Slippage คืออะไรในตลาด Forex
มาถึงเรื่องของ Slippage ในตลาด Forex เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร และส่งผลต่อการเทรดของเราอย่างไร เอาล่ะ! มาเริ่มกันเลยดีกว่า
Slippage คืออะไร?
Slippage หรือที่เรียกว่า “การคลาดเคลื่อนของราคา” ในภาษาไทย คือ ความแตกต่างระหว่างราคาที่เราคาดหวังจะซื้อหรือขายในตลาด Forex กับราคาที่เราได้ซื้อหรือขายจริง ๆ ในตลาด
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินยูโร (EUR/USD) ที่ราคา 1.2000 แต่พอกดส่งคำสั่งซื้อ ปรากฏว่าราคาที่คุณได้ซื้อจริง ๆ คือ 1.2005 นี่แหละ คือ Slippage ที่ว่า!
ทำไม Slippage ถึงเกิดขึ้น?
- ความผันผวนของตลาด: ตลาด Forex เคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง และบางครั้งราคาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวสำคัญออกมา
- สภาพคล่องของตลาด: ในช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ เช่น ช่วงกลางคืนหรือวันหยุด อาจทำให้เกิด Slippage ได้ง่ายขึ้น
- ความเร็วในการส่งคำสั่ง: ถ้าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณช้า หรือแพลตฟอร์มการเทรดทำงานไม่เร็วพอ ก็อาจทำให้เกิด Slippage ได้
- ประเภทของคำสั่งซื้อขาย: คำสั่งประเภท Market Order มีโอกาสเกิด Slippage มากกว่าคำสั่งประเภท Limit Order
Slippage มีกี่ประเภท?
เราสามารถแบ่ง Slippage ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- ประเภทที่ 1 คือ Positive Slippage: เกิดขึ้นเมื่อเราได้ราคาที่ดีกว่าที่คาดหวังไว้ เช่น ตั้งใจจะซื้อที่ 2000 แต่ได้ซื้อที่ 1.1995 ทำให้เราได้ราคาที่ถูกกว่า
- ประเภทที่ 2 คือ Negative Slippage: เกิดขึ้นเมื่อเราได้ราคาที่แย่กว่าที่คาดหวังไว้ เช่น ตั้งใจจะขายที่ 2000 แต่ขายได้ที่ 1.1995 ทำให้เราขายได้ราคาที่ต่ำกว่า
ผลกระทบของ Slippage ต่อการเทรด Forex
Slippage อาจส่งผลกระทบต่อการเทรดของเราได้หลายด้าน ประกอบด้วย
- กำไร/ขาดทุน: Slippage อาจทำให้กำไรของเราลดลงหรือขาดทุนมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเราเทรดด้วยปริมาณเงินที่สูง
- การทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็ก ๆ (Scalping): สำหรับนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์ Scalping Slippage อาจทำให้กำไรหายไปทั้งหมดเลยก็ได้
- การทดสอบระบบเทรด: Slippage อาจทำให้ผลการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) ของระบบเทรดอัตโนมัติคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้
- ความเครียดและอารมณ์: การเจอ Slippage บ่อย ๆ อาจทำให้นักเทรดเกิดความเครียดและตัดสินใจผิดพลาดได้
ตัวอย่างของ Slippage ในสถานการณ์จริง
ลองมาดูตัวอย่างกันครับว่า Slippage เกิดขึ้นได้อย่างไรในสถานการณ์จริง:
- การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll): สมมติว่าคุณกำลังเทรดคู่เงิน EUR/USD และมีการประกาศตัวเลข NFP ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณตั้งคำสั่งขาย Stop Loss ไว้ที่ 2000 แต่เนื่องจากราคาเคลื่อนที่เร็วมาก คำสั่งของคุณอาจถูกดำเนินการที่ 1.1980 ทำให้คุณขาดทุนมากกว่าที่วางแผนไว้ 20 pips
- การเทรดในช่วงเปิดตลาด: ในวันจันทร์ตอนเปิดตลาด คุณเห็นว่าราคา GBP/USD เปิดที่ 3500 และคิดว่าจะขึ้นต่อ จึงส่งคำสั่งซื้อทันที แต่เนื่องจากช่วงนี้มีความผันผวนสูง คำสั่งของคุณอาจถูกดำเนินการที่ 1.3510 ทำให้คุณซื้อแพงกว่าที่ตั้งใจไว้ 10 pips
- การเทรดในช่วงที่มีข่าวสำคัญ: มีการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) คุณคาดว่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้น จึงส่งคำสั่งซื้อ EUR/USD ที่ 1800 แต่เนื่องจากตลาดมีปฏิกิริยารุนแรง คำสั่งของคุณอาจถูกดำเนินการที่ 1.1820 ทำให้คุณเสียเปรียบ 20 pips ตั้งแต่เริ่มต้น
วิธีจัดการกับ Slippage
แม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยง Slippage ได้ 100% แต่เราก็มีวิธีจัดการกับมันได้
- ใช้คำสั่ง Limit Order: แทนที่จะใช้ Market Order ลองใช้ Limit Order ดู มันจะช่วยให้เราควบคุมราคาที่จะซื้อหรือขายได้ดีกว่า
- หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสำคัญ: ถ้าคุณไม่ใช่นักเทรดข่าว ลองหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วง 30 นาทีก่อนและหลังการประกาศข่าวสำคัญ
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็ว: โบรกเกอร์ที่ดีควรมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสามารถดำเนินการคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว
- ใช้ Stop Loss และ Take Profit: การตั้ง SL และ TP จะช่วยจำกัดความเสียหายจาก Slippage ได้
- ทดสอบในบัญชีทดลอง: ก่อนเทรดจริง ลองทดสอบกลยุทธ์ของคุณในบัญชีทดลองเพื่อดูว่า Slippage ส่งผลต่อการเทรดของคุณอย่างไร
- ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม: ถ้าคุณเจอ Slippage บ่อย ๆ อาจต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสภาพตลาด
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค: การใช้เครื่องมือเช่น Fibonacci Retracement หรือ Pivot Points อาจช่วยให้คุณวางคำสั่งซื้อขายได้แม่นยำขึ้น ลดโอกาสเกิด Slippage
Slippage กับประเภทของคำสั่งซื้อขาย
คำสั่งซื้อขายแต่ละประเภทมีโอกาสเกิด Slippage ไม่เท่ากัน มาดูกันว่าแต่ละแบบเป็นอย่างไร
- Market Order: มีโอกาสเกิด Slippage สูงที่สุด เพราะเป็นคำสั่งที่ต้องการดำเนินการทันทีที่ราคาปัจจุบัน
- Limit Order: มีโอกาสเกิด Slippage น้อยกว่า Market Order เพราะเราสามารถกำหนดราคาที่ต้องการซื้อหรือขายได้
- Stop Order: อาจเกิด Slippage ได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
- Stop-Limit Order: เป็นการผสมผสานระหว่าง Stop Order และ Limit Order ช่วยลดโอกาสเกิด Slippage ได้
เทคนิคการใช้ Slippage ให้เป็นประโยชน์
แม้ว่า Slippage จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เราก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้นะ
- ใช้ประโยชน์จาก Positive Slippage: ในบางครั้ง Slippage อาจทำให้เราได้ราคาที่ดีกว่าที่คาดไว้ ลองสังเกตว่าเกิดขึ้นบ่อยในช่วงเวลาไหน และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
- ใช้เป็นตัวชี้วัดความผันผวน: ถ้าคุณเจอ Slippage บ่อย ๆ ในคู่เงินใดคู่เงินหนึ่ง อาจเป็นสัญญาณว่าคู่เงินนั้นกำลังมีความผันผวนสูง
- ปรับขนาดล็อต: ถ้าคุณพบว่า Slippage ส่งผลกระทบต่อการเทรดของคุณมาก ลองปรับลดขนาดล็อตลง เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจาก Slippage
- ใช้เป็นโอกาสในการเรียนรู้: ทุกครั้งที่เกิด Slippage ให้จดบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในสถานการณ์แบบไหน เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดของคุณ
- สร้างระบบเทรดที่รองรับ Slippage: ถ้าคุณใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ ลองปรับให้ระบบคำนวณ Slippage เข้าไปในการตัดสินใจด้วย
Slippage กับสภาพคล่องของตลาด
สภาพคล่องของตลาดมีผลอย่างมากต่อการเกิด Slippage มาดูกันว่าแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไร
ช่วงที่มีสภาพคล่องสูง (เวลา 8:00-16:00 น. GMT):
- ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน
- โอกาสเกิด Slippage น้อย เพราะมีผู้ซื้อขายจำนวนมาก
- เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นและ Scalping
ช่วงที่มีสภาพคล่องปานกลาง:
- ช่วงเปิดตลาดเอเชีย (เวลา 23:00-7:00 น. GMT)
- โอกาสเกิด Slippage ปานกลาง
- ควรระมัดระวังในการเทรด โดยเฉพาะคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับ JPY, AUD, NZD
ช่วงที่มีสภาพคล่องต่ำ:
- ช่วงปิดสัปดาห์ (วันเสาร์-อาทิตย์)
- ช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์สำคัญ
- โอกาสเกิด Slippage สูง
- ควรหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้
Slippage กับกลยุทธ์การเทรดต่าง ๆ
แต่ละกลยุทธ์การเทรดมีความอ่อนไหวต่อ Slippage ไม่เท่ากัน มาดูกันว่าแต่ละแบบเป็นอย่างไร:
- Scalping:
- มีความอ่อนไหวต่อ Slippage สูงมาก
- แม้ Slippage เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ขาดทุนได้
- ควรใช้โบรกเกอร์ที่มีการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและแม่นยำ
- Day Trading:
- มีความอ่อนไหวต่อ Slippage ปานกลาง
- ควรระวังในช่วงที่มีการประกาศข่าวสำคัญ
- อาจใช้ Stop-Limit Order เพื่อควบคุม Slippage
- Swing Trading:
- มีความอ่อนไหวต่อ Slippage น้อยกว่า
- Slippage มักไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อกำไรโดยรวม
- อาจใช้ Limit Order เพื่อเข้าและออกจากตลาด
- Position Trading:
- มีความอ่อนไหวต่อ Slippage น้อยที่สุด
- Slippage มักไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรในระยะยาว
- อาจใช้ Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไรในระยะยาว
Slippage กับการบริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมากในการเทรด Forex และ Slippage ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เราต้องคำนึงถึง มาดูวิธีจัดการกัน
- กำหนดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง: ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- คำนวณ Slippage เข้าไปในแผนการเทรด: เผื่อ Slippage ไว้ประมาณ 2-5 pips เพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังอยู่ในขอบเขตความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ใช้ Stop Loss อย่างเคร่งครัด: แม้ว่า Stop Loss อาจเกิด Slippage ได้ แต่มันยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการจำกัดความเสียหาย
- ทบทวนและปรับแผนอยู่เสมอ: ตรวจสอบผลกระทบของ Slippage ต่อการเทรดของคุณเป็นประจำ และปรับแผนตามความเหมาะสม
- ใช้ Hedging ถ้าจำเป็น: ในบางสถานการณ์ การใช้ Hedging อาจช่วยป้องกันความเสี่ยงจาก Slippage ได้
สรุป: จัดการ Slippage อย่างชาญฉลาด เทรด Forex อย่างมั่นใจ
Slippage เป็นส่วนหนึ่งของการเทรด Forex ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 100% แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันและใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้ ที่สำคัญคือ
- เข้าใจว่า Slippage เกิดขึ้นได้อย่างไรและเมื่อไหร่
- เลือกใช้ประเภทคำสั่งซื้อขายที่เหมาะสมกับสถานการณ์
- บริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม โดยคำนึงถึง Slippage
- ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยลด Slippage
- ปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสภาพตลาดและ Slippage
จำไว้เสมอว่า Slippage ไม่ใช่ศัตรูของเรา แต่เป็นส่วนหนึ่งของตลาดที่เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการ การเข้าใจและรับมือกับ Slippage อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณเป็นนักเทรด Forex ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว
สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการเทรด Forex มีความเสี่ยง และ Slippage ก็เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่เราต้องคำนึงถึง การศึกษาอย่างต่อเนื่อง การฝึกฝน และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการเทรด Forex ได้