เคยสงสัยไหมว่า…”ทำไมบางครั้งกราฟดูเหมือนจะพุ่งขึ้นไปต่อ แต่กลับร่วงแบบไม่ทันตั้งตัว?” หรือ”ในขณะที่ราคากำลังตกอย่างต่อเนื่อง ทำไมบางอย่างในตลาดถึงแสดงต่างออกไป?” นี่แหละ คือช่วงเวลาที่ RSI Divergence กำลังบอกบางสิ่งที่กราฟราคาไม่พูดออกมาตรงๆ ดังนั้นเรามาดูกันครับว่า ตลาดแอบซ่อนอะไรอยู่ในกราฟ กับ ความลับของ RSI Divergence ที่จะมาปลดล็อคคำตอบนี้ให้คุณ
RSI และ Divergence เรื่องของเพื่อนซี้ที่ไม่ค่อยลงรอย
RSI ก็เป็นเหมือนอาวุธลับของนักเทรดที่มีประสบการณ์ มันไม่ได้บอกแค่ “แรงซื้อแรงขาย” แต่ยังเปิดเผยความไม่ลงรอยกันระหว่างพฤติกรรมของราคาและโมเมนตัมอีกด้วย ซึ่งเราเรียกว่า Divergence (ความแตกต่าง) และ Divergence นี้เองที่สามารถเป็นตัวช่วยชั้นยอดในการวางแผนเทรด หรือแม้กระทั่งช่วยปกป้องพอร์ตของคุณจากความเสี่ยงได้อีกด้วย
รูปที่ 1 ตัวอย่างการแสดงผลของ RSI (Relative Strength Index) บนแพลตฟอร์ม tradingview
RSI คืออะไร ?
ลองจินตนาการว่า RSI (Relative Strength Index) เป็นนักสืบที่คอยเฝ้าดูพฤติกรรมของตลาดตลอด 24 ชั่วโมง มันไม่ได้สนใจแค่ราคาวิ่งขึ้นลงเหมือนกราฟธรรมดา แต่ยังเจาะลึกไปถึง “แรง” ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวนั้น
RSI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 ซึ่งทำหน้าที่คล้ายตัวบอกอารมณ์ของตลาด
- ค่า 70 ขึ้นไป: ตลาดเริ่ม “ฮอต” จนอาจ Overbought (แรงซื้อมากเกินไป)
- ค่า 30 ลงมา: ตลาดอาจเย็นลงจน Oversold (แรงขายมากเกินไป)
แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าคุณคิดว่า RSI แค่นี้ก็เจ๋งแล้ว ยังมีสิ่งลึกซึ้งกว่าเดิมที่มันสามารถบอกได้ นั่นก็คือ “Divergence”
Divergence คืออะไร?
คิดง่ายๆ Divergence เกิดขึ้นเมื่อ “ราคาบอกไปทางหนึ่ง แต่ RSI บอกไปอีกทาง” เหมือนเพื่อนซี้ที่ไม่ค่อยลงรอยกัน
- ราคาทำตัวเหมือนดาราหน้าฉาก สวยงาม ดูดี แต่บางครั้งก็เก็บความลับไว้เบื้องหลัง
- RSI เป็นเหมือนผู้ช่วยเบื้องหลังที่คอยแอบกระซิบบอกคุณว่า “เอ๊ะ! อะไรบางอย่างดูไม่ถูกต้องนะ”
ตัวอย่างง่ายๆ
- ในขณะที่ราคากำลังพุ่งสูงขึ้น (Higher High) RSI กลับลดต่ำลง (Lower High) แบบนี้ชวนให้สงสัยว่าตลาดกำลังแกล้งทำตัวแข็งแรง แต่จริงๆ แล้วกำลังอ่อนล้านั่นเองครับ
Divergence เปรียบได้กับการส่งสัญญาณเตือนภัยเงียบๆ ว่า “ระวังนะ! มีอะไรบางอย่างผิดปกติในเบื้องหลังตลาดนี้”
2 ประเภทหลักของ RSI Divergence
RSI Divergence เป็นเหมือนนักสืบสองบุคลิกที่มีทั้งฝั่งที่ส่งเสียงเตือนชัดเจน และฝั่งที่ทำงานเงียบๆ เบื้องหลัง มาเริ่มรู้จักกับสองประเภทหลักนี้กันเลยครับ
รูปที่ 2 รูปภาพตัวอย่างข้อแตกต่างระหว่าง Regular Divergence กับ Hidden Divergence
Regular Divergence ตัวบอกสัญญาณกลับตัว
Regular Divergence เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยเตือนคุณว่า “อะไรบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป” แม้บางครั้งเราจะไม่เชื่อใจมัน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องยอมรับว่า มันพูดถูก
ลักษณะสำคัญ
- Bullish Divergence : ราคาทำ Lower Low แต่ RSI ทำ Higher Low
- Bearish Divergence : หรือในทางกลับกัน: ราคาทำ Higher High แต่ RSI ทำ Lower High
นี่เป็นสัญญาณว่าตลาดอาจกำลัง “หมดแรง” และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนทิศทาง
Hidden Divergence ตัวช่วยยืนยันแนวโน้ม
ถ้า Regular Divergence คือเพื่อนช่างพูด Hidden Divergence ก็คือ เพื่อนสายเงียบที่ทำงานปิดทองหลังพระ ไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่แอบกระซิบบอกว่า “แนวโน้มเดิมยังคงแข็งแรงอยู่นะ”
ลักษณะสำคัญ
- Hidden Bullish Divergence : ราคาทำ Higher Low แต่ RSI ทำ Lower Low
- Hidden Bearish Divergence : หรือในทางกลับกัน ราคาทำ Lower High แต่ RSI ทำ Higher High
นี่คือการยืนยันว่าแนวโน้มปัจจุบันยังแข็งแรงและสามารถไปต่อได้
ข้อดี-ข้อเสียของ RSI Divergence
รูปที่ 3 ภาพสำหรับการสรุปข้อดีและข้อเสียของ RSI Divergence
RSI Divergence เป็นเหมือนดาบสองคมที่มีทั้งพลังมหาศาลและข้อจำกัดที่ต้องระวัง มาเจาะลึกกันว่าข้อดีและข้อเสียของมันคืออะไร เพื่อที่คุณจะได้ใช้งานมันอย่างชาญฉลาด
ข้อดี
- “เหมือนสปายส่วนตัว เห็นสิ่งที่ตลาดส่วนใหญ่ไม่เห็น”
- Divergence สามารถเปิดเผยสัญญาณเตือนล่วงหน้า แม้ว่าราคาจะดูเหมือนกำลังไปต่อ แต่ RSI กลับบอกความลับในเบื้องหลังได้
- ใช้ง่ายและเหมาะสำหรับมือใหม่
- การใช้งาน RSI Divergence ไม่ซับซ้อน แค่สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างกราฟราคาและ RSI ก็เพียงพอสำหรับเริ่มต้น
- เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับมือใหม่ที่ต้องการฝึกการวิเคราะห์เชิงเทคนิค
ข้อเสีย
- อาจหลอกตาในบางกรณี
- Divergence ไม่ได้แม่นยำ 100% บางครั้งมันอาจส่งสัญญาณผิด หรือเกิด “False Signal”ได้ โดยเฉพาะในตลาดที่ไม่มีแน้วโน้ม หรือ Sideway
- ต้องการประสบการณ์ในการวิเคราะห์
- แม้จะใช้งานง่าย แต่การแปลความหมายที่ถูกต้องต้องอาศัยประสบการณ์ด้วย
- ต้องเข้าใจตลาดในภาพรวม เช่น แนวโน้มใหญ่ แนวรับ-แนวต้าน และ Volume ช่วยให้การใช้งาน Divergence มีประสิทธิภาพมากขึ้น
RSI Divergence ใช้ยังไงให้ปัง ไม่พังพอร์ต
RSI Divergence เป็นเครื่องมือทรงพลังที่สามารถช่วยคุณทำกำไรในตลาดได้ แต่การใช้ให้ได้ผล ต้องมีเทคนิคและการวางแผนที่เหมาะสม มาเริ่มกันเลยว่าใช้อย่างไรให้ปังและไม่ทำให้พอร์ตของคุณพัง
เลือก Timeframe ที่ใช่
การเลือก Timeframe ที่เหมาะสมสำหรับ RSI Divergence ก็เหมือนการเลือกมุมถ่ายรูปให้ดูดีที่สุด
- Timeframe ใหญ่ (เช่น 4 ชั่วโมง, 1 วัน): เห็นภาพรวมตลาด เหมือนการถ่ายวิวทั้งภูเขา
- Timeframe เล็ก (เช่น 5 นาที, 15 นาที): เห็นรายละเอียดจุดเล็กๆ เหมือนซูมดูใบไม้บนต้นไม้
คำแนะนำ
- ถ้าคุณต้องการเทรดยาวๆ ดู Timeframe ใหญ่เพื่อหาสัญญาณใหญ่
- ถ้าคุณต้องการเก็งกำไรเร็วๆ ใช้ Timeframe เล็ก…แต่ต้องระวังสัญญาณหลอกด้วย
เปรียบเทียบง่ายๆ
“การใช้ Timeframe ใหญ่คือการมองโลกกว้าง ในขณะที่ Timeframe เล็กช่วยให้คุณโฟกัสจุดสำคัญ อย่าลืมว่าทั้งสองมุมมองนั้นล้วนแล้วแต่สำคัญสำหรับการเทรด!”
ใช่คู่กับเครื่องมืออื่นจะช่วยเพิ่มความแม่นยำ
RSI Divergence แม้จะเก่ง แต่การใช้เพียงตัวเดียวอาจยังไม่พอ ลองจับคู่มันกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น
- MACD (Moving Average Convergence Divergence) ช่วยยืนยันความแข็งแรงของแนวโน้ม
- แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance) ช่วยหาจุดเข้าออกที่แม่นยำหรือจะใช้ในด้านอื่นๆก็ได้มากมายว่ากันไป
ตัวอย่าง
- สัญญาณ RSI Divergence ที่เกิดใกล้แนวรับ-แนวต้านสำคัญ อาจเป็นโอกาสในการเข้าเทรด
- ใช้ MACD เพื่อยืนยันสัญญาณ RSI ว่าไม่ใช่สัญญาณหลอกนะ
อธิบายง่ายๆ
“ใช้ RSI คู่กับตัวช่วยอื่น เหมือนกินข้าวเหนียวมะม่วง ทั้งสองอย่างต้องมาคู่กันถึงจะอร่อย!”
อย่าลืม Stop Loss
ไม่มีใครแม่นยำ 100% ในตลาด ดังนั้น Stop Loss คือเพื่อนแท้ที่คุณต้องพกติดตัวเสมอ
เล่าเรื่องถึงความสำคัญของ SL
“ถ้าพลาดก็แค่เสียเล็กน้อย ไม่ใช่ทั้งพอร์ต เพราะ Stop Loss จะช่วยปกป้องคุณจากการขาดทุนหนักได้ยังไงล่ะ!”
คำแนะนำ
- ตั้ง Stop Loss ที่จุดต่ำกว่าหรือสูงกว่าระดับแนวรับ-แนวต้านเล็กน้อย เพื่อป้องกันความผันผวน
- อย่าเปลี่ยน Stop Loss ระหว่างการเทรดเพียงเพราะอารมณ์นะจ๊ะ
สรุป
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ทุกแง่มุมของ RSI Divergence ตั้งแต่มันคืออะไร วิธีการทำงาน ไปจนถึงข้อดี-ข้อเสีย สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ มันไม่ได้เป็นแค่ตัวชี้วัดธรรมดา แต่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทในตลาดที่พร้อมจะช่วยคุณตัดสินใจได้อย่างประสิทธิภาพเช่น
- ถ้าใช้งานถูกต้อง RSI Divergence จะกลายเป็นเพื่อนแท้ที่ช่วยให้คุณมองเห็นสิ่งที่ตลาดส่วนใหญ่มองไม่เห็น
- แต่ถ้าประมาท มันอาจทำให้คุณหลงทางได้เช่นกัน
ดังนั้น การฝึกฝนและการวางแผนที่ดีจะช่วยให้คุณเปลี่ยน RSI Divergence จากเครื่องมือธรรมดาให้กลายเป็นอาวุธลับในการเทรดของคุณได้ “อย่ากลัว Divergence เพราะเมื่อคุณเข้าใจ มันจะเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมในตลาดได้อย่างน่าอัศจรรย์!”