื้อเข้ามารับราคา
- แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่ตลาดไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้สูงกว่า ซึ่งจะมีผู้ขายเข้ามากดราคา
- การวาดเส้นแนวรับและแนวต้านสามารถช่วยให้คุณมองเห็นจุดที่ราคามีโอกาสที่จะกลับตัว
- เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)
- SMA (Simple Moving Average)
- คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาปิดในช่วงเวลาหนึ่ง
- EMA (Exponential Moving Average)
- ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่าค่าเฉลี่ยแบบธรรมดา
- การใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการหาจุดเข้าซื้อหรือขาย
- SMA (Simple Moving Average)
รูปที่ 8: อธิบายถึงเทรนด์ขาขึ้นของกราฟทองคำ มีจุด Fake Out ให้เห็น หากตีเส้นจะเห็นว่ากราฟกำลังเป็นเทรนด์ขึ้น สื่อให้เห็นจุดหลอกของกราฟ และ จุดที่ Breakout หลุดกรอบ
การใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Indicators)
มีอินดิเคเตอร์มากมายในการเทรด Forex แต่สำหรับทองคำแล้ว มีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มของการเทรดได้ดังต่อไปนี้
- MACD (Moving Average Convergence Divergence)
- ใช้เพื่อหาจุดเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มระหว่างการเคลื่อนที่ของสองเส้นค่าเฉลี่ย (12 วันและ 26 วัน)
- เมื่อเส้น MACD ตัดผ่านเส้น Signal เป็นสัญญาณการซื้อ (Bullish Crossover) หรือขาย (Bearish Crossover)
- RSI (Relative Strength Index)
- เป็นตัวชี้วัดที่วัดแรงซื้อและขายของตลาดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- RSI ที่สูงกว่า 70 แสดงถึงสภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และต่ำกว่า 30 แสดงถึงสภาวะ Oversold (ขายมากเกินไป)
- Bollinger Bands
- ใช้ในการวิเคราะห์ความผันผวนของราคา เส้นบนและล่างแสดงขอบเขตของราคาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
- เมื่อราคาทะลุเส้นบนหรือเส้นล่าง บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
- Stochastic Oscillator
- วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาภายในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเปรียบเทียบราคาปิดกับช่วงราคาของสินทรัพย์ในระยะเวลานั้น
- ค่าต่ำกว่า 20 คือ Oversold และสูงกว่า 80 คือ Overbought
การใช้รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
- รูปแบบกราฟทางเทคนิค (Chart Patterns) คือรูปแบบที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาบนกราฟ
- รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns)
- Head and Shoulders
- Double Top
- Double Bottom
- รูปแบบการดำเนินการต่อเนื่อง เช่น
- Triangles
- Flags
- Pennants
- Head and Shoulders เป็นรูปแบบการกลับตัวจากแนวโน้มขึ้นไปลงหรือจากแนวโน้มลงไปขึ้น
- Double Top/Double Bottom ใช้ในการคาดการณ์การกลับตัวของราคาหลังจากที่ทดสอบระดับแนวต้านหรือแนวรับสองครั้ง
- รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns)
รูปที่ 9: อธิบายถึงวิธีการเรียกใช้ Indicators ในการช่วยวิเคราะห์กราฟ
การอ่านปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)
- ปริมาณการซื้อขายมีบทบาทสำคัญในการยืนยันสัญญาณจากกราฟราคา
- เพิ่มปริมาณการซื้อขาย: เมื่อมีการเคลื่อนที่ของราคาในทิศทางที่แข็งแกร่ง
- ลดปริมาณการซื้อขาย: อาจเป็นสัญญาณของการพักตัวหรือการพลิกกลับ
ตัวอย่างเช่น เมื่อกราฟเทขายลงมา ณ จุดหนึ่ง แต่ไม่สามารถผ่านแนวรับของจุดนี้ได้ ก่อนที่จะเริ่มมีสัญญาณในการซื้อขึ้น แรงขายลดลง แรงซื้อขึ้นมากขึ้น
การกำหนดจุดเข้าออก (Entry and Exit)
- จุดเข้า (Entry Point)
- ใช้แนวโน้ม
- รูปแบบกราฟ
- ตัวชี้วัด
- สัญญาณจากเส้นแนวรับและแนวต้านในการตัดสินใจเปิดตำแหน่ง เข้าซื้อ-ขาย
- จุดออก (Exit Point)
- กำหนดจุดที่ทำกำไรและจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการขาดทุน
รูปที่ 9: อธิบายถึงการเกิด Engulfing แท่งกลืนกิน ทำให้มองหาจุดเข้า Buy ได้ เพราะหมดแรงขาลงเรียบร้อยแล้ว แต่ก็จะมีโซนอันตรายที่กราฟอาจจะวิ่งไปไม่ถึงแล้วลงต่อ (จุดนี้นักเทรดสามารถเอา SL มากันหน้าทุนไว้ได้เพื่อป้องกันความเสี่ยง)
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
- เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ยังต้องบอกว่า เหมาะสำหรับ มือใหม่ และ มืออาชีพ
- การตั้ง Stop Loss และ Take Profit ในการเทรดเพื่อรักษาความเสี่ยง
- ใช้ Position Sizing เพื่อจัดการขนาดของการลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- การใช้ Risk/Reward Ratio
- 1:2 หรือ 1:3 (เสียไป 1 ได้ 2 หรือ เสียไป 1 ได้ 3) เพื่อให้การเทรดมีความเสี่ยงที่คุ้มค่า
สรุป Part 3 การวิเคราะห์ทางเทคนิค แบบขั้นเซียน
- ราคา คือ “อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต” สะท้อนทุกสิ่งในตลาด
- แนวโน้ม (Trend) คือ “ขุนพล” นำทัพ, Higher Highs และ Lower Lows คือ “ทหาร” เดินตาม “ธง” แห่ง Chart Patterns เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom
- Indicator เช่น MA, MACD, RSI, Bollinger Bands ช่วยมองหา “จังหวะ” เข้า/ออก ได้ดี
- Volume คือ พลังขับเคลื่อน ยืนยันสัญญาณ “ไปต่อ” หรือ “พอแค่นี้”
- Risk Management เช่น Stop Loss, Take Profit, Position Sizing, Risk/Reward Ratio คือ “ยุทธศาสตร์” สู่ชัยชนะ
- Price Action คือ ศิลปะการอ่านใจตลาด
- จิตวิทยา (Trading Psychology) คือ สติ นำพาสู่ความ “ยั่งยืน”
PART 4 –
เลือกกลยุทธ์ในการเทรด ใช้ความถนัด
- Scalping: การเปิดและปิดตำแหน่งในระยะสั้นเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของราคา
- Day Trading: การเทรดภายในวันเดียวกัน โดยไม่ทิ้งตำแหน่งข้ามคืน
- Swing Trading: การถือสถานะในระยะยาวเพื่อจับการเคลื่อนไหวใหญ่ของราคา
รูปที่ 10: อธิบายถึงความถนัดในการเทรดของแต่ละคน และ กลยุทธ์การเข้าเทรดโดยใช้ Timeframe กรอบเวลาที่แตกต่างกัน
การเลือกความถนัดในการเทรด
- การเทรดระยะสั้น (Scalping)
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น เช่น 1-5 นาที
- ต้องการการติดตามตลาดที่ใกล้ชิดและสามารถตัดสินใจเร็ว
- ใช้กราฟระยะสั้น เช่น 1 นาที, 5 นาที, 15 นาที เพื่อหาจังหวะในการซื้อขาย
- ต้องมีสภาพจิตใจที่มั่นคงและสามารถรับความเสี่ยงได้สูง
- ข้อดี
- สามารถทำกำไรได้บ่อยจากการเคลื่อนไหวที่เล็ก ๆ
- ข้อเสีย
- มีความเสี่ยงสูง และอาจมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายมาก อาจจะไม่คุ้ม
- การเทรดสั้นหากเป็นคนใจร้อน อาจจะเสียสมาธิได้ ต้องมีวินัยมาก ๆ
- การเทรดระยะกลาง (Day Trading)
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่สามารถติดตามตลาดตลอดทั้งวัน โดยไม่ทิ้งตำแหน่งข้ามวัน
- ใช้กราฟระยะกลาง เช่น 1 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง เพื่อจับจังหวะการเคลื่อนไหวระหว่างวัน
- ต้องการการวิเคราะห์ที่รวดเร็วและใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ เช่น RSI, MACD, และ Moving Averages
- ข้อดี
- ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงข้ามคืน
- ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาและความตั้งใจในการติดตามตลาดตลอดทั้งวัน
- การเทรดระยะยาว (Swing Trading)
- เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถทิ้งตำแหน่งไว้หลายวันหรือหลายสัปดาห์ เพื่อรอการเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญ
- ใช้กราฟระยะกลางถึงยาว เช่น 1 วัน, 1 สัปดาห์ เพื่อหาจังหวะที่มีความผันผวนสูง
- อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) และเครื่องมือวิเคราะห์อย่าง Bollinger Bands และ Fibonacci Retracements
- ข้อดี
- สามารถจับจังหวะการเคลื่อนไหวใหญ่ได้
- ข้อเสีย
- ต้องอดทนและมีความเสี่ยงจากการพลิกกลับของตลาดในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึง
- การเทรดระยะยาว (Position Trading)
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่ไม่ต้องการติดตามตลาดทุกวันและยึดการวิเคราะห์ในระยะยาว
- ใช้กราฟระยะยาว เช่น 1 สัปดาห์, 1 เดือน หรือมากกว่านั้น
- อาศัยการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เช่น ข่าวเศรษฐกิจ, ผลประกอบการของบริษัท, และแนวโน้มของตลาด
- ข้อดี
- สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ใหญ่ได้
- ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาในการติดตามผลและอาจจะต้องใช้เงินทุนมากขึ้น
รูปที่ 11: อธิบายการเคลื่อนไหวของราคาตลาด SIDE WAY ที่เหมาะสำหรับคนชอบเทรดสั้น ๆ เพราะราคาไม่ไปไหน สายเก็บสั้นจะได้เปรียบมาก
การเลือกกลยุทธ์การเทรดตามความถนัด
- กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following)
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่ถนัดในการจับจังหวะตามทิศทางของตลาด เช่น ขึ้นหรือลง
- ใช้เครื่องมือเช่น Moving Averages หรือ trend lines ในการหาจุดเข้าและออก
- วิธีการเทรด
- เทรดเมื่อราคาทำ Higher Highs หรือ Lower Lows ตามทิศทางของแนวโน้ม
- ข้อดี
- สามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวใหญ่ในตลาด
- ข้อเสีย
- อาจเสี่ยงในช่วงที่ตลาดเป็น Sideways หรือไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน
- กลยุทธ์การเทรดตามการกลับตัว (Reversal Trading)
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่ถนัดในการมองหาจุดพลิกกลับของราคาจากแนวโน้มเดิม
- ใช้เครื่องมือ เช่น รูปแบบกราฟ Head and Shoulders, Double Top/Bottom หรือการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัดเช่น RSI หรือ MACD
- วิธีการเทรด
- คอยสังเกตสัญญาณของการกลับตัว เช่น เมื่อราคาทำ High ที่ต่ำกว่าหรือ Low ที่สูงกว่าเดิม
- ข้อดี
- สามารถทำกำไรจากการพลิกกลับของตลาดได้
- ข้อเสีย
- เสี่ยงหากไม่สามารถระบุจุดกลับตัวได้แม่นยำ
- กลยุทธ์การเทรดในกรอบ (Range Trading)
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่ถนัดในการเทรดในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Sideways Market)
- ใช้เครื่องมือเช่น Support & Resistance และ Oscillators เช่น Stochastic หรือ RSI
- วิธีการเทรด
- ซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน
- ข้อดี
- เหมาะกับตลาดที่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและไม่ผันผวนมาก
- ข้อเสีย
- อาจจะเสี่ยงหากตลาดทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
สรุป Part 4 เลือกกลยุทธ์ในการเทรด ใช้ความถนัด
- นักเทรดทองคำ ต้องเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์ของตัวเองมากที่สุด เพื่อโอกาสในการสร้างกำไร
- หากต้องการเป็นมืออาชีพ ต้องมีแผนการเทรดอยู่ในมือ ทำตามให้ได้ ใช้วินัยค่อยข้างสูง
- ยอมรับความเสี่ยงต่อแผนที่ตนเองใช้ให้เป็น แล้วคุณจะรอด เพราะยังมีเงินทุนเหลือในการสร้างกำไร
- คุณต้องเลือก ว่าคุณจะเป็นสายเทรดแบบสั้น ระยะกลาง หรือ ระยะยาว
- การเทรด XAU/USD นั้น “จังหวะ” คือหัวใจสำคัญ เลือก “กลยุทธ์” ให้เหมาะสมกับ “สไตล์” และ “เวลา” ของคุณ
PART 5 –
ทดสอบแผน ทำการ Backtest และ เก็บสถิติเทรด
- ก่อนเริ่มใช้แผนจริง ควรเริ่มต้นด้วยบัญชี Demo จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการเทรด
- วิเคราะห์ทางเทคนิค ทดสอบเทรด โดยไม่ต้องเสียเงินทุนจริง
- Backtest ทดสอบกลยุทธ์การเทรดในอดีตโดยการใช้ข้อมูลตลาดย้อนหลัง (Historical Data) เพื่อดูว่าแนวทางการเทรดจะทำงานอย่างไรหากได้ทำการเทรดในช่วงเวลาก่อนหน้านี้
การฝึกฝนในบัญชีเดโม (Demo Account)
วิธีการทดสอบ
- สมัครบัญชีเดโม
- เปิดบัญชีเดโมกับโบรกเกอร์ที่คุณเลือก โดยโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีการให้บริการบัญชีเดโมฟรี
- เลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์ที่จะเทรด
- เลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์ที่คุณต้องการฝึกฝน เช่น Forex, หุ้น, หรือ ทองคำ
- ทดลองกลยุทธ์
- ใช้บัญชีเดโมเพื่อทดลองกลยุทธ์ต่างๆ ที่คุณต้องการเรียนรู้
- กลยุทธ์การเทรดระยะสั้น (Scalping)
- กลยุทธ์การเทรดระยะกลาง (Day Trading)
- กลยุทธ์การเทรดระยะยาว (Swing Trading)
- ทำการฝึกฝนหลายๆ ครั้ง
- ใช้เวลาฝึกฝนจนกว่าคุณจะคุ้นเคยกับการใช้กลยุทธ์และเครื่องมือทางเทคนิค
- อินดิเคเตอร์ (Indicators)
- การอ่านกราฟ
- และการจัดการเงิน (ให้คิดซะว่าเป็นเงินของเราจริง ๆ ถึงแม้อารมณ์จะไม่เหมือน)
- ปรับปรุงความมั่นใจ
- การฝึกฝนในบัญชีเดโมจะช่วยให้คุณสร้างความมั่นใจและทำความเข้าใจกับสภาพตลาดที่ไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
- ใช้เวลาฝึกฝนจนกว่าคุณจะคุ้นเคยกับการใช้กลยุทธ์และเครื่องมือทางเทคนิค
- ใช้บัญชีเดโมเพื่อทดลองกลยุทธ์ต่างๆ ที่คุณต้องการเรียนรู้
ข้อดี
- ไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
- สามารถฝึกฝนได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียเงิน
- เรียนรู้การใช้แพลตฟอร์มเทรด
- ช่วยให้คุณเข้าใจการใช้งานแพลตฟอร์มเทรด
- MetaTrader 4, MetaTrader 5 หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ของโบรกเกอร์
- ทดลองกลยุทธ์
- ช่วยทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ ก่อนนำไปใช้ในการเทรดจริง
ข้อเสีย
- ไม่มีอารมณ์ที่เหมือนจริง
- การเทรดในบัญชีเดโมไม่สามารถจำลองความรู้สึกในการเสี่ยงเงินจริงได้
- ดังนั้นการตัดสินใจอาจไม่เหมือนกับการเทรดในตลาดจริง
- สภาพตลาดไม่เหมือนจริง
- แม้ว่าคุณจะฝึกฝนในสภาวะตลาดจริง
- แต่บางครั้งความผันผวนของตลาดหรือสภาวะทางจิตใจในการเทรดจริงอาจมีผลต่อผลลัพธ์
แบล็คเทส (Backtesting)
- การแบล็คเทสคือกระบวนการทดสอบกลยุทธ์การเทรดในอดีตโดยการใช้ข้อมูลตลาดย้อนหลัง (Historical Data)
- เพื่อดูว่าแนวทางการเทรดของเรา จะทำงานอย่างไรหากได้ทำการเทรดในช่วงเวลาก่อนหน้านี้
วิธีการทดสอบ
- เลือกกลยุทธ์การเทรด
- เลือกกลยุทธ์ที่คุณต้องการทดสอบ
- กลยุทธ์การตามแนวโน้ม (Trend Following)
- การเทรดในกรอบ (Range Trading)
- หาข้อมูลตลาดย้อนหลัง
- ใช้ข้อมูลราคาที่ย้อนหลังเพื่อจำลองการเทรดในช่วงเวลาที่กำหนด โดยสามารถเลือกดูข้อมูลราคาของสินทรัพย์ที่คุณต้องการทดสอบ
- ราคาหุ้น
- คู่เงิน
- ทองคำ
- ใช้ซอฟต์แวร์แบล็คเทส
- มีซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือมากมายที่สามารถใช้ในการแบล็คเทส
- MetaTrader 5 หรือ TradingView หรือโปรแกรมแบล็คเทสเชิงพาณิชย์อื่นๆ
- ใน MetaTrader 4/5: ใช้ฟังก์ชัน Strategy Tester เพื่อทดสอบกลยุทธ์ที่คุณสร้างขึ้นบนกราฟย้อนหลัง
- ใน TradingView: ใช้ฟีเจอร์ Pine Script เพื่อเขียนสคริปต์และทดสอบกลยุทธ์ในกราฟย้อนหลัง
- ตั้งค่าตัวแปรการทดสอบ
- กำหนดการตั้งค่าต่างๆ
- ขนาดตำแหน่ง (Position Size)
- จุดเข้าและออก
- และการใช้ Stop Loss/Take Profit
- วิเคราะห์ผลลัพธ์
- ตรวจสอบผลลัพธ์จากการทดสอบและประเมินว่ากลยุทธ์ของคุณได้ผลหรือไม่
- ทำการปรับปรุงกลยุทธ์ถ้าจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยน
- กำหนดการตั้งค่าต่างๆ
- ใช้ข้อมูลราคาที่ย้อนหลังเพื่อจำลองการเทรดในช่วงเวลาที่กำหนด โดยสามารถเลือกดูข้อมูลราคาของสินทรัพย์ที่คุณต้องการทดสอบ
- เลือกกลยุทธ์ที่คุณต้องการทดสอบ
ข้อดี
- ประเมินกลยุทธ์ในอดีต
- ช่วยให้รู้ว่ากลยุทธ์มีประสิทธิภาพในสภาวะตลาดที่ต่างกัน
- ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
- หากผลลัพธ์จากการแบล็คเทสไม่ดี นักเทรดเองสามารถปรับแต่งกลยุทธ์ได้จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- เข้าใจการทำงานของกลยุทธ์
- การแบล็คเทสช่วยให้นักเทรดนั้น เข้าใจการทำงานของกลยุทธ์ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
ข้อเสีย
- ไม่สามารถจำลองสภาพตลาดที่ไม่คาดคิด
- การแบล็คเทสใช้ข้อมูลย้อนหลัง จึงไม่สามารถทำนายสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคตได้
- อาจมีความผิดพลาดในข้อมูล
- ข้อมูลย้อนหลังอาจไม่สมบูรณ์หรือมีข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของการแบล็คเทส (บางครั้งกราฟขาดหาย)
เก็บสถิติในการเทรด
- เพื่อให้ได้รู้ถึงอัตราการชนะ/แพ้ ในแต่ละ ออเดอร์ที่คุณได้ซื้อขาย
- อัตราการ TP ประจำวัน / สัปดาห์ / เดือน
- อัตราการ SL ประจำวัน / สัปดาห์ / เดือน
- นำอัตราการแพ้ ชนะ มาเปรียบเทียบว่ากลยุทธ์ในการเทรดของคุณเหมาะสมหรือไม่
- ถ้าอัตราการชนะเยอะ แสดงว่าได้ผลในตลาดช่วงนี้
- ถ้าอัตราการแพ้เยอะ แสดงว่าต้องปรับปรุงแก้ไข
- การเก็บสถิติจะบอกถึงความมีวินัย การเรียนรู้อยู่เสมอ
- นักเทรดอาจจะเก็บสถิติเป็นโปรแกรมจดบันทึก Excel ใช้สูตรง่าย ๆ ในการคำนวณ
- นักเทรดหลายคนนิยมใช้ Myfxbook ในการเก็บสถิติการเทรด
รูปที่ 12: คำพูดของ จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงิน ที่บอกว่า ไม่สำคัญเรื่องแพ้ชนะ แต่สำคัญที่การสูญเสีย หรือ การได้กำไรมากกว่า
สรุป Part 5 ทดสอบแผน ทำการ Backtest และ เก็บสถิติเทรด
- ก่อนเข้าสู่สนามจริง ควรทดสอบแผนในบัญชี Demo เพื่อสร้างความมั่นใจ
- ทดสอบการ Backtest ดู เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเทรด
- ต้องมีการเก็บสถิติการเทรด เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
คลิป
สำหรับในบทความนี้พวกเราก็ได้นำเสนอคลิปสอนการทำแบล็คเทส ที่เราเองทำได้ฟรี ซึ่งบอกเลยว่าเข้าใจง่ายมาก และ อีกหนึ่งคลิปคือการสอนดูแท่งเทียนแบบเข้าใจง่าย เพื่อความเข้าใจและสร้างกลยุทธ์ในการเทรดทอง มุ่งมั่นสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
- สอนวิธี Back Test ทำได้ฟรี !!!
- สอนดูแท่งเทียนแบบง่ายๆ รู้แล้วเก่งแน่นอน!! | สอนเล่นหุ้นมือใหม่ รวยหุ้นไม่ง้อเซียน EP.213
สรุป
การเทรด XAUUSD หรือ ทองคำ/ดอลลาร์สหรัฐ มักมีเรื่องราวให้น่าตกใจเสมอ เทคนิคพื้นฐานก็อาจจะไม่สามารถต้านทานแรงซื้อขายจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ได้ เช่น ข่าวการเมือง หรือ เศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ ดังนั้นการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์มืออาชีพประสบความสำเร็จในตลาดทองคำ Forex
อ้างอิง
- HMarkets, กลยุทธ์การซื้อขายทองคำ, https://hmarkets.com/th/blog/gold-trading-strategies/
- BabyPips, How to choose a forex broker, https://www.babypips.com/learn/forex/how-to-choose-forex-broker
- Investopedia, Trend analysis. Investopedia, https://www.investopedia.com/terms/t/trendanalysis.asp
- CMC Markets, Forex day trading guide, https://www.cmcmarkets.com/en/trading-guides/forex-day-trading
- MTrading, Forex backtesting: How to test your strategy, https://mtrading.com/education/articles/forex-basics/forex-back-testing