เคยสงสัยไหมครับว่าถ้าหากอยากเริ่มต้นในการลงทุนในตลาด Forex แล้วละก็สิ่งที่ต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกคืออะไร และเราจะเริ่มต้น เทรด forex ยังไง ? … ในบทความนี้มีคำตอบ กับการเริ่มต้นในการทำความรู้จักกับ Forex อย่างง่ายๆต่อด้วยการรู้จักกับประเภทบัญชีต่างๆในตลาด Forex จนไปถึงวิธีการเลือกโบรกเกอร์และสกิลพื้นฐานที่ต้องมี ดังนั้นแล้วองค์ความรู้ต่อไปนี้นั้นแน่นอนว่ามันจะสามารถทำให้ทุกท่านต่อยอดไปถึงระดับสูงได้อย่างแน่นอนครับ

Forex คืออะไร ? ทำความเข้าใจกับตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน ผมในฐานะเทรดเดอร์ที่ผ่านทั้งตลาดที่ขึ้นเขาลงดอยมานับไม่ถ้วนและใน วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ เลยครับว่า Forex คืออะไร และเจ้า CFD ที่ทุกคนเคยได้ยินมันเกี่ยวข้องยังไงบ้างกับเจ้า Forex มาลุยกันเลยครับ

รูปที่ 1 Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange หรือที่เรียกกันว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการหมุนเวียนเงินสูง

  • Forex คืออะไร? ทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้น
    • Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange หรือที่เรียกกันว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
    • Forex คือตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการหมุนเวียนเงินสูงถึงหลายล้านล้านดอลลาร์ทุกวัน เรียกได้ว่าถ้าคุณคิดว่าหุ้นใหญ่แล้ว Forex ใหญ่กว่าเป็นสิบเท่าเลยล่ะครับ
    • Forex คือการ “ซื้อสกุลเงินหนึ่งแล้วขายสกุลเงินอีกสกุล” ง่ายๆ คือเรากำลังซื้อขาย “คู่สกุลเงิน” เช่น EUR/USD หรือ GBP/JPY อะไรพวกนี้ล่ะครับ
  • CFD คืออะไร ? แล้วทำไมต้องเข้าใจความหมายของมัน
    • CFD หรือ Contracts for Difference เป็นสัญญาที่คุณทำกับโบรกเกอร์ของคุณซึ่งเป็น ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ตราสารอนุพันธ์”
    • CFD ก็เปรียบดั่งการ “เดิมพัน” กับการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์ โดยไม่ต้องครอบครองสินทรัพย์จริงๆ ใช่แล้วครับ! คุณไม่ต้องมีทองคำแท่งอยู่ที่บ้านหรือถือหุ้นเป็นใบ! เพียงแค่คาดเดาว่าราคาจะขึ้นหรือลงก็พอแล้ว…พูดง่ายแต่ทำยากนะครับ !
  • Forex กับ CFD เกี่ยวข้องกันยังไง?
    • การซื้อขายในตลาด Forex มักจะทำงานผ่าน CFD ซึ่งเป็นสัญญาที่นักลงทุนทำกับโบรกเกอร์เพื่อเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงิน โดยไม่ต้องครอบครองสกุลเงินนั้นจริงๆ
    • CFD สามารถทำให้นักเทรดสามารถใช้ Leverage เพื่อการขยายปริมาณการเทรดได้ ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมเงินทุนมากกว่าทุนที่มีจริง ทำให้โอกาสในการทำกำไร (หรือขาดทุน) เพิ่มขึ้น
  • ข้อดีของการเทรด Forex ผ่าน CFD
    • คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งตอนที่ราคาขึ้นและลง!! ถ้าคิดว่าราคาจะตกก็แค่ขาย (short sell) ได้เลย ไม่ต้องรอเหมือนหุ้นนั่นเองครับ
    • ไม่มีค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียมหนักๆ แบบหุ้น ทั้งนี้โบรกเกอร์ Forex ส่วนมากจะเก็บค่าสเปรดเล็กๆ น้อยๆ แทน….ถือว่าไม่มากครับ
    • ไม่ต้องถือครองสกุลเงินหรือสินทรัพย์จริงๆ เอาเวลาไปเทรดทำกำไรได้เลย
  • แล้วอะไรคือสิ่งที่ต้องระวัง?
    • Leverage เป็นดาบสองคม มันช่วยให้คุณได้กำไรเยอะ แต่ก็ทำให้คุณเสี่ยงที่จะเสียเยอะเช่นกันครับ
    • ตลาด Forex นั้นมีความผันผวนสูง ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียหากไม่ได้เตรียมตัวดีพอ
    • การจัดการความเสี่ยงไม่ดี การโอเวอร์เทรด การไม่สามารถควมคุมอารมณ์ในการเทรดได้ หรือ แม่กระทั่งการเทรดแบบไม่มีแผนการ จะทำให้การลงทุนในตลาด Forex ไม่ได้ต่างอะไรกับการพนันดีๆเลย

พื้นฐานการทำงานของ Forex การซื้อขายคู่สกุลเงิน

ในส่วนถัดมานี้เราก็จะมาพูดถึงการซื้อขายในตลาด Forex อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าพื้นฐานอยู่ที่การซื้อและขาย คู่สกุลเงิน (Currency Pair) ซึ่งหมายความว่าในทุกการเทรด คุณกำลังซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายสกุลเงินอีกหนึ่งในเวลาเดียวกัน (CFD นะครับ) โดยระบบคู่สกุลเงินนั้นจะมีรายละเอียดปรีกย่อยดังต่อไปนี้

รูปที่ 2 รูปภาพตัวอย่างของ คู่สกุลเงินหลัก (Major Currency Pairs) และ คู่สกุลเงินรอง (Minor Currency Pairs) ในตลาด Forex

  • คู่สกุลเงินหลัก (Major Currency Pairs)
    คู่สกุลเงินที่เป็นที่นิยมที่สุดในการเทรด มักจะเป็นคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงและเกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY เป็นต้น
  • คู่สกุลเงินรอง (Minor Currency Pairs)
    คู่สกุลเงินที่ไม่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น EUR/GBP, EUR/AUD ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้มีการเทรดมากเท่าคู่สกุลเงินหลัก แต่ก็ยังมีสภาพคล่องที่ดีพอสมควร
  • คู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Currency Pairs)
    คู่สกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กหรือกำลังพัฒนา เช่น USD/THB, EUR/TRY คู่เหล่านี้มักจะมีสเปรดที่กว้างกว่าและสภาพคล่องต่ำกว่าคู่สกุลเงินหลัก….ส่วนใหญ่มักจะไม่เป็นที่นิยม
  • การอ่านค่าอัตราแลกเปลี่ยน
    อัตราแลกเปลี่ยนแสดงให้เห็นถึงมูลค่าของสกุลเงินหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง เช่น ถ้าค่า EUR/USD = 1.2000 นั่นหมายถึง 1 ยูโร มีค่าเท่ากับ 1.20 ดอลลาร์สหรัฐ
  • Base Currency และ Quote Currency
    • สกุลเงินตัวแรกในคู่สกุลเงินเรียกว่า Base Currency
    • สกุลเงินตัวที่สองเรียกว่า Quote Currency
    • ตัวอย่างเช่น ในคู่ EUR/USD ดังนั้น EUR คือ Base Currency และ USD คือ Quote Currency
  • การซื้อและขาย (Buy และ Sell)
    • การ ซื้อ (Long) หรือ Buy หมายถึงการซื้อ Base Currency และขาย Quote Currency โดยคาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้น
    • การ ขาย (Short) หรือ Sell หมายถึงการขาย Base Currency และซื้อ Quote Currency โดยคาดหวังว่าราคาจะลดลง

ดังนั้นแล้วหากไม่เข้าใจกลไกของการแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงินแล้วนั้นก็จะทำให้ไม่สามารถต่อยอดในขั้นที่สูงกว่าได้ เนื่องจาก Forex เป็นการซื้อขายและเปลี่ยนคู่สกุลเงิน ดังนั้นเนื้อหาดังกล่าวจึงเป็นเนื้อหาที่ไม่ควรพลาดและควรทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุดนั่นเองครับเพราะฉะนั้นเราไปดูเนื้อหาที่สำคัญกันต่อได้เลยครับ

การทำงานของอัตราแลกเปลี่ยน และ วิธีการอ่านตีความ

อัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate)
เป็นราคาที่ระบุว่าสกุลเงินหนึ่ง (Base Currency) สามารถแลกเปลี่ยนได้กับอีกสกุลเงินหนึ่ง (Quote Currency) เท่าใด ตัวอย่างเช่น EUR/USD = 1.2000 หมายความว่า 1 ยูโรสามารถแลกเปลี่ยนได้กับ 1.20 ดอลลาร์สหรัฐ ดังที่เคยกล่าวไปแล้วข้างต้น

รูปที่ 3 ตัวอย่างขั้นตอนการทำงานของอัตราแลกเปลี่ยน และ วิธีการอ่านตีความของคู่เงิน EUR/USD

สรุปอีกครั้ง Base Currency และ Quote Currency

  • Base Currency คือสกุลเงินแรกในคู่สกุลเงิน เช่น EUR ในคู่ EUR/USD
  • Quote Currency คือสกุลเงินที่สอง เช่น USD ในคู่ EUR/USD

ความสำคัญของราคา Bid และ Ask ที่จำเป็นต้องรู้

  • Bid คือราคาที่คุณสามารถขาย Base Currency ในตลาดได้ (ราคาที่โบรกเกอร์ซื้อ)
  • Ask คือราคาที่คุณสามารถซื้อ Base Currency ได้ (ราคาที่โบรกเกอร์ขาย)
  • ตัวอย่าง: ในคู่ EUR/USD, Bid = 1.2000 และ Ask = 1.2005 ส่วนต่างระหว่าง Bid และ Ask เรียกว่า สเปรด (Spread)

สเปรด (Spread)
คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ราคาขาย) และราคา Ask (ราคาซื้อ) ในแต่ละคู่สกุลเงิน โบรกเกอร์มักจะได้กำไรจากส่วนต่างนี้แทนการคิดค่าคอมมิชชั่น เป็นต้น ซึ่งจะค่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ รวมไปถึงประเภทบัญชีต่างๆอีกด้วย

การอ่านอัตราแลกเปลี่ยนเบื้องต้น

  • ตัวอย่าง EUR/USD = 1.2000 หมายความว่า 1 ยูโรมีค่าเท่ากับ 1.20 ดอลลาร์สหรัฐ
  • หากอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD เพิ่มขึ้นเป็น 1.2500 หมายถึงยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และ ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร เป็นต้น

เทรด Forex ได้ที่ไหน และ โบรกเกอร์ Forex คืออะไร ?

หัวข้อถัดมาเราไปทำความรู้จักกับโบรกเกอร์ Forex คือก็คือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนักเทรดและตลาด Forex โดยโบรกเกอร์จะให้บริการด้านการซื้อขายสกุลเงินผ่านอินเทอร์เน็ต โดยให้นักเทรดสามารถเปิดบัญชี ฝากเงิน และทำการซื้อขายคู่สกุลเงินต่างๆ ได้โดยใช้แพลตฟอร์มการเทรดที่โบรกเกอร์จัดหาให้ เช่น MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 เป็นต้น

รูปที่ 4 ตัวอย่างหน้าที่ของโบรกเกอร์ และ ประเภทของโบรกเกอร์ในตลาด Forex แบบพอสังเขป

หน้าที่ของโบรกเกอร์ Forex

  • การเชื่อมต่อนักเทรดกับตลาด: โบรกเกอร์ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงตลาด Forex และซื้อขายคู่สกุลเงินได้ ซึ่งหน้าที่คือเป็นตัวกลางใรการรับคำสั่งซื้อขายของนักเทรด
  • การให้ Leverage: โบรกเกอร์จะให้ Leverage ซึ่งเป็นการยืมเงินเพื่อเพิ่มปริมาณการเทรด ทำให้นักเทรดสามารถซื้อขายในปริมาณที่ใหญ่กว่าทุนที่มีโดยแต่ละโบรกเกอร์จะให้เพดานของ Leverage ที่แตกต่างกันออกไป
  • การเก็บค่าธรรมเนียม: โบรกเกอร์จะเก็บค่าธรรมเนียมในรูปแบบของ Spread (ส่วนต่างระหว่าง Bid และ Ask) หรือบางครั้งอาจมีการเก็บค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม
  • การให้บริการวิเคราะห์และเครื่องมือเทรด: โบรกเกอร์มักจะมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆบริการ ข่าวสารเศรษฐกิจ และข้อมูลการเทรดให้ใช้งาน เป็นต้น

ประเภทของโบรกเกอร์ Forex มีแบบไหนบ้าง ?

  • Market Maker (Dealing Desk): โบรกเกอร์ประเภทนี้เป็นผู้กำหนดราคาและทำหน้าที่ตรงข้ามกับนักเทรด โดยการสร้างตลาดขึ้นมาเอง
  • STP (Straight Through Processing): โบรกเกอร์ประเภทนี้ส่งคำสั่งซื้อขายของนักเทรดไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Provider) โดยตรง
  • ECN (Electronic Communication Network): โบรกเกอร์ ECN เป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อนักเทรดกับเครือข่ายผู้ให้บริการสภาพคล่อง ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่มีความโปร่งใสสูง
  • ทั้งนี้ยังคงมีประเภทของโบรกเกอร์ อีกหลากหลายแบบเช่น DMA หรือ NDD เป็นต้น

เราจะเลือกโบรกเกอร์ Forex ได้อย่างไร ถึงจะเหมาะสม

รูปที่ 5 รูปภาพการสรุปการอธิบายว่าเราจะเลือกโบรกเกอร์ Forex ได้อย่างไรถึงจะดีไม่ว่าจะเป็นการดูใบอนุญาตและตรวจสอบความโปร่งใสต่างๆเป็นต้น

  • มีใบอนุญาตและการกำกับดูแล (Regulation)
    • ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานการเงินที่มีชื่อเสียง เช่น FCA (UK), ASIC (Australia), CySEC (Cyprus), หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่น่าเชื่อถือ
    • โบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลมีแนวโน้มที่จะปลอดภัยมากกว่า เนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เคร่งครัด
  • ความโปร่งใสและความเป็นมืออาชีพ
    • ตรวจสอบเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ว่ามีข้อมูลที่ชัดเจน เช่น ค่าธรรมเนียม, สเปรด, เงื่อนไขการถอนเงิน และการใช้ Leverage
    • ค้นหาความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริงในรีวิวหรือตามฟอรัมที่เป็นกลาง เพื่อดูความน่าเชื่อถือเช่น Trustpilot หรือ Pantip เป็นต้น
  • มีระบบป้องกันเงินทุนลูกค้า
    • โบรกเกอร์ที่ดีควรแยกเงินทุนของลูกค้าออกจากบัญชีของบริษัท (Segregated Accounts) เพื่อป้องกันไม่ให้เงินทุนของคุณได้รับผลกระทบหากโบรกเกอร์มีปัญหาทางการเงิน
  • การฝากและถอนเงินที่สะดวกและปลอดภัย
    • โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือควรมีช่องทางการฝากถอนเงินที่หลากหลายและปลอดภัย เช่น โอนผ่านธนาคาร, บัตรเครดิต, หรือ e-wallet
    • ตรวจสอบนโยบายการถอนเงินว่าใช้เวลานานแค่ไหน และมีค่าธรรมเนียมในการถอนเงินหรือไม่
  • สเปรดต่ำและค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล
    • เลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ โดยเฉพาะหากคุณเป็นนักเทรดแบบ Scalping หรือ Day Trading ที่ต้องการกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาที่รวดเร็ว
    • ตรวจสอบค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าคอมมิชชั่นต่อการเทรด และค่า Swap สำหรับการถือครองตำแหน่งข้ามคืน
  • Leverage ที่เหมาะสม
    • เลือกโบรกเกอร์ที่ให้ Leverage ในระดับที่คุณสามารถจัดการความเสี่ยงได้ โดย Leverage ที่สูงอาจให้โอกาสในการทำกำไรสูงขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นด้วย
    • สำหรับมือใหม่ อาจเลือกใช้โบรกเกอร์ที่มี Leverage ระดับกลางๆ เช่น 1:100 หรือ 1:200
  • แพลตฟอร์มการเทรดที่เสถียรและใช้งานง่าย
    • ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีแพลตฟอร์มการเทรดที่เป็นมาตรฐาน เช่น MetaTrader 4 (MT4), MetaTrader 5 (MT5), หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ
  • บริการลูกค้า (Customer Support)
    • เลือกโบรกเกอร์ที่มีการสนับสนุนลูกค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง เช่น แชทสด, โทรศัพท์, หรืออีเมล เป็นต้น
    • ตรวจสอบว่ามีบริการลูกค้าภาษาไทยหรือไม่ หากคุณไม่สะดวกในการใช้ภาษาอังกฤษ
  • ประวัติและชื่อเสียงของโบรกเกอร์
    • ค้นหาประวัติความเป็นมาและระยะเวลาที่โบรกเกอร์ให้บริการ ยิ่งโบรกเกอร์อยู่ในตลาดมานานยิ่งมีโอกาสที่จะน่าเชื่อถือมากขึ้น
    • ตรวจสอบชื่อเสียงของโบรกเกอร์ในชุมชนเทรดเดอร์ และดูว่ามีการร้องเรียนหรือปัญหาเกี่ยวกับการให้บริการมากน้อยเพียงใด
  • ประเภทบัญชีที่หลากหลาย
    • โบรกเกอร์ที่ดีควรมีประเภทบัญชีที่หลากหลายให้เลือก เช่น บัญชีมาตรฐาน, บัญชีมินิ, บัญชีไมโคร หรือบัญชี ECN เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักเทรดที่แตกต่างกันดังรายละเอียดในหัวข้อใหญ่ถัดไปนี้

บัญชีซื้อขายของ Forex มีอะไรบ้างแล้วแบบไหนเหมาะสมกับเรา

บัญชีซื้อขายของ Forex นั้นเป็นอีกหนึ่งในพื้นฐานต่อมาที่ควรรู้ นอกจากเราจะเลือกโบรกเกอร์เป็นแล้วเราต้องมาดูต่อว่าเราควรจะเปิดใช้งานกับบัญชีประเภทไหนโดยผมขอสรุปให้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้

รูปที่ 6 รูปภาพการสรุป บัญชีซื้อขายของ Forex ว่ามีกี่ประเภทและแต่ละประเภทมีความโดดเด่นในด้านใด

บัญชีซื้อขายของ Forex คืออะไร?

  • บัญชีซื้อขาย Forex (Trading Account) คือ บัญชีที่เปิดกับโบรกเกอร์ Forex เพื่อใช้สำหรับการซื้อขายคู่สกุลเงินในตลาด Forex
  • บัญชีนี้เป็นช่องทางที่นักลงทุนใช้ในการฝากเงินเข้าบัญชีเพื่อทำการซื้อขาย ซึ่งจะมีอยู่หลากหลายประเภทด้วยกันและแต่ละโบรกเกอร์จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป

ประเภทของบัญชีซื้อขาย Forex มีแบบไหนบ้าง

  1. บัญชีเดโม (Demo Account)
    • บัญชีเสมือนที่โบรกเกอร์ให้ผู้ใช้ทดลองเทรดโดยไม่ใช้เงินจริง
    • เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการฝึกฝนก่อนลงทุนจริง
    • ไม่มีความเสี่ยงในการเสียเงินจริง แต่สามารถทดสอบกลยุทธ์การเทรดได้อย่างสมจริง
  2. บัญชีมาตรฐาน (Standard Account)
    • บัญชีที่นักเทรดส่วนใหญ่ใช้ มีขนาดล็อตมาตรฐาน 100,000 หน่วยของสกุลเงิน
    • เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์และมีทุนมากพอในการเทรดด้วยปริมาณขนาดใหญ่
    • ค่าธรรมเนียมและสเปรดในระดับปกติ
  3. บัญชีมินิ (Mini Account)
  • บัญชีที่เทรดด้วยล็อตขนาดเล็ก (Mini Lot) ประมาณ 10,000 หน่วยของสกุลเงิน
  • เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีทุนจำกัด แต่ต้องการทำการซื้อขายในตลาด Forex
  • ลดความเสี่ยงในการเทรดด้วยปริมาณที่น้อยกว่า
  1. บัญชีไมโคร (Micro Account)
  • ขนาดล็อตเล็กสุด (Micro Lot) ประมาณ 1,000 หน่วยของสกุลเงิน
  • เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการทดลองกลยุทธ์ใหม่ๆ โดยมีความเสี่ยงต่ำ
  • สเปรดและค่าธรรมเนียมต่ำกว่าบัญชีมาตรฐาน
  1. บัญชี ECN (ECN Account)
  • บัญชีที่เชื่อมต่อนักเทรดเข้ากับเครือข่ายผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง (เช่น ธนาคารและสถาบันการเงิน)
  • สเปรดแคบมาก แต่จะมีค่าคอมมิชชั่นต่อการเทรด
  • เหมาะสำหรับนักเทรดมืออาชีพหรือผู้ที่ต้องการสภาพคล่องและความโปร่งใสสูง
  1. บัญชี Cent (Cent Account)
  • บัญชีที่แสดงยอดเงินเป็นหน่วยเซนต์ เช่น ฝากเงิน $10 จะเท่ากับ 1,000 เซนต์
  • เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่ที่ต้องการทดลองเทรดด้วยเงินจริงแต่ความเสี่ยงต่ำมาก

ดังนั้นแล้วจะเห็นได้ว่าประเภทบัญชีก็เป็นอีกหนึ่งในประเด็นที่สำคัญมากๆสำหรับมือใหม่นะครับและแน่นอนว่าเราเน้นย้ำให้ทุกท่านที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าวงการ Forex เปิดบัญชีเดโมเพื่อทดลองการเทรดไปก่อนนะครับเพื่อที่จะได้เข้าใจตลาดมากขึ้นและค่อยๆเฟ้นหากลยุทธิ์ในการเทรดที่เหมาะสมกับตนเองให้ได้ก่อนการเปิดบัญชีจริงทุกครั้ง

วิธีการเปิดบัญชี Forex ต้องทำอย่างไรบ้าง ?

ขั้นตอนการเปิดบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ เบื้องต้นง่ายๆ

  1. เลือกโบรกเกอร์ที่ต้องการเปิดบัญชี
  2. กรอกข้อมูลลงทะเบียนเปิดบัญชี
  3. เลือกรูปแบบบัญชี
  4. ยืนยันตัวตน (KYC – Know Your Customer)
  5. อัพโหลดเอกสารที่ต้องใช้ในการยืนยันตัวตน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน
  6. ยืนยันอีเมลและเบอร์โทรศัพท์
  7. ฝากเงินเข้าบัญชีเทรด
  8. เริ่มต้นเทรด

แพลตฟอร์มที่ใช้ในการเทรด Forex มีอะไรบ้าง ?

รูปที่ 7รูปภาพการสรุปการรวบรวมแพลตฟอร์มพื้นฐานที่ใช้ในการเทรด Forex ไม่ว่าจะเป็น Mt4 , Mt5 ,TradingView และอื่นๆ

  1. MetaTrader 4 (MT4)
    • แพลตฟอร์มยอดนิยมที่สุดในหมู่นักเทรด Forex โดยเฉพาะมืออาชีพ
    • มีฟีเจอร์ครบถ้วน เช่น กราฟแสดงผลแบบเรียลไทม์ และการใช้ Expert Advisors (EA) ในการเทรดอัตโนมัติ
    • รองรับการใช้ Indicator และสคริปต์ที่สามารถเขียนเองได้ผ่าน MQL4
    • โบรกเกอร์ส่วนมากรองรับการใช้งาน
  2. MetaTrader 5 (MT5)
    • แพลตฟอร์มที่พัฒนาต่อจาก MT4 มีฟีเจอร์เสริมที่มากขึ้น เช่น Indicator ที่ทันสมัยมากขึ้น หรือ คำสั่งต่างๆมีความสเถียรที่มากขึ้นกว่าเดิม
    • ใช้ภาษา MQL5 ในการเขียนสคริปต์และการพัฒนา EA
  3. cTrader
    • แพลตฟอร์มที่เน้นเรื่องการเทรดแบบ ECN (Electronic Communication Network) ให้ประสบการณ์ที่รวดเร็วและโปร่งใส
    • มีกราฟแสดงผลและเครื่องมือวิเคราะห์ที่หลากหลาย ใช้งานง่าย แม้สำหรับมือใหม่
  4. NinjaTrader
    • แพลตฟอร์มการเทรดที่เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการใช้กลยุทธ์การเทรดแบบเฉพาะทาง
    • โดนเด่นทางการใช้งานอินดิเคเตอร์ Volume profile
  5. TradingView
    • แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยเครื่องมือกราฟที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างมากและใช้งานง่ายอีกทั้งมีความสวยงามดูสบายตา
    • แม้จะไม่สามารถใช้ในการเทรดโดยตรง แต่ปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อกับโบรกเกอร์บางรายเพื่อทำการเทรดได้แล้วเช่น 8 cap เป็นต้น

คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้สำหรับเทรด Forex

ในโลกของ Forex ต่างก็มีคำศัพท์พื้นฐานอยู่มากมายที่ควรรู้จัก แต่ ณ ตอนนี้ผมจะเสนอเพียงคำศัพท์ที่ถูกใช้งานบ่อยจนขึ้นชื่อว่า “ไม่รู้จักไม่ได้” มีอะไรกันบ้างไปดูกันครับ

  • Pip (Percentage in Point) : หน่วยเล็กที่สุดในการเปลี่ยนแปลงของราคาคู่สกุลเงิน โดยปกติจะหมายถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 4 ของอัตราแลกเปลี่ยน (เช่น EUR/USD จาก 1.2000 เป็น 1.2001 เท่ากับเปลี่ยน 1 Pip)
  • Lot : ปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex โดยปกติแล้ว Standard lot จะมีค่า 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก เป็นต้น
  • Leverage : อัตราส่วนที่โบรกเกอร์ให้คุณยืมเงินมาลงทุน ตัวอย่างเช่น Leverage 1:100 หมายความว่าคุณสามารถควบคุม 100 หน่วยของสกุลเงินด้วยเงินทุนเพียง 1 หน่วยของคุณเอง
  • Margin : เงินประกันที่โบรกเกอร์ต้องการจากนักเทรดเพื่อเปิดสถานะการเทรดโดยใช้ Leverage เช่น หาก Leverage คือ 1:100 โบรกเกอร์อาจต้องการเพียง 1% ของมูลค่าการเทรดในบัญชีเป็น Margin
  • Stop-Loss หรือ SL : คำสั่งที่ตั้งไว้เพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับขาดทุนที่กำหนด ช่วยป้องกันการสูญเสียที่มากเกินไป
  • Take-Profit หรือ TP : คำสั่งที่ตั้งไว้เพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับกำไรที่ต้องการ
  • Equity : มูลค่ารวมของบัญชีเทรดของคุณ ซึ่งประกอบด้วยยอดเงินคงเหลือบวกกับกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่ถูกปิด
  • Free Margin : จำนวนเงินที่ยังไม่ได้ถูกใช้เป็น Margin ซึ่งสามารถใช้ในการเปิดสถานะใหม่ได้
  • Swap : ดอกเบี้ยที่เกิดจากการถือครองตำแหน่งข้ามคืนในบางคู่สกุลเงิน บางโบรกเกอร์เรียกว่า Rollover
  • Drawdown : การลดลงของมูลค่าบัญชีเมื่อเกิดขาดทุนในช่วงเวลาหนึ่ง มักจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินสูงสุดของบัญชี
  • Slippage : ความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณคาดหวังว่าจะทำการเทรดกับราคาที่ทำการเทรดได้จริง ซึ่งอาจเกิดจากความผันผวนของตลาดหรือความล่าช้าของการดำเนินการ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคำศัพท์ดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ควรรู้เมื่อเทรดเดอร์ต้องการจะเข้าสู่วงการ Forex เพราะแต่ละคำศัพท์จะเป็นรากฐานไปสู่การเรียนในขั้นที่สูงกว่านั่นเองครับ

พื้นฐานการวิเคราะห์กราฟ เทคนิคและเครื่องมือที่ควรรู้ในตลาด Forex

ก่อนจะไปเริ่มต้นการเทรดองค์ความรู้ในการวิเคราะห์กราฟถือเป็นสาระสำคัญในอันดับต้นๆของการเทรด Forex ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกลยุทธิ์ในการเทรด หากขาดความรู้เหล่านี้ไปแล้วแน่นอนว่าหากลงมือเทรดจริงก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการพนันเลย ดังนั้นแล้วเราจึงรวบรวมองค์ความรู้สรุปเป็นหัวข้อย่อยให้ไปต่อยอดกันได้อย่างง่ายๆดังต่อไปนี้

รูปที่ 8 รวบรวมพื้นฐานการวิเคราะห์กราฟ เทคนิคและเครื่องมือที่ควรรู้ในตลาด Forex ที่ควรจะมีไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์กราฟ หรือ การจัดการความเสี่ยง เป็นต้น

  1. การวิเคราะห์กราฟ (Chart Analysis)
    • ประโยชน์คือการใช้กราฟราคาเพื่อดูการเคลื่อนไหวของตลาดในอดีตและคาดการณ์ทิศทางในอนาคต
    • กราฟที่นิยมใช้มี 3 ประเภท:
      • กราฟเส้น (Line Chart) – แสดงข้อมูลราคาปิดอย่างง่าย
      • กราฟแท่ง (Bar Chart) – แสดงราคาสูงสุด, ต่ำสุด, เปิด และปิดในช่วงเวลา
      • กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) – ให้รายละเอียดการเปิด, ปิด, สูงสุด และต่ำสุด พร้อมทั้งแสดงแนวโน้มของตลาด (เป็นที่นิยมมากที่สุด)
  1. แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)
    • แนวรับ คือระดับราคาที่ราคามักจะไม่ตกต่ำลงไปมากกว่านั้น หรือเป็นระดับที่แรงขายเริ่มอ่อนแอและแรงซื้อเริ่มเข้ามามีบทบาท ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะหยุดตกลงไปและทำการเด้งกลับขึ้นไป
    • แนวต้าน คือระดับราคาที่ราคามักจะไม่ขึ้นไปมากกว่านั้น หรือเป็นระดับที่แรงซื้อเริ่มอ่อนแอและแรงขายเริ่มเข้ามามีบทบาททำให้ราคามีแนวโน้มที่จะหยุดขึ้นต่อและเริ่มลดลงไป
  2. เส้นแนวโน้ม (Trend Lines)
    • ใช้ระบุแนวโน้มของตลาด (ขาขึ้น, ขาลง หรือเคลื่อนไหวในกรอบ)
    • การลากเส้นผ่านจุดสูงสุดหรือต่ำสุดเพื่อช่วยคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
  3. เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Indicators)
    • Moving Average (MA) – เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ช่วยในการหาทิศทางแนวโน้มระยะสั้นและยาว
    • Relative Strength Index (RSI) – ใช้บ่งบอกสถานะ Overbought หรือ Oversold เพื่อดูว่าราคานั้นสูงหรือต่ำเกินไป
    • Indicators ดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้นในความเป็นจริงมีให้ใช้งานอยู่มากมาย
  4. การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
    • Head and Shoulders – รูปแบบการกลับตัวของราคาที่มีลักษณคล้ายหัวและไหล่เมื่อกราฟเกิดรูปแบบนี้เกิดขึ้นมักจะมีการกลับตัวของราคาเสมอๆ
    • Double Top/Double Bottom – อีกหนึ่งในรูปแบบการกลับตัวที่แสดงว่าราคากำลังจะเปลี่ยนทิศทางเช่นเดียวกัน
    • Chart Patterns ดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้นในความเป็นจริงมีให้ใช้งานอยู่มากมาย
  5. Fibonacci Retracement
    • ค่าที่ใช้ในการหาจุดกลับตัวของราคาในระดับ Fibonacci (เช่น 38.2%, 50%, 61.8%) ซึ่งบ่งบอกถึงแนวรับและแนวต้านสำคัญ สามารถประยุกต์ได้ทั้งการ เข้าออเดอร์ และ ออกออเดอร์
  6. การจัดการความเสี่ยง
    • การวิเคราะห์กราฟควรทำควบคู่ไปกับการตั้งค่า Stop-Loss และ Take-Profit เพื่อจำกัดการขาดทุนและปกป้องกำไร

เครื่องมือและเทคนิคเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญที่นักเทรดควรรู้ในการวิเคราะห์กราฟบนตลาด Forex เพื่อทำให้การตัดสินใจนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเราสามารถเลือกใช้งานเทคนิคใดก็ได้ที่มองเห็นว่าเหมาะสมกับตนเองและอัตราการชนะที่สูงคุ้มค่าแก่การลงทุน ดังนั้นแล้วเราควรจะค้นหาและสร้างกลยุทธ์การเทรดของคุณเอง ก่อนจะเริ่มทำการเทรดจริงเสมอดังหัวข้อต่อไปนี้

ค้นหาและสร้างกลยุทธ์การเทรดของคุณเอง ทำได้อย่างไร ?

รูปที่ 9 ขั้นตอนการค้นหาและสร้างกลยุทธ์การเทรดของคุณเองโดยเริ่มจากการทำความเข้าใจ ระบุเป้าหมาย จนไปถึงการทดสอบจริงเป็นต้น

ค้นหาและสร้างกลยุทธ์การเทรดของคุณเอง

  1. ทำความเข้าใจตลาดและตัวเอง
    • ก่อนที่จะสร้างกลยุทธ์ คุณต้องเข้าใจว่าตลาด Forex มีการเคลื่อนไหวอย่างไร รวมถึงความผันผวนและความเสี่ยงต่างๆในแต่ละคู่สกุลเงิน
    • พิจารณาสไตล์การเทรดของตัวคุณเอง เช่น คุณชอบเทรดระยะสั้น (Scalping) หรือระยะยาว (Swing Trading) เพื่อให้กลยุทธ์ตรงกับความถนัดและความต้องการของคุณ
  2. ระบุเป้าหมายการเทรด
    • ตั้งเป้าหมายว่าคุณต้องการกำไรเท่าไหร่และยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด เช่น คุณต้องการกำไร 5% ต่อเดือนและยอมรับการขาดทุนไม่เกิน 2%
  3. ใช้เทคนิคที่ถนัดวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด (Trend Analysis)
    • ดูว่าแนวโน้มของตลาดเป็นอย่างไร คุณสามารถใช้ เส้นแนวโน้ม (Trend Lines) หรือ Moving Average เพื่อระบุว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น, ขาลง, หรือเคลื่อนไหวในกรอบ อย่างไรเป็นต้น
  4. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
    • ใช้ Stop-Loss และ Take-Profit เพื่อจำกัดการขาดทุนและกำหนดระดับกำไรที่คาดหวัง
    • พิจารณาการใช้ Risk-to-Reward Ratio ที่เหมาะสม เช่น เสี่ยง 1 เพื่อได้กำไร 2 หรือ 3 ส่วนตามเป้าหมายในการเทรดที่ต้องการ
  5. ทดสอบกลยุทธ์ด้วยการ Backtest
    • ทดสอบกลยุทธ์การเทรดของคุณโดยใช้ข้อมูลตลาดในอดีต (Backtest) เพื่อดูว่ากลยุทธ์ทำงานได้ดีแค่ไหนในสภาพตลาดต่างๆ
  6. เริ่มต้นเทรดด้วยบัญชีเดโม
    • ทดลองใช้กลยุทธ์ที่สร้างขึ้นในบัญชีเดโมเพื่อดูผลลัพธ์โดยไม่เสี่ยงกับเงินจริง
    • ปรับแต่งกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ที่ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสไตล์การเทรดของคุณ
  7. รักษาความมีวินัยและอารมณ์ในการเทรด
    • ติดตามแผนการเทรดอย่างมีวินัย อย่าให้ความโลภหรือความกลัวเข้ามากระทบการตัดสินใจ
    • ใช้กลยุทธ์ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ไม่ออกนอกแผนการเทรดที่คุณวางไว้
    • การสร้างกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับตัวเองจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex และทำให้การเทรดของคุณมีความเป็นระบบมากขึ้น

สรุป

การเทรด Forex สำหรับมือใหม่นั้นควรที่จะเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานในตลาดต่างๆก่อน ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักการซื้อขายคู่สกุลเงิน ความรู้เกี่ยวกับโบรกเกอร์และประเภทบัญชีต่างๆ รวมไปถึงการใช้งานแพลตฟอร์มในการเทรดก็ด้วย อีกทั้งคุณควรเรียนรู้ถึงวิธีการวิเคราะห์ทางกราฟต่างๆรวมไปถึงการจัดการความเสี่ยง และ การสร้างกลยุทธ์เทรดของตัวเอง เพื่อให้การเทรดของคุณนั้นสามารถใช้งานได้จริงและทรงประสิทธิภาพนั่นเองแหละครับ