Rebate / Cashback คืออะไร?

  • คือ การคืนเงินบางส่วนจากค่าธรรมเนียมที่ลูกค้าจ่ายให้กับ โบรกเกอร์ หลังการเทรด
  • โดยทั่วไปจะคำนวณเป็น จำนวนเงินคงที่ต่อล็อตมาตรฐาน ที่เทรด (เช่น $2 ต่อล็อต) หรือคิดเป็น เปอร์เซ็นต์จากค่าสเปรดหรือคอมมิชชั่น ที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ
  • เงินคืนนี้อาจมาจาก โบรกเกอร์โดยตรง (บางกรณี) หรือที่พบบ่อยคือจ่ายผ่าน โปรแกรมพันธมิตร (IB) ซึ่ง IB จะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากโบรกเกอร์แล้วนำส่วนหนึ่งมาคืนให้ลูกค้าอีกที

ตัวอย่างเช่น 

  • คุณเปิดออเดอร์ 1 standard lot (100,000 หน่วย)
  • โบรกเกอร์คิดค่า สเปรด ประมาณ $7 ต่อ 1 ล็อต
  • หากคุณสมัครผ่านระบบ Rebate ที่ให้ คืน $2 ต่อล็อต
  • ไม่ว่าคุณจะเทรดได้กำไรหรือขาดทุน คุณจะได้เงินคืน $2 ทุกล็อต
  •  ถ้าใน 1 เดือนคุณเทรดไป 50 ล็อต รับเงินคืน = $100

ระบบ Rebate ทำงานอย่างไร?

1. ลูกค้าทำการเทรด

  • ลูกค้าทำการเปิดคำสั่งเข้าออเดอร์ (Order) กับโบรกเกอร์ใน ตลาดฟอเร็กซ์
  • ลูกค้าจะถูกคิดค่าธรรมเนียมในรูปแบบ สเปรด (spread) หรือ ค่าคอมมิชชั่น ต่อการเทรดหนึ่งล็อต

2. การคำนวณและจ่ายเงินคืน

  • เมื่อมีการเทรดเกิดขึ้น โบรกเกอร์จะทราบว่าบัญชีนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ IB หรือมีโปรแกรม Rebate โดยตรง
  • กรณีผ่าน IB (พบบ่อยที่สุด) → โบรกเกอร์จะจ่ายค่าคอมมิชชั่นส่วนหนึ่งให้กับ IB ตามปริมาณการเทรดของลูกค้า จากนั้น IB จะคำนวณ Rebate ตามอัตราที่ตกลงไว้ (เช่น $2 ต่อล็อต) และ จ่ายเงินคืนส่วนนี้ให้กับเทรดเดอร์ เป็นรอบๆ (เช่น รายสัปดาห์ หรือรายเดือน)
  • กรณีโบรกเกอร์จ่ายตรง → โบรกเกอร์จะคำนวณ Rebate ตามเงื่อนไขของโปรแกรม และคืนเงินเข้าบัญชีเทรดเดอร์โดยตรง

3. รูปแบบการคืนเงิน

  • Rebate จะถูกโอนเข้าบัญชีของลูกค้าในรูปแบบของเครดิตการเทรด, เงินสดที่ถอนได้ หรือบางครั้งอาจเป็น โบนัสสะสม ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข
  • ลูกค้าสามารถใช้ Rebate ที่ได้รับในการลดต้นทุนการเทรด หรือใช้ในการเทรดต่อไป (หากเป็นเครดิต) หรือถอนออกเป็นเงินสดได้ (หากเงื่อนไขอนุญาต)

ภาพอธิบายถึงการทำงานของ Rebate ที่เริ่มจากการเทรด ก็ได้เงินคืนแล้ว ซึ่งตรงนี้จะมีเงื่อนไขของโบรกเกอร์เป็นกติกา

ประเภทของ Rebate ที่พบบ่อย

  • Rebate แบบคงที่: คืนเงินเป็นจำนวนคงที่ต่อการเทรดหนึ่งล็อต เช่น คืน 2 ดอลลาร์สำหรับการเทรดหนึ่งล็อต
  • Rebate แบบเปอร์เซ็นต์: คืนเงินเป็นเปอร์เซ็นต์จากค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียมที่ลูกค้าจ่าย เช่น คืน 10% จากค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายไป

ตารางที่ 1 แสดงตัวเลข rebate “สูงสุด” ที่ IB ได้จากโบรก สำหรับบลูกค้าทั่วไปรับจริงอาจอยู่ที่ 50–80% ของยอดนี้ (ยอดอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างในปัจจุบัน)

โบรกเกอร์Rebate สูงสุด (ต่อ 1 Lot)เทรด 10 ล็อต ได้คืนสูงสุด
Exness$7–$15$150
HFM$6–$10$100
IC Markets$5–$10$100

ข้อดีของการรับ Rebate

1. เพิ่มกำไรโดยไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์

  • เทรดแบบเดิม แต่ได้เงินคืน
  • เหมาะกับสาย Scalping หรือเทรดบ่อย

2. เทรดขาดทุนแต่ยังมีรายได้

  • เช่น ขาดทุน -$20 แต่ได้ Rebate $10
    • ขาดทุนจริง = -$10

3. ลดต้นทุนสะสม

  • ค่าสเปรด/คอมมิชชั่นที่จ่ายไปจะถูกลดลงแบบอัตโนมัติ
  • เป็นวิธีลดต้นทุนแบบ Passive

4. รายได้เสริมสำหรับนักเทรด

  • บางคนเทรดด้วย ระบบ EA หรือ Copy Trade โดยเน้นที่ Volume ทำให้ Rebate กลายเป็นรายได้ประจำ

จะเริ่มรับ Rebate ได้อย่างไร?

1. เลือก IB ที่เชื่อถือได้

  • มีเว็บไซต์ชัดเจน
  • มีรีวิวหรือผู้ใช้งานจริง
  • ระบบ Rebate โปร่งใส ตรวจสอบได้

2. สมัครบัญชีผ่านลิงก์ของ IB นั้น

  • ห้ามเปิดบัญชีเอง เพราะจะไม่ผูกกับระบบ Rebate
  • บาง IB อาจให้ย้ายบัญชีเข้าได้ในภายหลัง

3. ยืนยันว่าบัญชีผูกกับระบบ Rebate แล้ว

  • ติดต่อทีมงาน IB เพื่อยืนยันสถานะ

4. เริ่มต้นเทรดตามปกติ แล้วรับเงินคืน

ตัวอย่างเช่น 

  • สมัครบัญชี IC Markets ผ่านลิงก์ IB
  • เทรด 20 ล็อตในสัปดาห์แรก
  • IB คืนเงินล็อตละ $1.5 จะได้รับ $30 เข้าบัญชีในวันจันทร์

ในกลุ่ม การพูดคุยของนักเทรด ก็จะมีเซลล์ หรือ เจ้าหน้าที่ของโบรกเกอร์มาหาลูกค้าและรวมตัวกันโฆษณาเกี่ยวกับ การต่อ IB หรือ แม้กระทั่งเรื่องลึก ๆ เช่น การเปิดเผยรายละเอียดของโบรกเกอร์ที่ตนเองสังกัด

ข้อควรระวังและสิ่งที่ต้องพิจารณา

เมื่อใช้ระบบ Rebate หรือ Cashback ในการเทรดฟอเร็กซ์ ควรพิจารณาและระวังข้อควรระวังดังต่อไปนี้

  • เงื่อนไขและข้อกำหนดที่ซับซ้อน
    • โบรกเกอร์หรือโปรแกรมพันธมิตรอาจมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน เช่น ข้อกำหนดในการเทรดขั้นต่ำ หรือปริมาณการเทรดที่ต้องถึงก่อนถึงจะได้รับ Rebate หรือ Cashback
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจเงื่อนไขทั้งหมดก่อนตัดสินใจเข้าร่วมโปรแกรม
  • โบรกเกอร์อาจเพิ่มค่าธรรมเนียมที่ซ่อนอยู่
    • บางโบรกเกอร์อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในรูปแบบอื่น เช่น ค่าสเปรด ที่สูงขึ้น เพื่อชดเชยกับ Rebate หรือ Cashback ที่คืนให้ลูกค้า
    • ตรวจสอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเทรด ไม่เพียงแค่ค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียมที่คืนเท่านั้น
  • ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์
    • บางครั้งโบรกเกอร์ที่ให้ Rebate หรือ Cashback อาจไม่มียอดการเงินหรือความน่าเชื่อถือสูงพอ ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    • สอบประวัติของโบรกเกอร์และอ่านความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริงเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือ
  • การพึ่งพา Rebate หรือ Cashback มากเกินไป
    • Rebate หรือ Cashback อาจไม่ใช่ปัจจัยหลักในการทำกำไรจากการเทรด ควรระวังไม่ให้การตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มถูกกระทบจากการได้รับ Rebate หรือ Cashback เพียงอย่างเดียว
    • เน้นการใช้กลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพเป็นหลัก
  • การติดตามและการถอนเงินคืน
    • บางครั้งการถอน Rebate หรือ Cashback อาจมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขในการถอน เช่น อาจต้องมียอดเทรดที่สูงก่อนถึงจะสามารถถอนเงินคืนได้
    • ควรตรวจสอบข้อกำหนดเกี่ยวกับการถอนเงินหรือเครดิตที่ได้รับจาก Rebate เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวัง
  • ความเสี่ยงจากการเทรดที่บ่อยขึ้น
    • หากได้รับ Rebate หรือ Cashback ที่สูงอาจทำให้คุณมีแรงจูงใจในการเทรดบ่อยขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
    • ควรรักษากลยุทธ์การเทรดที่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี และไม่ให้ความคุ้มค่าของ Rebate หรือ Cashback มาเป็นตัวกระตุ้นในการทำการเทรดโดยไม่มีการวางแผนที่ดี
  • ความแตกต่างของโปรแกรมพันธมิตร
    • โปรแกรมพันธมิตรที่เชื่อมโยงกับ Rebate หรือ Cashback อาจมีรูปแบบและข้อเสนอที่แตกต่างกันระหว่าง โบรกเกอร์ ควรเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและการคำนวณผลประโยชน์ให้ดี
    • บางโปรแกรมอาจมีการจ่าย Rebate หรือ Cashback ที่ไม่สม่ำเสมอหรือมีข้อกำหนดที่ยากเกินไป

สรุป

  • ระบบ Rebate เป็น ตัวช่วยสร้างรายได้เสริม สำหรับนักเทรดทุกระดับ 
  • คนที่เทรดบ่อย หรือใช้ EA/Copy Trade เพราะจะมีปริมาณ Volume สูง และสามารถสร้างรายได้ เพิ่มเติมหลายร้อยถึงหลายพันดอลลาร์/เดือน ได้ทันที โดยไม่ต้องเสี่ยงเพิ่ม
  • หากคุณเทรดกับโบรกเกอร์อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้รับ Rebate ควรพิจารณาเปลี่ยน IB หรือผูกบัญชีใหม่
  • อย่ามองว่า Rebate เป็นเรื่องเล็ก เพราะระยะยาวมันคือ “กำไรสะสม” ที่คุณอาจมองข้าม

อ้างอิง

FAQ – Rebate / Cashback คืออะไร? เพิ่มกำไรจากการเทรด โดยไม่ต้องเสี่ยงเพิ่ม

ทำได้และบางคนก็ทำจริง แต่ไม่แนะนำ! เพราะจริงอยู่ว่า Rebate คือเงินคืนจากการเปิดออเดอร์ ยิ่งเทรดมาก Lot มาก ก็ยิ่งได้เยอะ ไม่สนว่าจะได้หรือเสีย แต่อย่าลืมว่าต้นทุนเทรด ก็มีทั้งค่าสเปรด (หรือค่าคอมมิชชั่น) แถมอาจโดนค่าสวอปอีก ทำให้เทรดจริงจะกลายเป็นได้แต่ไม่คุ้มเสีย แถมถ้าโดนจับได้ ก็แถมด้วยข้อหา “Abusive Trading” ที่ทำให้ถูกตัดสิทธิ์ Rebate และแบนบัญชีอีกกระทง
อดได้ เพราะถ้าสมัครตรงกับโบรกเกอร์โดยไม่ใช้ลิงก์ของ Partner (IB) ระบบจะไม่รู้ว่าใครแนะนำคุณมา และที่โบรกฯให้ Rebate เฉพาะลูกค้าที่สมัครผ่าน IB เท่านั้น เพื่อเป็น “ค่าตอบแทน” ที่ IB ช่วยหาลูกค้า ถ้าสมัครตรงไปแล้ว แก้ไขย้อนหลังได้ยากมาก เพราะบัญชีจะ “ไม่มีเจ้าของ” ซึ่งบางโบรกอนุญาตให้ย้าย IB ได้ใน 30 วัน แต่หลาย ๆ โบรกฯไม่ให้เลย
IB (Introducing Broker) = คนหรือกลุ่มที่แนะนำคุณมาเทรดกับโบรกเกอร์
Rebate = เงินคืนที่ IB ได้จากโบรก แล้วแบ่งให้คุณ (ลูกค้า) อีกที
Cashback = เป็นคำที่กว้างกว่า หลาย ๆ คนใช้คำนี้แทน Rebate เลย (ทำให้เกิดความสับสน) แต่ cashback โยงไปเรื่องโบนัสเงินคืน โบนัสอื่นๆ จากโบรกเกอร์ได้ เช่น โบนัสเงินฝาก
แทบไม่มีข้อเสียตรง ๆ ถ้าเลือก IB ที่น่าเชื่อถือและโปร่งใส เพราะลูกค้าก็จะได้เงื่อนไขการเทรด (สเปรด, คอมมิชชั่น) เหมือนสมัครตรงกับโบรกเกอร์ แต่ได้ Rebate เพิ่มเติม แต่มีข้อควรระวัง คือ 1) ต้องแน่ใจว่า IB น่าเชื่อถือ ไม่ใช่ IB พาไปสมัครกับโบรกเกอร์เถื่อน 2) บางกรณีที่หายาก คือ IB ไปตกลงกับโบรกเกอร์ให้ลูกค้าได้สเปรดสูงกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อเพิ่มค่าคอมฯ ให้ IB (แต่ถือเป็นเคสแรร์ที่จะเจอ IB แบบนี้)
ขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ IB เจ้าไหน เพราะแต่ละ IB ให้ % ไม่เท่ากัน บางเจ้ากินคนเดียว บางเจ้าแบ่งให้ลูกค้าเยอะ นอกจากนี้ยังขึ้นกับประเภทบัญชี และคู่เงินที่เทรดด้วย

 

เขียนโดย

Poomipat Wonganun

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon