การเทรดในตลาด Forex นั้นก็ถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญของคนยุคใหม่เลยก็ว่าได้ แต่แน่นอนว่าการเทรดในตลาด Forex นั้นถือว่ามีเนื้อหาที่ถือว่ากว้างขวางมากๆและในหลายๆคนผมเชื่อว่าคงจะมีเวลาในการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวการฟอเร๊กซ์ได้น้อย ดังนั้นในหัวข้อนี้ผมจะมาสรุปให้มาเป็น Forex ฉบับสมบูรณ์ ที่จะทำให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจและสามารถทำความรู้จักกับฟอเร๊กซ์ได้อย่างรวดเร็วได้อย่างรวดเร็ว
ปฐมบท 0 – 100 กับ Forex ฉบับสมบูรณ์
ก่อนจะเข้าสู้เนื้อหาของการเทรด Forex ในหัวข้อนี้ผมจะทำการสอนและทบทวนเนื้อหาที่ควรรู้ตั้งแต่ 0 – 100 เพื่อให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่าจะไม่พลาดตัวแปรสำคัญใดๆที่จะส่งผลต่อการเทรดฟอเร๊ก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบางหัวข้อต่อไปนี้อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดที่มากเกินความจำเป็นแต่จะเป็นสอนในฉบับแบบรวดรัดและมีเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาเพราะฉะนั้นแล้วเราไปทำความรู้จักพื้นฐานของตลาดฟอเร๊กซ์กันได้เลยครับ
รูปที่ 1 ทำความรู้จัก Forex คืออะไรและตัวอย่างหน้าตาของการเทรก Forex ผ่านทางแพลตฟอร์ม Tradingview.com ที่จะมีองค์ประกอบต่างๆโดยจะสอนผ่านหัวข้อย่อยต่างๆภายในบทนี้
ทำความรู้จักกับ Foreign exchange หรือ Forex
- ความหมายของคำว่า Forex : Foreign exchange หรือ Forex (FX) มีความหมายคือตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่จะทำการซื้อขายผ่านเคาท์เตอร์ทั่วโลก [1] หรือ OTC ซึ่งการซื้อขายเหล่านี้จะมีขั้นตอนกระบวนการผ่านตัวกลางที่สำคัญอย่าง ธนาคาร ,ผู้ให้สภาพคล่อง และ โบรกเกอร์ เป็นต้น
- Forex คือการทำกำไรจากส่วนต่างของราคา: Forex เป็นการซื้อขายเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาของคู่สกุลเงิน อันเกิดจากความแข็งค่าและอ่อนค่าของสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง เช่น การนำเงินไปแลกในช่วงที่คู่เงินเกิดการแข็งค่า และ แลกกลับในช่วงที่คู่เงินมีการอ่อนค่า เป็นต้น (ปัจจุบันนอกจากคู่เงินก็มีสินทรัพย์อีกหลากหลายที่เทรดได้ เช่น ทองคำ)
- การเทรด Forex นั้นไม่ใช่สินทรัพย์แต่เป็น CFDs : ถึงแม้เราจะทำการเทรดคู่สกุลเงินอยู่ก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้คู่เงินนั้นมาครอบครองจริงๆแต่จะเป็นเพียงการซื้อขาย CFD (Contracts for Difference) [2] หรือตราสารอนุพันธ์ เรียกกันง่ายๆว่า สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (ซื้อมาแล้วต้องขายนะ!!)
- ความเป็นจริงตลาด Forex ไม่ได้มีตั้ง ณ บนโลกแห่งนี้ : อ้างอิงจาก Babypips.com [3] จากโครงสร้างของตลาดกล่าวได้โดยย่อคือมันเป็นการแลกเปลี่ยนสกุลเงินจึงทำให้ตลาด Forex มีหลากหลายหรือจะเรียกว่าเป็น Decentralized markets ก็ได้ ดังนั้นตลาด Forex ที่พบเห็นโดยทั่วไปนั้นเป็นเพียงตลาด CFD ที่จะใช้ราคาอ้างอิงบนตลาด Forex มาใช้ในการซื้อขายนั่นเอง
- โบรกเกอร์น้อยรายที่จะส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาด Forex จริง : ปัจจุบันมีโบรกเกอร์มากมายผุดเข้ามาในตลาด Forex เป็นจำนวนมากแต่มีเพียงไม่กี่ค่ายเท่านั้นที่จะมีการส่งคำสั่งซื้อขาย เข้าสู่ตลาด forex จริงๆจะกล่าวต่อไปในหัวข้อความความสำคัญของโบรกเกอร์ภายในบทนี้
- Forex สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: ในคำสั่งซื้อขายของ Forex จะสามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ทิศทางอันเนื่องมาจากไม่ได้เป็นการซื้อขายจริงๆแต่เป็นเพียงการใช้ สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง CFDs คือสัญญาที่ซื้อที่ราคาใดราคาหนึ่งและต้องทำการขายที่ราคาใดราคาหนึ่งเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง
เวลาการเปิดปิดในตลาด Forex
เวลาเปิดปิดของตลาด Forex ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในความสำคัญของการเทรดและยังสามารถนำไปปรับใช้เป็นกลยุทธิ์ได้อีกหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการ เทรด เฉพาะเวลาตลาดใดๆ เปิด หรือ ปิดเป็นต้น ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตลาด Forex จะมีการเทรดได้ตลอด 24 ชม. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเทรดได้ทุกคู่เงินนะครับ ทางเราจึงขอสรุปตารางเวลาการเปิดปิดตลาด Forex มาให้ดังนี้
รูปที่ 2 รูปภาพที่แสดงถึงเวลาเปิดปิดของตลาด Forex
- อเมริกา (USD) เปิด 19.00 – 03.00 น.
- ลอนดอน (GBP) เปิด 15.00 – 23.00 น.
- ออสเตรเลีย (AUD) เปิด 05.00 – 13.00 น.
- โตเกียว ญี่ปุน (JPY) เปิด 06.00 – 14.00 น.
- ฝรั่งเศส (CHF) เปิด 13.00 – 21.00 น.
- ยุโรป (EUR) เปิด 14.00 – 23.00 น.
- แคนาดา (CAD) เปิด 19.00 – 03.00 น.
หมายเหตุ : อ้างอิงตามเวลาของประเทศไทย
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม่ Forex จะสามารถเทรดได้ตลาด 24 ชม.แต่ก็สามารถเทรดในคู่สกุลเงินหลักได้เพียง 5 วันต่อสัปดาห์ คือ จันทร์ – ศุกร์ แล้วหยุดวันเสาร์และอาทิตย์ [4] เพียงแต่ในบางโบรกเกอร์ก็สามารถที่จะเทรดในวัน เสาร์และอาทิตย์ ได้ในกรณีที่เทรดกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น Cryptocurrency หรือ BTCUSD (บิทคอยน์) เป็นต้น
คำศัพท์พื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนเริ่มเทรด Forex
การที่จะเป็นนักเทรดมืออาชีพที่ดีได้นั้นอย่างน้อยควรจะเข้าใจถึงแก่นแท้ของคำศัพท์ขั้นพื้นฐานในตลาด Forex ให้ได้เสียก่อน นอกจากจะทำให้เราสามารถต่อยอดได้มากแล้วยังทำให้เราเข้าใจถึงโครงสร้างและกลยุทธิ์ต่างๆได้ดีขึ้นอีกด้วย..(.ถ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ระวังจะคุยกับเทรดเดอร์ท่านอื่นไม่รู้เรื่องนะครับ ^^) ดังนั้นเราไปลุยศึกษาคลังคำศัพท์ขั้นพื้นฐานกันได้เลยครับ
ความหมายของ Lot size คือ
รูปที่ 3 รูปภาพตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง Lot size ในบัญชีประเภทต่างๆเทียบกับค่า Contact Size
- Lot size หรือ Lot: คือ หนึ่งในตัวแปรสำคัญในการกำหนดขนาด หรือ ปริมาณการซื้อขายของสินค้าชนิดนั้นๆ โดยจะมีค่าขั้นต่ำอยู่ที่ 0.01 และอาจจะมีมากถึง 100 ในบางโบรกเกอร์ [5]
- ความสัมพันธ์ของ Contact Size ที่มีผลต่อค่า Lot ในแต่ละบัญชี : Contact Size จะเป็นตัวกำหนดตัวหนึ่งที่จะมีค่าไม่เท่ากันในแต่ละสินทรัพย์ ซึ่งจะเป็นดังตัวกำหนดว่า 1Lot ในแต่ละสินทรัพย์มีค่าเท่าไร ในคู่สกุลเงินหลัก Contact Size จะมีค่าเท่ากับ 100,000 ต่อ Lot สำหรับบัญชี STD (สามารถหาค่า Contact Size ได้จากการกดดู Symbol ภายในโปรแกรม MT4,5) ดังนั้นแล้วในบัญชีอื่นๆจะมีค่า Contact Size แตกต่างกันดังนี้
- บัญชีประเภท Standard มีค่า 1Lot: 100,000 หน่วย
- บัญชีประเภท Mini มีค่า 1Lot: 10,000 หน่วย
- บัญชีประเภท Micro มีค่า 1Lot: 1000 หน่วย
- บัญชีประเภท Nano มีค่า (cent account) 1Lot: 100 หน่วย
รูปที่ 4 รูปภาพตัวอย่างการคำนวน Lot size ผ่านทางโปรแกรมช่วยคำนวนบนเว็บไซต์ของ Exness
- ตัวอย่างการใช้งาน Lot size เบื้องต้น : โดยปกติแล้วการคำนวนของ Lot size มักจะมีวิธีคิดหลากหลายรูปแบบแต่โดยปกติแล้วเราจะคำนวนโดยเทียบกับระยะทางว่าจำนวนกี่ pip ใน Lot จำนวนใดๆจะมีค่าเป็นเท่าไร เช่น 1 Lot size ของบัญชี STD ของสินทรัพย์ EURUSD เมื่อเคลื่อนที่ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ 10 USD เป็นต้นซึ่งจะคำนวนได้จาก
- สูตร : (หลักทศนิยม ÷ ราคาปัจจุบัน) x (Contact Size x ราคาปัจจุบัน) x Lot
- คำนวนผ่านทางเครื่องคิดเลขของ Exness : เครื่องคิดเลขการเงิน
ความหมายของ Pip และ Points คือ
- Pip และ Points: คือ คือหน่วยของราคาใดๆของสินทรัพย์มีหน้าที่คือบอกระบุตำแหน่งของทศนิยมของสกุลเงินใดๆ หน้าที่หลักๆคือใช้หาระยะห่างของราคา จากราคาใดราคาหนึ่งไปยังอีกราคาใดราคาหนึ่ง [6] เป็นต้น ทั้งนี้จะสรุปได้ว่า
- Pip คือหน่วยตำแหน่งในตำแหน่งทศนิยมนี่ 4 ในกรณีที่มีจุดทศยม 4-5 ตัว และตำแหน่งทศนิยมนี่ 2 ในกรณีที่มีจุดทศยม 2-3 ตัว
- Point คือหน่วยตำแหน่งในตำแหน่งทศนิยมนี่ 5 ในกรณีที่มีจุดทศยม 4-5 ตัวและตำแหน่งทศนิยมนี่ 3 ในกรณีที่มีจุดทศยม 2-3 ตัว
- 1 Pip จะมีค่าเท่ากับ 10 Point เสมอ
รูปที่ 5 รูปภาพตัวอย่างการอธิบายตำแหน่งของ Pip และ Point ในคู่สกุลเงิน EURUSD ที่มีจำนวนทศนิยมจำนวน 5 ตำแหน่ง และ USDJPY ที่มีทศนิยมจำนวน 3 ตำแหน่ง
- ยกตัวอย่างการการหาระยะทางของ EURUSD : 1.00025 ไปยัง EURUSD : 1.00012
- ให้ทำค่าทั้งสองราคามาลบกัน : 1.00025 – 1.00012 = 0.00013
- ในหน่วย Point จะได้ระยะทางเท่ากับ : 13 point
- ในหน่วย Pip จะได้ระยะทางเท่ากับ : 1.3 pip
- ยกตัวอย่างการการหาระยะทางของ USDJPY : 100.012 ไปยัง USDJPY : 100.025
- ให้ทำค่าทั้งสองราคามาลบกัน : 100.025 – 1.00012 = 0.013
- ในหน่วย Point จะได้ระยะทางเท่ากับ : 13 point
- ในหน่วย Pip จะได้ระยะทางเท่ากับ : 1.3 pip
- ยกตัวอย่างการการหาระยะทางของ EURUSD : 1.50025 ไปยัง EURUSD : 1.30012
- ให้ทำค่าทั้งสองราคามาลบกัน : 1.50025 – 1.30012 = 0.20013
- ในหน่วย Point จะได้ระยะทางเท่ากับ : 20013 point
- ในหน่วย Pip จะได้ระยะทางเท่ากับ : 2001.3 pip
หมายเหตุ : ตัวเลขสีแดงแสดงถึงค่าในตำแหน่ง Pip และสีน้ำเงินแสดงค่าในตำแหน่ง Point
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าค่า Pip และ Point ในแต่ละสกุลเงินจะมีทศนิยมที่แตกต่างกันเนื่องจากจำนวนทศนิยมของแต่ละคู่สกุลเงินมีจำนวนที่แตกต่างกันไปและยังสอดคล้องกับการกับเรื่องของการหา Lot size อีกด้วยเพราะฉะนั้นการคำนวน Lot size จำเป็นจำต้องมีความรู้เรื่อง Pip และ Point ด้วยนั้นเองดังสูตร (หลักทศนิยม ÷ ราคาปัจจุบัน) x (Contact Size x ราคาปัจจุบัน) x Lot หรือจะคำนวน ผ่านทางเครื่องคิดเลขของ Exness ก็ได้เช่นกัน
ความหมายของ Leverage คือ
รูปที่ 6 รูปภาพตัวอย่างการอธิบายความหมายของ Leverage และความสามารในการเพิ่มจำนวนเงินลงที่อยู่ให้สามารถซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาที่เพิ่มมากขึ้น
- Leverage: หรือ เลเวอเรจ แปลตามภาษาไทยหมายถึง “คานงัด” ความสามารถของมันคือพลังในการทวีคูณเข้าไปในเงินลงทุนของเรา นั้นเหมายถึงเราสามารถใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงได้ [7] โดยปกติจะมีให้เลือกในขั้นตอนเปิดบัญชี อยู่ที่ 1:1 จนมากถึง 1:2,000 หรือ ไม่จำกัด ในบางโบรกเกอร์
- ยกตัวอย่างของของการทำงานเลเวอเรจ: โดยปกติแล้วหากท่านมีเงินจำนวน 100 USD และต้องการซื้อสินค้าในราคา 10,000 USD โดยปกติแล้วจะไม่สามารถซื้อได้เนื่องจากมีเงินไปพอซึ่งในกรณีนี้คือจะมีเลเวอเรจอยู่ที่ 1:1 แต่ถ้าหากโบรกเกอร์สามารถให้ท่านใช้เลเวอเรจ 1:1,000 ได้เท่ากับว่าท่าสามารถซื้อสินค่าได้สูงถึง 100 USD x 1,000 เท่ากับ 100,000 เลยทีเดียว
- Leverage คือดาบสองคมที่อันตรายในตลาด Forex: ในวงการนี้เราจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Leverage คือความอันตรายต่อผู้เล่นหน้าใหม่เพราะนอกจากจะสามารถลงทุนได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยแต่กลับได้ผลตอบแทนที่สูงแต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงเช่นกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- กรณีซื้อขายถูกทาง: มีทุนอยู่ 1,000 $ ใช้ เลเวอเรจ 1:100 ทำการ Buy ด้วยจำนวน 1 Lot กราฟมีการพุ่งขึ้น 1,000 pip เท่ากับว่าคุณจะได้กำไร 10,000 $
- กรณีซื้อขายผิดทาง: มีทุนอยู่ 1,000 $ ใช้ เลเวอเรจ 1:100 ทำการ Buy ด้วยจำนวน 1 Lot กราฟมีการพุ่งลง 100 pip เท่ากับว่าคุณจะหมดเงินในบัญชีไปด้วยระยะทางที่สั้นๆ หรือที่เรียกกันว่า ล้างพอร์ต
- หมายเหตุ : ตัวอย่างดังกล่าวทุกการเคลื่อนที่ 1 Pip จะคิดเป็นเงิน 10$ ต่อ 1 Lot
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความสำคัญของ Leverage นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในความสำคัญต้นๆของการเทรด Forex เลยก็ว่าได้ทั้งนี้ก็จะต้องมีความรู้เรื่องของ Lot size และ Pip เข้ามาประกอบด้วยหากขาดความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้วนั้นจะกล่าวได้ว่าอาจจะไม่สามารถเข้าใจถึงลักษณะการทำงานของเลเวอเรจเลยก็เป็นได้
ความสำคัญของ Balance / Equity / Margin และ Margin Level
ในหัวข้อนี้จะพูดถึงความสำคัญของ Balance , Equity , Margin และ Margin Level เป็นหลักโดยคำศัพท์ในหัวข้อนี้จะเน้นไปที่คำศัพท์ประเภทเงินลงทุนเป็นหลักโดยหากขาดความเข้าใจตัวใดตัวหนึ่งไปแล้วนั้นจะถือว่าพลาดจุดสำคัญที่สุดไปเลยก็ได้ ดังนั้นเราไปดูความหมายของแต่ละตัวดังนี้ได้เลย
รูปที่ 7 รูปภาพตัวอย่างแสดงหน้าต่างสถานะของ Balance / Equity / Margin และ Margin Level บนโปรแกรม Mt5
- Balance คือ จำนวนยอดเงินสุทธิของเราในปัจจุบัน โดยที่จะเป็นยอดเงินที่ยังไม่ได้หักลบกับ กำไร-ขาดทุน ของออเดอร์ที่เรายังคงค้างไว้อยู่ในระบบ [8]
- Equity คือ จำนวนยอดเงิน ณ เวลาปัจจุบันที่ได้ทำงานหักลบ กำไร-ขาดทุน ของออเดอร์ที่เรายังคงค้างไว้อยู่ในระบบโดยจะแสดงผลแบบ Real-time ทำให้เราทราบได้ว่า ณ ขณะนี้หากทำการปิดออเดอร์ไปจะทำให้เราเหลือ Balance เท่าไร [9]
- ในกณีที่ไม่มีออเดอร์ค้างไว้อยู่ Balance จะเท่ากับ Equity เสมอ
- Margin คือ วงเงินที่ใช้ในการค้ำประกัน มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Future ที่เราจะต้องมีการวางเงินค้ำประกันเอาไว้ โดยปกติเวลาเราจะทำการซื้อขายสินทรัพย์ใดๆก็ตาม ทางโบรกเกอร์ก็จะทำการดึงเงินมาค้ำประกันไว้ก่อนและจะคืนให้ตามเดิมเมื่อมีการสิ้นสุดการซื้อขาย ทั้งนี้ยังมีความสัมพัน์กับค่า Leverage และ Lot ดังตัวอย่างต่อไปนี้ [10]
- สูตรสมการคำนวน: Margin = ราคาสินค้า / Leverage * Lot
- ยกตัวอย่างการคำนวน Margin: สมมุติมีสินทรัพย์ราคา 100,000 บาท โดยที่เรามีเงินลงทุน 1,000 บาท ดังนั้นเราควรจะใช้ Leverage 1:100 เป็นอย่างต่ำ ในการที่จะสามารถวางเงินค้ำประกันได้ ดังนั้นเมื่อเราแทนค่าสมการสมสูตรด้านบนจะเห็นได้ว่า Margin จะเท่า 100 บาท
- ยกตัวอย่างความสำคัญของ Margin: เมื่อใดก็ตามหากเรามี Margin ไม่เพียงพอเราก็จะไม่สามารถทำเปิดการซื้อขายในจำนวน Lot มากๆได้เนื่องจากค่า Margin ไม่พอที่จะใช้สำหรับวางค้ำประกัน และ ในกรณีที่เราไม่เหลือ Margin อยู่เลยก็มีโอกาสที่โบรกเกอร์จะทำการปิดออร์เดอร์ทั้งหมดให้อัตโนมัติ หรือ ก็คือการล้างพอร์ตในภาษาไทยเรา
- Margin level คือ เปอร์เซนต์อัตราส่วนระหว่างค่า Equity และ Margin โดยที่หากมีเปอร์เซนต์ที่ต่ำกว่าค่า Stop out ก็จะมีการหยุดการซื้อขายไปเลยทำให้เราเกิดการล้างพอร์ตเกิดขึ้นได้ (Stop out ของแต่ละโบรกเกอร์จะกำหนดขั้นต่ำต่างกัน) ทั้งนี้เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการ Stop out ที่เท่าไรโดยสามารถเลือกได้โดยการศึกษาข้อมูลของโบรกเกอร์และประเภทบัญชีนั้นๆก่อนการลงทุน [11]
ชนิดของคำสั่งซื้อขาย หรือ ออเดอร์
เมื่อเราได้รู้ถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวของกับพื้นฐานที่ผ่านมาแล้วนั้น ในหัวข้อต่อไปนี้ก็จะขออธิบายเกี่ยวกับประเภทออเดอร์ต่างๆที่เราสามารถทำการซื้อขายหรือสั่งการได้ผ่านการเทรด Forex ทั้งนี้ผมก็จะขออธิบายโดยนำหน้าต่างของโปรแกรมเทรด MT4 มาอธิบายเป็นหลัก อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าเราจะไปทำความรู้จักกับแพลตฟอร์ตสำหรับการเทรดกันในหัวข้อถัดต่อๆไปภายในบทนี้เช่นกัน
รูปที่ 8 รูปภาพแสดงตัวอย่างของการออกออเดอร์ทั้ง 6 รูปแบบที่จะแสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ประเภทของคำสั่งซื้อขายโดยทั่วไปแล้วสำหรับคนที่ทำการเทรดหุ้นมาก่อนคงจะคุ้นชินกับคำว่า Long และ Short มาก่อนแต่ในตลาด Forex หากเราจะทำนายว่าอนาคตจะมีโอกาสที่กราฟจะทำราคาไปในทิศทางขึ้นเราจะเรียกคำสั่งนี้ว่า Buy แทนคำว่า Long และ ในขณะเดียวกันก็จะเรียกหากเราจะทำนายว่าอนาคตจะมีโอกาสที่กราฟจะทำราคาไปในทิศทางลงเราจะเรียกคำสั่งนี้ว่า Sell แทนคำว่า Short ทั้งนี้ยังคงมีประเภทคำสั่งอื่นๆอีกดังนี้ [12]
- Buy คือ: คำสั่งซื้อ หรือ การทำนายว่ากราฟในอนาคตจะมีทิศทางขาขึ้น หมายถึงเมื่อเราทำการออกคำสั่งจะมีการเข้าออเดอร์ Buy ทันที
- Sell คือ: คำสั่งขาย หรือ การทำนายว่ากราฟในอนาคตจะมีทิศทางขาลง หมายถึงเมื่อเราทำการออกคำสั่งจะมีการเข้าออเดอร์ Sell ทันที
- Buy Stop คือ: เป็นคำสั่งซื้อประเภทเพนดิ้งออเดอร์ หรือ ก็คือคำสั่งซื้อล่วงหน้าเมื่อกราฟราคามาถึงจุดหมายที่ต้องการจะออกออเดอร์ Buy ที่จุดนั้นทันที เมื่อคำสั่งนี้จะส่งไว้สูงกว่าราคาปัจจุบัน
- Sell Stop คือ: เป็นคำสั่งซื้อประเภทเพนดิ้งออเดอร์ หรือ ก็คือคำสั่งขายล่วงหน้าเมื่อกราฟราคามาถึงจุดหมายที่ต้องการจะออกออเดอร์ Sell ที่จุดนั้นทันที เมื่อคำสั่งนี้จะส่งไว้ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
- Buy Limit คือ: เป็นคำสั่งซื้อประเภทเพนดิ้งออเดอร์ หรือ ก็คือคำสั่งซื้อล่วงหน้าเมื่อกราฟราคามาถึงจุดหมายที่ต้องการจะออกออเดอร์ Buy ที่จุดนั้นทันทีเมื่อเมื่อคำสั่งนี้จะส่งไว้ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
- Sell Limit คือ: เป็นคำสั่งซื้อประเภทเพนดิ้งออเดอร์ หรือ ก็คือคำสั่งขายล่วงหน้าเมื่อกราฟราคามาถึงจุดหมายที่ต้องการจะออกออเดอร์ Sell ที่จุดนั้นทันที เมื่อคำสั่งนี้จะส่งไว้สูงกว่าราคาปัจจุบัน
- Close order / position คือ: การปิดคำสั่งซื้อขายที่มีการออกออเดอร์ Buy หรือ Sell ไปแล้วซึ่งสามารถทำการปิดด้วยตนเองได้ หรือ จะทำการปิดแบบล่วงหน้าโดยจะมีคำศัพท์แยกมาดังนี้
- Take profit คือ: การปิดในตำแหน่งการซื้อขายที่ออเดอร์นั้นได้กำไรเมื่อถึงเป้าหมายราคาที่กำหนด
- Stop loss คือ: การปิดในตำแหน่งการซื้อขายที่ออเดอร์นั้นได้ขาดทุนเมื่อถึงเป้าหมายราคาที่กำหนด
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคำสั่งการซื้อขายเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในตัวแปรที่สามารถกำหนดกลยุทธิ์ในการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมไปถึงยังเป็นหนึ่งในคำศัพท์ที่จำเป็นมากๆในการเข้าใจถึงองค์ประกอบในการเทรดอีกด้วยเพราะในอนาคตเราจะวนเวียนอยู่กับคำศัพท์เหล่านี้อย่างแน่นอน
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Gain และ Drawdown
หนึ่งในคำศัพท์ที่เราไม่สามารถมองข้ามได้เนื่องจากมันสามารถบอกผลลัพธ์ของกลยุทธิ์ในการเทรดของท่านได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงเป็นหนึ่งในคำศัพท์ยอดฮิตที่มีกจะใช้คู่กับการสอบกองทุนหรือการประกอบการตัดสินใจผลงานผ่านท่าง Myfxbook ด้วยโดยในหัวข้อนี้จะไม่ได้พูดถึงเรื่องตัวแปรของ Dashboard ของ Myfxbook มากนักเพียงแต่จะขออธิบายในหัวข้อที่สำคัญและพบเห็นได้ทั่วไปดังนี้
รูปที่ 9 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างการแสดงผลของ Gain และ Drawdown บนหน้าต่างของ Myfxbook
- Gain คือ: (กำไร หรือ ขาดทุน) ทั้งหมดเทียบกับเงินฝากที่ฝากเข้าโดยสำหรับ myfxbook จะมีวิธีการคำนวนแบบ Time-Weight Return (TWR) โดยวัดผลตอบแทนของพอร์ตตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการโอนเงินเข้าพอร์ต
- Abs. Gain: ผลตอบแทน (กำไร ขาดทุน) ที่คำนวณจากเงินฝากทั้งหมด
- Daily: อัตราผลตอบแทน รายวัน
- Monthly: อัตราผลตอบแทน รายเดือน
รูปที่ 10 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างของการเกิด Drawdown ทั้ง 3 ประเภทที่แตกต่างกัน
- Drawdown: อัตราการขาดทุนแบบสูงสุดหมายถึงจะเป็นการบ่งบอกเปอร์เซนต์ในการขาดทุนว่าตั้งแต่เทรดมาขาดทุนไปแล้วกี่เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับ Balance (ทั้งนี้สูตรในการคำนวนของแต่ละที่จะไม่เหมือนกัน) ทั้งนี้ Drawdown ยังสามารถแบ่งได้อีกหลายประเภทดังนี้ [13]
- Absolute drawdown คือ คือผลขาดทุนมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้นคำนวนจากเงินทุนเริ่มต้นมีสูตร คือ Absolute drawdown = Initial Deposit – Minimum Balance ประโยชน์คือสามารถช่วยให้ท่านดูได้ว่าเงินทุนของท่านนั้นเพียงพอต่อระบบเทรดนั้นๆหรือไม่ (ในกรณีที่ใช้ EA)
- Maximum Drawdown คือ จุดขาดทุนต่อเนื่องสูงสุด นับจากผลต่างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดมีสูตรคือ Maximum Drawdown = Maximum peak – Minimum Equity
- Relative Drawdown คือ การขาดทุนต่อเนื่องสูงสุดจะโดยจะบ่งบอกว่ากลยุทธิ์ที่เราใช้เทรดนั้นเคยมีการ SL ติดต่อกันจนขาดทุนเป็นเท่าไรโดยที่จะมีสูตรคือRelative drawdown = (Maximum Drawdown
/ Maximum peak) x 100
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั้ง Gian และ Drawdown คือหนังในตัวแปรที่สำคัญที่จะสามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของกลยุทธิ์ของตนเองได้ โดยเหตุนี้เราจึงสามารถนำตัวแปรเหล่านี้ไปวัดความสามารถในการเทรดของตนเองและการเทรดของคนอื่นได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถนำไปรวมกับการ Money Management ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
องค์ประกอบสำคัญของแท่งเทียน หรือ Candlestick Chart
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งครับว่าไม่ว่าจะเป็นการเทรดในตลาดไหนก็ตามหรือไปเทรดบนแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน ณ บนกระดานกราฟจะสังเกตได้ว่าร้อยละ 90% ส่วนใหญ่ของคนไทยจะใช้รูปแบบเป็นแบบกราฟแท่งเทียนเป็นหลัก เหตุเพราะว่าการใช้งานกราฟในรูปแบบนี้สามารถทำให้เรามองเห็นภาพรวมได้อย่างชัดเจน..ไม่ว่าจะเป็นราคา เปิด/ปิด หรือ สูง/ต่ำ ก็ง่ายต่อการมองเห็นอย่างยิ่ง [14]
รูปที่ 11 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างองค์ประกอบสำคัญของแท่งเทียน หรือ Candlestick Chart ของทั้งสองแท่งเทียนที่จะประกอบไปด้วย ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูง และ ราคาต่ำ
ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการที่สามารถระบุได้ว่าแท่งเทียนไหนเป็น Bullish หรือ Bearish จึงทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธิ์ในการเทรดได้หลากหลายรูปแบบด้วยกันไม่ว่าจะเป็น Dow theory, Elliott wave, Fibonacci, และพวก Price action หรือ Candlestick pattern เป็นต้น โดยพื้นฐานของแท่งเทียนจะมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
- องค์ประกอบของกราฟแท่งเทียน
- ราคาเปิด (Open price)
- ราคาปิด (Close price)
- ราคาสูงสุด (Highest price)
- ราคาต่ำสุด (Lowest price)
- เนื้อเทียน (Body) หรือ ตัวเทียน คือช่วงระยะระหว่าง ราคาเปิด กับ ราคาปิด
- ไส้เทียน (Wick) คือช่วงระหว่างราคา ต่ำสุด หรือ สูงสุด จนถึงขอบเนื้อเทียน
- การเกิดกราฟแท่งเทียน Bullish (แท่งสีเขียว): เกิดจากการที่มี ราคาปิด มากกว่า ราคาเปิด แสดงให้เห็นว่าราคาในขณะนั้นมีแรงซื้อมากกว่าแรงขายทำให้ราคามีการปรับตัวขึ้น
- การเกิดกราฟแท่งเทียน Bearish (แท่งสีแดง):เกิดจากการที่มี ราคาปิด น้อยกว่า ราคาเปิด แสดงให้เห็นว่าราคาในขณะนั้นมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อทำให้ราคามีการปรับตัวลง
- ทำความเข้าใจกราฟแท่งเทียนในแต่ละ Timeframe: จากพื้นฐาน Timeframe ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญเนื่องจากกราฟแท่งเทียนแต่ละ Timeframe นั้นไม่เหมือนกัน เหตุเพราะว่า เวลาในการเปิดปิดของแท่งเทียนนั้นแต่งต่างกัน เช่น ใน TF 5 นาที แท่งเทียนจะเกิดขึ้นเพียง 1 แท่ง ในขณะเดียวกัน ใน TF 1 นาที จะมีการเกิดแท่งเทียน 5 แท่งในระยะเวลา 5 นาทีเท่าๆกัน เป็นต้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารายละเอียดของกราฟแท่งเทียนนั้นถือได้ว่าตอบโจทย์ได้ในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรืองที่สามารถพิจารณาราคาของ ณ เวลาใดๆได้อย่างละเอียด รวมไปถึงยังสามารถสังเกตราคาที่เกิดขึ้นแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับกราฟประเภทอื่นๆ ทั้งนี้ยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่ต้องรู้ก่อนที่จะเข้าสู่การเทรดในกลยุทธิ์ต่างๆอีกด้วย
คู่เงินหลัก และ คู่เงินรองในตลาด Forex
จากที่กล่าวกันไปในหัวข้อต้นๆว่าในตลาด Forex นั้นเป็นการเทรดกับสัญญาซื้อขายส่วนต่าง CFDs โดยมีสินทรัพย์หลักคือคู่สกุลเงิน แต่บนโลกใบนี้มีสกุลเงินเกิดขึ้นมากมาย จึงเกิดเป็นคำถามว่า “แล้วเขาเทรดสกุลเงินไหนกันบ้างนะ?” ผมจึงขอตอบว่าแท้จริงแล้วในตลาด Forex ก็มีทั้งคู่เงินหลัก และ คู่เงินรอง โดยจะมีรายละเอียดดังหัวข้อต่อไปนี้ [15]
รูปที่ 12 รูปภาพตัวอย่างคู่เงินหลัก และ คู่เงินรองในตลาด Forex
- คู่เงินหลัก หรือ Major currency pair คือ: คู่เงินหลัก หรือ Major fx เป็นคู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมในการเทรดเป็นจำนวนมาก อันเนื่องมากจากเป็นคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องที่สูงและยังเป็นสกุลเงินหลักที่มีคนใช้งานแพร่หลายทั่วโลกรวมไปถึงยังมีความมั่นคงและแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆมักจะมีคำว่า USD ประกอบด้วยเช่น
- EUR/USD หรือ Euro zone / United States
- GBP/USD หรือ Great British Pound / United States
- AUS/USD หรือ Australia / United States
- NZD/USD หรือ New Zealand / United States
- USD/JPY หรือ United States / Japan
- USD/CHF หรือ United States / Switzerland
- คู่เงินรอง หรือ Minor currency pair คือ: คู่เงินรอง หรือ Minor fx เป็นคู่เงินที่มีคนนิยมในการใช้เทรดรองลงมาจาก คู่เงินหลัก ซึ่งแน่นอนว่าจะมีสภาพคล่องที่น้อยกว่าแต่ในทางกลับกันก็มีความผันผวนที่มากกว่าเช่นกัน สังเกตได้ง่ายๆมักจะมี ไม่มี คำว่า USD ประกอบ เช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY เป็นต้น
- คู่เงินนอกกระแส หรือ Exotic currency pair : เป็นคู่เงินที่มักจะเพิ่งมีการเกิดใหม่ขึ้นความน่าเชื่อถือค่อนข้างน้อย และมักจะไม่มีผวนต่ำและสภาพคล่องที่ต่ำเช่นกัน จึงไม่เป็นที่นิยมในการเทรด
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแต่ละสินทรัพย์ในการเทรดจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นความผันผวนหรือสภาพคล่องก็ต่างเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญกับกลยุทธิ์ในการเทรดทั้ง นั้นหมายความสำหรับการท่านใดที่ชอบเทรดกราฟเป็นเภทที่เน้นเทรดเป็นเทรนด์เป็นหลักก็คงไม่พ้นต้องเลือกคู่เงินที่มีความผันผวนสูงๆ เป็นต้น
แพลตฟอร์มสำคัญที่ใช้ในการเทรด Forex และวิธีการใช้งาน
ก่อนที่จะไปเริ่มต้นการเทรดอย่างจริงจังเราต้องไปทำความรู้จักเกี่ยวกับเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่ใช้ในการเทรด Forex เสียก่อนโดยปัจจุบันนี้เราสามารถเลือกเทรดได้ค่อนข้างอิสระในหลายๆโบรกเกอร์ก็มักจะมีแพลตฟอร์มที่รองรับแตกต่างกันไปดังนั้นในบทนี้จึงจะเสนอเพียงแพลตฟอร์มที่มีความนิยม 4 แพลตฟอร์มดังต่อไปนี้
รูปที่ 13 รูปภาพแสดงตัวอย่างหน้าตาของ Metatrader 5 หรือ MT5
- Metatrader4/5 หรือ MT4/5: ในปัจจุบันโบรกเกอร์ส่วนใหญ่โดยพื้นฐานจะรองรับ Metatrader เป็นหลักโดยเฉพาะ Metatrader 4 และในปัจจุบันแม้แต่ในประเทศเราเองยังถือว่ามีผู้คนใช้งานอย่างแพร่หลายเลยที่เดียวอีกทั้งยังสามารถและดาวห์โหลดมาติดตั้งได้ง่ายผ่านโบรกเกอร์ที่ทำการสมัครชิกไว้ได้ด้วยซึ่งจะมีข้อดีข้อเสียดังนี้
- ข้อดีของ Metatrader4/5
- ทุกโบรกเกอร์มีบริการ Metatrader4/5
- มีให้บริการทั้งใน PC และ Smartphone
- ใช้งานค่อนข้างง่าย
- รองรับอินดิเคเตอร์พื้นฐานจำนวนมาก
- เป็นแพลตฟอร์มที่ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน
- รองรับการทำงานของ EA หรือ โรบอทเทรด
- เปิดโอกาสให้สามารถนำเข้า Indy หรือ EA ได้ฟรี
- ใช้ภาษา MQL4/5 ในการพัฒนา
- ข้อเสียของ Metatrader4/5
- ความสามารถในการวาดเขียนบนหน้าต่างมีสีสันด้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่น
- ใน Metatrader 5 ใช้ทรัพยพากรณที่มากกว่า Metatrader 4
- มีความสวยงามด้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆเล็กน้อยและมีข้อจำกัดในการปรับแต่งที่จำกัด
- ไม่สามารถทำการ Copytrade ได้โดยตรงแต่จะต้องทำผ่านตัวกลาง เช่น โบรกเกอร์ หรือ EA เป็นต้น
- ข้อดีของ Metatrader4/5
รูปที่ 14 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างหน้าตาของ cTrader
- cTrader: เป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มักจะรองรับเพียงแต่จะมีน้อยกว่า Metatrader4/5 เหตุอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มาทีหลัง Metatrader4 โดยจะพัฒนาขึ้นโดย Spotware ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับ Metatrader 5 ซึ่งจะมีข้อดีข้อเสียดังนี้
- ข้อดีของ cTrader
- หน้าต่างใช้งานค่อนข้างง่าย
- มีระบบ Copytrade โดยตรงไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ
- สามารถใช้งาน EA ได้
- ใช้ภาษา C# API ในการพัฒนา
- ข้อเสียของ cTrader
- มีผู้ใช้งานน้อยกว่า Metatrader4/5 ค่อนข้างมาก
- เนื่องจากในไทยมีผู้ใช้งานน้อยจึงไม่ค่อยมีคอนเทนส์อะไรแนะนำออกมา
- EA ส่วนใหญ่มักจะถูกเขียนขึ้นโดยภาษา MQL4/5 มากกว่า C# API
- มีเพียงบางโบรกเกอร์เท่านั้นที่แนะนำให้ใช้ cTrader
- ข้อดีของ cTrader
รูปที่ 15 รูปภาพแสดงตัวอย่างหน้าตาของ Ninja Trader
- Ninja Trader: นินจาเทรดเดอร์เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ถึงแม้จะไม่ได้ได้รับความนิยมเทียบเท่า MT4/5 แต่กลับสร้างความโดดเด่นผ่านทางข้อมูลของ Volume (ปริมาณการซื้อขาย) ที่เป็นจุดขายของแพลตฟอร์มนี้เลยทีเดียวผ่านทางอินดิเคเตอร์อย่าง Volume profile แต่ทั้งนี้เนื่องจากไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักจึงคิดว่ารู้พอหอมปากหอมคอคงเพียงพอแล้ว
รูปที่ 16 รูปภาพแสดงตัวอย่างหน้าตาของ Tradingview
- Tradingview: เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ถือว่าเป็นคู่แข่งตลอดกาลของ Metatrader เลยทีเดียวเหตุผลเพราะมีเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก อันเนื่องมาจากเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้งานได้ง่ายรวมไปถึง User interface ทำออกมาได้แบบมีสีสันที่สวยงามพร้อมกับ Feature ต่าง ๆที่หลากหลาย…
นอกจากนี้ Tradingview ที่เป็นแพลตฟอร์มที่คนกลุ่มที่ใช้งาน Forex จะใช้สำหรับการวิเคราห์กันแล้วยังมีกลุ่มนักเทรดประเภทอื่นๆร่วมใช้อีกจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์ของตลาดหุ้น หรือ แม้แต่เทรดเดอร์ Cryptocurrency เองก็ด้วยเช่นกันจึงทำให้ Tradingview เป็นอีกแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูง- ข้อดีของ Tradingview
- User interface มีสีสันสวยงามและใช้งานได้ง่าย
- มี Indicator ให้ใช้งานเป็นจำนวนมาก
- ใช้ภาษา Pine Script ในการพัฒนาโปรแกรมเป็นหลัก
- เหมาะสำหรับนักวิเคราห์ทุกรูปแบบ
- มี Feature หลากหลายรูปแบบ
- มีจุดขายด้านอินดิเตอร์ Volume profile ที่สามารถบ่งบอกปริมาณการซื้อขายได้อย่างแม่นยำ
- รองรับทั้ง PC และ Smartphone รวมไปถึงสามารถใช้งานบน Website ได้อีกด้วย
- ข้อเสียของ Tradingview
- สำหรับบัญชีฟรีใช้งานได้ไม่เต็มรูปแบบ เช่น Backtest ไม่ได้หรือจำกัดจำนวนการใช้งาน Indicator เป็นต้น
- มีค่าใช้จ่ายสูงในบัญชีที่ต้องการใช้งานในรูปแบบเต็ม
- มีโบรกเกอร์น้อยรายที่สามารถซื้อขายผ่าน Tradingview ได้โดยตรง ดังนั้นบางโบรกเกอร์ยังจำเป็นจะต้องซื้อขายผ่าน MT4/5
- บางอินดิเคเตอร์จำเป็นต้องใช้งานในบัญชีที่เสียเงินเช่น อินดิเตอร์ Volume profile เป็นต้น
- ไม่สามารถใช้งาน EA หรือ Indy ที่พัฒนามาจากภาษา MQL4/5 ได้
- ข้อดีของ Tradingview
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแต่ละแต่ละแพลตฟอร์มก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความพึงพอใจที่จะใช้งาน บางคนอาจจะถนัดในด้านการวิเคราห์เป็นหลักจึงใช้งานบน Tradingview และออกคำสั่งซื้อขายผ่านทาง MT4/5 ก็สามารถทำได้ หรือ บางท่านเทรดโดยการใช้งาน EA หรือ โรบอทเทรดก็เลือกในการเทรดผ่าน MT4/5 เป็นหลักก็ไม่ผิดกติการแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นควรที่จะเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับกลยุทธิ์ในการเทรดของตนเองเป็นหลักถึงจะดีที่สุด
รวมเทคนิคขั้นพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้นการเทรด Forex
ในหัวหัวข้อนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในหัวข้อสำคัญมากอีกหัวข้อหนึ่ง เพราะเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่ควรจะมีก่อนจะทำการเข้าสู่วงการเทรดเดอร์ แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับใครที่เป็นมือใหม่แอบข้ามหัวข้อย่อยที่ผ่านๆมาแนะนำให้เลื่อนขึ้นกลับไปอ่านอีกสักเล็กน้อยนะครับ เนื่องจากในหัวข้อนี้เราจะพูดถึงคำศัพท์ต่างๆและองค์ประกอบที่ได้ทำการอธิบายมาก่อนหน้าทั้งหมดหากขาดความรู้ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งไปแล้วนั้นก็อาจจะทำให้ท่านไม่สามารถเข้าใจภาพรวมได้ทั้งหมดนั่นเองครับ
โดยสิ่งที่จะสอนต่อไปนี้ก็จะพูดถึงกลยุทธิ์หลักๆที่ผู้เขียนได้เล็งเห็นแล้วว่าเป็นกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์จำเป็นจะต้องรู้และถึงแม้จะมีเนื้อหาไม่ได้เข็มข้นมากแต่รับรองได้เลยว่าท่านจะสามารถนำกลยุทธิ์ไปต่อยอดเชิงลึกและผสมผสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพดังนั้นเราไปเริ่มที่ความรู้ประเด็นแรกกันเลยครับ
ทำความรู้จักกับ Trend (เทรน) หรือ พฤติกรรมของกราฟในตลาด Forex
พื้นฐานสำคัญของการเทรดใน Forex คือต้องตอบให้ได้ว่ากราฟที่เกิดขึ้นกับคู่เงินในปัจจุบันเป็นกราฟที่บ่งบอกถึงสภาวะเทรนแบบใด [16] หรือ อีกความหมายคือ คือแนวโน้มของราคา ณ ตอนนี้ เป็นแบบใด และนั่นจึงเป็นเป้าหมายแรกๆในการเทรดบนตลาดฟอเร๊กซ์ เพราะหากเราสามารถระบุเทรนได้อย่างแม่นยำแล้วเราจะสามารถใช้พิจาณาในการออกออเดอร์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ดังนั้นในตลาด Forex จะประกอบไปด้วยเทรนสามรูปแบบดังต่อไปนี้
รูปที่ 17 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างการเกิดเทรนทั้ง 3 ประเภท
- Trend (เทรน) คือ แนวโน้มของราคาที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาใดๆ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆดังต่อไปนี้
- Up-Trend (เทรนขาขึ้น) คือ เทรนสภาวะ หรือ Pattern ที่มีรูปแบบของกราฟมีแนวโน้วที่มีทิศทางไปทางด้านบน หรือ ก็คือมีการสร้างราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สามารถสังเกตได้จากการตีแนวรับแนวต้านเป็นพื้นฐาน หรือ ดูจาก Swing ของราคาดังนี้
- มีการทำ Higher High หรือ ราคาจุดสูงสุดก่อนหน้ามีการทำราคาขึ้นไป
- มีการทำ Higher Low หรือ ราคาต่ำสุดก่อนหน้ามีการทำราคาขึ้นไป
- Down-Trend (เทรนขาลง) คือ เทรนสภาวะ หรือ Pattern ที่มีรูปแบบของกราฟมีแนวโน้วที่มีทิศทางไปทางด้านล่าง หรือ ก็คือมีการสร้างราคาที่ต่ำลงเรื่อยๆ สามารถสังเกตได้จากการตีแนวรับแนวต้านเป็นพื้นฐานเช่นกัน
- มีการทำ Lower High หรือ ราคาจุดสูงสุดก่อนหน้ามีการทำราคาลงมา
- มีการทำ Lower Low หรือ ราคาจุดต่ำสุดก่อนหน้ามีการทำราคาลงมา
- Sideways (ไซต์เวย์) คือ เทรนที่มีลักษณะที่มีการทำราคาที่ไม่คงที่ หรือ ไม่เลือกทำราคาให้สูงขึ้นเรื่อยๆหรือต่ำลงเรื่อยๆ โดยปกติจะขึ้นๆลงๆต่างกันไม่มากนักและมักจะมี Volume และความผันผวนที่ต่ำจึงสามารถตีแนวรับแนวนอนได้เป็นแนวนอนมีกรอบที่แคบ
- ในแต่ละสวิงของราคาจุดต่ำสุด หรือ จุดสูงสุด จะมีการทำราคาใกล้เคียงกันเสมอ
- มักจะสามารถตีกรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมได้
- Up-Trend (เทรนขาขึ้น) คือ เทรนสภาวะ หรือ Pattern ที่มีรูปแบบของกราฟมีแนวโน้วที่มีทิศทางไปทางด้านบน หรือ ก็คือมีการสร้างราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สามารถสังเกตได้จากการตีแนวรับแนวต้านเป็นพื้นฐาน หรือ ดูจาก Swing ของราคาดังนี้
หมายเหตุ : จะสอนวิธีการตีแนวรับแนวต้านในหัวข้อถัดไป
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในสภาวะของตลาดนั้นจะมีการปรากฎของ Pattern ที่แตกต่างกันออกไปดังนั้นหากเราสามารถรู้ว่าเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นเกิดในลักษณะใดเราก็จะสามารถคาดการณ์ราคาที่สามารถจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ว่ามีโอกาสที่จะทำราคาไปใดทิศทางใด…แต่ๆๆๆ นั้นไม่ได้หมายความว่าราคานั้นจะสามารถทำราคาตามเทรนด์ได้เสมอไป ในหลายครั้งก็มีโอกาสทำราคากลับตัวเปลี่ยนไปอีกเทรนด์ได้เลยเช่นกัน ดังตัวอย่างพื้นฐานหัวข้อ แนวรับแนวต้าน ต่อไปนี้
พื้นฐานการหาแนวรับแนวต้าน Support & Resistance
การหาแนวรับแนวต้านนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เบสิคสุดๆที่เทรดเดอร์ทุกท่านจำเป็นต้องมี เหตุเพราะว่าการหาแนวรับแนวต้าน [17] ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีหลักที่จะเข้ามาช่วยในการหาเทรนที่เกิดขึ้นในตลาดได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถที่จะบอกจุดที่กราฟ อาจจะมีการกลับตัวหรือจุดเปลี่ยนเทรนที่จะเกิดในอนาคตได้อีกด้วยซึ่งเราจะมีวิธีการตีง่ายๆดังนี้
รูปที่ 18 รูปภาพตัวอย่างการหาแนวรับแนวต้าน Support & Resistance
- แนวรับ หรือ Support คือ เป็นเส้นแนวนอนที่จะอยู่บริเวณใต้กราฟแท่งเทียนเป็นหลัก ลักษณะในการใช้งานทั่วไปคือเป็นแนวที่ราคามักจะวิ่งลงมาชนและไม่สามารถทะลุลงต่อไปได้ โดยปกติเส้นนี้มักจะมีจุดที่ราคาวิ่งลงมาแตะและเด้งขึ้นไปมากกว่า 2-3 จุดขึ้นไป ซึ่งจะมีหลักการหาง่ายๆดังนี้
- มองหาจุดต่ำสุดของราคา หรือ Swing Low : คือให้ทำการมองหาจุดที่ราคาวิ่งจากด้านบนลงมาด้านล่างและทำการเด้งกลับขึ้นไป อย่างน้อย 2-3 จุดขึ้นไป
- ทำการลากเส้นตามแนว จุดต่ำสุด ที่ได้มองไว้ : ในการลากเส้นนี้จะให้ทำการลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดที่เรามองไว้ โดยปกติจะถามีลักษณะในแนวทแยงหรือเฉียงจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Up/Down Trend ในขณะเดียวกันหากเป็นเส้นแนวนอนแบบ 180 องศาจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Side Way
- เทคนิคพิเศษ : มักจะมีการตีเส้นผ่าน Lower Low มากกว่า 2 จุดขึ้นไปในกรณีตีแนวรับในเทรนด์ขาลงและใช้เส้นเดียวกันนี้คัดลอกไปวางตำแหน่ง Lower High
- แนวต้านหรือ Resistance คือ เป็นเส้นแนวนอนที่จะอยู่บริเวณบนกราฟแท่งเทียนเป็นหลัก ลักษณะในการใช้งานทั่วไปคือเป็นแนวที่ราคามักจะวิ่งขึ้นมาชนและไม่สามารถทะลุลงต่อไปได้ โดยปกติเส้นนี้มักจะมีจุดที่ราคาวิ่งขึ้นมาแตะและเด้งลงไปมากกว่า 2-3 จุดขึ้นไป ซึ่งจะมีหลักการหาง่ายๆดังนี้
- มองหาจุดสูงสุดของราคา หรือ Swing High : คือให้ทำการมองหาจุดที่ราคาวิ่งจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนและทำการเด้งกลับลงไป อย่างน้อย 2-3 จุดขึ้นไป
- ทำการลากเส้นตามแนว จุดต่ำสุด ที่ได้มองไว้ : ในการลากเส้นนี้จะให้ทำการลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดที่เรามองไว้ โดยปกติจะถามีลักษณะในแนวทแยงหรือเฉียงจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Up/Down Trend ในขณะเดียวกันหากเป็นเส้นแนวนอนแบบ 180 องศาจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Side Way
- เทคนิคพิเศษ : : มักจะมีการตีเส้นผ่าน Higher high มากกว่า 2 จุดขึ้นไปในกรณีตีแนวต้านในเทรนด์ขาขึ้นและและใช้เส้นเดียวกันนี้คัดลอกไปวางตำแหน่ง Higher Low
รูปที่ 19 รูปภาพตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของเส้น แนวรับกลายเป็นแนวต้าน
- แนวรับและแนวต้านสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่างกันได้ : อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น Support & Resistance สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ เช่น แนวต้านเดิมกลายเป็นแรวรับใหม่ หรือ แนวรับใหม่กลายเป็นแนวต้านเดิม และจะพบเห็นในกรณีที่มีการทำราคาทะลุเส้นแนวรับหรือแนวต้านออกไป จนราคา ณ ขณะนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงจากเทรนด์เดิมแต่ก็ยังคงทำราคามาชนเส้นนั้นๆและเด้งต่อไป
- การหาแนวรับแนวต้านสามารถหาได้จากวิธีอื่นๆอีก : อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าการตีแนวรับแนวต้านถือว่าเป็นพื้นฐานเบสิค แต่ทั้งนี้การหาแนวรับแนวต้านในความเป็นจริงนั้นยังคนมีวิธีการอีกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคการตีเส้น Fibonacci Retracement เพื่อหาจุดราคาเหมาะสมหรือว่าจะเป็นการใช้อินดิเคเตอร์อย่างเช่น Moving Average ที่นอกจากจะใช้เป็นแนวรับต้านไปในตัวได้แล้วยังประยุกต์ใช้ในการระบุเทรนด์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
รูปที่ 20 รูปภาพตัวอย่างการเกิด Break of Structure และ Change of Character
- จะรู้ได้อย่างไรว่าเทรนด์นั้นจะไปต่อหรือพอแค่นี้? : จากเนื้อหาข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่กราฟมีราคาหลุดออกจากโซนแนวรับหรือแนวต้านไปแล้วนั้นก็อาจจะหมายความว่ามีโอกาสที่เทรนนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ยังสามารถสังเกตได้อีกสองประเด็นและเป็นคำศัพท์ที่ควรรู้อีก 2 เรื่องคือ
- BOS หรือ Break of Structure: หรือก็คือการที่เทรนทำราคาไปในทิศทางเดิมและมีการทำราคาสวิงที่สูงกว่าเดิมในเทรนด์ขาขึ้น หรือ ทำราคาต่ำกว่าเดิมในเทรนด์ขาลง ซึ่งจะเป็นการยืนยันว่า ณ ขณะนั้น เทรนด์ยังสามาถมีโอกาสทำราคาไปในทิศทางเดิมได้มากกว่าการกลับตัว
- Choch หรือ Change of Character: หรือก็คือการที่ราคาไม่สามารถสร้างราคาสวิงที่สูงกว่าเดิมได้ในเทรนด์ขาขึ้น หรือ ต่ำกว่าเดิมได้ในเทรนด์ขาลง จึงทำให้มีโอกาสที่เทรนจะมีการกลับตัวได้สูง
จากพื้นฐานที่ได้กล่าวไปด้านบนจะเป็นพื้นฐานหลักในการมองหาได้ทั้งจุดกลับตัวอีกทั้งสามารถระบุเทรนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วยจึงทำให้เราสามารถคาดการ์ณในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยประโยชน์จะเห็นได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีเราทำการตีเส้นแนวรับและแนวต้านเป็นขาขึ้นเมื่อไรนั้นหมายถึงท่านจะต้องระวังเป็นอย่างมากในการออกออเดอร์ประ Short หรือ Sell เป็นต้น
…. แต่อย่างไรก็ตามการตีแนวต้านนั้นไม่สามารถบอกอนาคตได้อย่างชัดเจนดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความรู้อย่างอื่นประกอบด้วยดังหัวข้อ รูปแบบกราฟแท่งเทียน Price Action ดังต่อไปนี้
การมองหารูปแบบกราฟแท่งเทียน Price Action
ในหัวข้อนี้จะเป็นเรื่องที่ต่อยอดจากหัวข้อองค์ประกอบสำคัญของแท่งเทียนเป็นหลัก ซึ่งจะให้ข้อมูลของรูปแบบกราฟแท่งเทียนมาพิจาณาเพื่อหาทิศทางราคาในอนาคต โดยเรามักจะมองรูปแบบเหล่านี้เป็น Pattern ซึ่งที่ผ่านๆมานักวิเคราห์ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆมาแล้วว่าเมื่อใดที่กราฟ แท่งเทียนมีรูปแบบประเภทนี้ ก็มักจะมีโอกาสที่จะทำราคาในทิศทางใดๆต่อไปได้ในอนาคต
…แต่เนื่องจาก Price Action [18] นั้นมีเนื้อหาและ Pattern เป็นจำนวนมากเราจึงเลือก Price Action มาเฉพาะตัวที่คิดว่าพบเจอได้บ่อยแม่นยำและใช้ง่ายเป็นจำนวน 5 ตัวดังต่อไปนี้
รูปที่ 21 รูปภาพตัวอย่างการเกิด Price Action ยอดนิยมทั้ง 5 รูปแบบซึ่งประกอบไปด้วย Harami / Star / Doji Star / Engulfing และ Inverted Hammer & Shooting Star
- Harami คือ สามารถแบ่งได้เป็น 2 คือ
- Bullish Harami คือ แท่งแรก มีสีแดงและลำตัวยาวและจะต้องมีราคาปิดทีอยู่ใกล้บริเวณราคาต่ำสุดของแนวโน้มขาลง ซึ่งแท่งถัดมาจะต้องมีสีเขียวและลำตัวสั้นอยู่ระหว่างลำตัวของแท่งเทียนแรก
- Bearish Harami คือ แท่งแรก มีสีเขียวและลำตัวยาวและจะต้องมีราคาปิดทีอยู่ใกล้บริเวณราคาสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งแท่งถัดมาจะต้องมีสีแดงและลำตัวสั้นอยู่ระหว่างลำตัวของแท่งเทียนแรก
- Star คือ หนึ่งในรูปแบบที่มีความนิยมใช้ในการหาจุดกลับตัวอีกหนึ่งตัวแบ่งออกเป็น Morning Star และ Evening Star ซึ่งจะเป็นเปรียบเทียบกันของแท่งเทียน 3 แท่ง โดยที่จะมีรายละเอียดดังนี้
- Morning Star คือ แท่งแรกจะต้องมีสีแดงและลำตัวยาวโดยแท่งต่อมานั้นจะต้องมีลำตัวที่สั้นสีใดก็ได้แต่ ราคาเปิดและปิดต้องอยู่ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนแรกเสมอ โดยแท่งสุดท้ายจะต้องมีสีเขียวและลำตัวยาว ราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดหรือเปิดของแท่งเทียนที่สอง(ขึ้นอยู่กับสีของแท่งที่สอง)
- Evening Star คือ แท่งแรกจะต้องมีสีเขียวและลำตัวยาวโดยแท่งต่อมานั้นจะต้องมีลำตัวที่สั้นสีใดก็ได้แต่ ราคาเปิดและปิดต้องอยู่สูงกว่าราคาปิดของแท่งเทียนแรกเสมอ โดยแท่งสุดท้ายจะต้องมีสีแดงและลำตัวยาว ราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดหรือเปิดของแท่งเทียนที่สอง (ขึ้นอยู่กับสีของแท่งที่ สอง)
- Doji Star คือ อีกหนึ่งในรูปแบบที่บ่งบอกถึงจุดกลับตัวได้ค่อนของแม่นยำและมีหลักษณะการใช้งานแบบเดียวกับ Star เพียงแต่แท่งเทียนแท่งที่ 2 จะมีลักษณะเป็นรูปบวก โดยจะมีลักษณะการใช้งานดังนี้
- Morning Doji Star คือ แท่งแรกมีสีแดงและลำตัวยาวโดยแท่งถัดมาจะมีลักษณะเป็น Doji ลำตัวสั้น (เป็นกราฟเหมือนเครื่องหมายบวก +) ราคาสูงสุดจะอยู่ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนแรก โดยแท่งสุดท้ายจะต้องเป็นแท่งสีเขียวและลำตัวยาวราคาเปิดต้องอยู่สูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งเทียนที่สอง และ ราคาปิดสูงกว่าครึ่งหนึ่งของลำตัวแท่งเทียนที่หนึ่ง
- Evening Doji Star คือ แท่งแรกมีสีเขียวและลำตัวยาวโดยแท่งถัดมาจะมีลักษณะเป็น Doji ลำตัวสั้น (เป็นกราฟเหมือนเครื่องหมายบวก +) ราคาต่ำสุดจะอยู่สูงกว่าราคาปิดของแท่งเทียนแรก โดยแท่งสุดท้ายจะต้องเป็นแท่งสีแดงและลำตัวยาวราคาเปิดต้องอยู่ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่สอง และ ราคาปิดต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของลำตัวแท่งเทียนที่หนึ่ง
- Engulfing คือ หนึ่งในรูปแบบที่นิยมและหากดูผิวเผินจะพบว่ามีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Harami เพียงแต่จะสลับตำแหน่งกันโดยจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- Bullish Engulfing คือแท่งแรกจะมีสีแดงลำตัวสั้นหรือยาวก็ได้โดยที่แท่งถัดมาจะต้องมีสีเขียวและลำตัวยาวกว่าแท่งแรกเสมอโดยที่ราคาเปิดต้องต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาปิดของแท่งแรก
- Bearish Engulfing คือคือแท่งแรกจะมีสีเขียวลำตัวสั้นหรือยาวก็ได้โดยที่แท่งถัดมาจะต้องมีสีแดงและลำตัวยาวกว่าแท่งแรกเสมอโดยที่ราคาเปิดต้องสูงกว่าหรือเท่ากับราคาปิดของแท่งแรก
- Inverted Hammer และ Shooting Star ทั้งสองจะเป็นหนึ่งในรูปแบบยอดฮิตและมีลักษณะเหมือนค้อนคือมีด้ามค้อนที่ยาวและมีหัวค้อนที่สั้นซึ่งจะมีประโยชน์และรายละเอียดการใช้งานดังต่อไปนี้
- Inverted Hammer คือสัญญาณที่จะบอกถึง Bullish มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นลักษะจะสังเกตได้จากมีรูปแบบที่เหมือนค้อน มีสีอะไรก็ได้แต่ถ้าเป็นสีเขียวจะมีสัญญาณแรงซื้อมากกว่าแรงขาย และมักจะเกิดอยู่ใกล้กับราคาต่ำสุดของวัน
- Shooting Star คือสัญญาณที่จะบอกถึง Bearish มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลงลักษะจะสังเกตได้จากมีรูปแบบที่เหมือนค้อน มีสีอะไรก็ได้แต่ถ้าเป็นสีแดงจะมีสัญญาณแรงขายมากกว่าแรงซื้อ และมักจะเกิดอยู่ใกล้กับราคาสูงสุดของวัน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของแท่งเทียนก็เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถบ่งบอกโอกาสที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น…เพียงแต่ในหัวข้อนี้ไม่สามารถนำรูปแบบของ Price Action มานำเสนอได้หมดและไม่ได้การันตีว่าถ้าหากเกิดรูปแบบนี้แล้วจะมีโอกาสในการทำราคาดังตัวอย่างเสมอไปเพียงแต่จะเพิ่มโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้มากกว่าเท่านั้นเอง จึงสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
พื้นฐานการวิเคราะห์ด้วย Chart pattern analysis เบื้องต้น
การดูรูปแบบ Chart pattern นั้นถือเป็นเรื่องที่ต่อยอดมากจากพื้นฐานการตีแนวรับแนวต้านดังหัวข้อด้านบน โดยในหัวข้อนี้จะเป็นการเสนอถึงการตีแนวรับแนวต้านในรูปแบบต่างๆแบบเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งตามหลักความเป็นจริงเราจะพบว่าในหลายๆสถานการ์ณที่พอเราตีเส้นออกมาแล้วพบว่ามันไม่ได้เป็นรูปแบบเส้นที่ขนานกันเสมอไป แต่มันกลับเป็นลักษะที่แปลกแตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็นการตีเส้นออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือ สี่เหลี่ยมเป็นต้น [19]
รูปที่ 22 รูปภาพที่รวบรวม Chart pattern ยอดนิยมไว้ใช้สำหรับมองหา pattern ในรูปแบบต่างๆเพื่อมองหาจุดกับตัวหรือความต่อเนื่องของเทรนด์ในอนาคต ขอขอบคุณรูปภาพจาก forex-awards.com
นอกจากนี้แล้วเราจำเป็นจะต้องคำนึงถึง Pattern ของรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นมาด้วยว่าจะเป็นรูปแบบใดซึ่งจะเป็นการผสมผสามกันในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นการตีเทรนไลน์เพื่อหารูปแบบหรือจะทำการดู Pattern รูปร่างของกราฟที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกันโดยเราจะขอทำการเสนอรูปแบบของ Chart pattern ที่พบเห็นได้บ่อยและมีโอกาสที่จะทำราคาใดๆต่อไปดังรูปภาพด้านบนโดยจะมีลักษณะการมองหา Chart pattern ดังนี้
วิธีการมองหาประเภท Chart pattern
- พยายามจินตนาการว่ารูปร่างของกราฟแท่งเทียนตรงกับรูปภาพใดบนรูปตัวอย่างมากที่สุด
- มองให้ออกว่ากราฟนั้นจะบ่งบอกเราในเรื่องใด เช่น การกลับตัว หรือ การบอกเทรนด์ต่อที่เนื่อง
- วาดเส้นแนวรับแนวต้านออกมาให้คล้ายคลึงกับ Chart pattern ที่ใกล้เคียงมากที่สุด
- ให้ทำการรอจนกว่ากราฟราคาจะทำรูปแบบใกล้เคียงกับ Chart pattern มากที่สุด
- เมื่อกราฟราคาทำรูปแบบตาม Chart pattern ดังรูปที่จินตนาการไว้และเมื่อมายังจุดแนวรับแนวต้านให้ก็ให้ทำการพิจารณาการออกออเดอร์ได้เลยครับ
เนื่องจากหัวข้อของ Chart pattern analysis ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่มีรายละเอียดที่ถือว่าเชิงลึกมากๆและมีความระเอียดอ่อนของมันเองในแต่ละ pattern เพราะเหตุนี้จึงขอกล่าวถึงวิธีการดูและการใช้งานคร่าวๆเท่านั้นเพื่อให้ทุกท่านรู้จักและนำไปต่อยอดได้ดียิ่งขึ้น
ทำความรู้จักความสามารถของเครื่องมือช่วยเทรด Indicator
หนึ่งในเครื่องมือหนึ่งที่ใช้งานได้ฟรีในแพลตฟอร์มอย่าง Metatrader ก็คือ Indicator [20] เป็นสิ่งที่คนพัฒนาขึ้นมาช่วยในการวิเคาะห์พฤติกรรมของราคากราฟในปัจจุบัน โดยเบื้องต้นก็มักจะนำราคาที่เกิดขึ้นในอดีตหรือรูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา มาคำนวนเข้ากับสมการต่างๆทำให้สามารถคาดการณ์โอกาสในการทำราคาของอนาคตได้ ทั้งนี้ประโยชน์ของอินดิเคเตอร์นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของมัน อีกทั้งยังมีความหลากหลายเป็นอย่างมากดังตัวอย่างอินดิเคเตอร์ต่อไปนี้
รูปที่ 23 ตัวอย่างการแสดงผลของอินดิเคเตอร์ Moving Average (MA) และ Relative Strength Index (RSI) บนแพลตฟอร์ม Tradingview
- Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ประเภทTrend ที่เป็นเส้นค่าเฉลี่ยนของราคาหนึ่งในเครื่องมือยอดฮิตตลอดการซึ่งมีประวัติการใช้งานมานานมากๆ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบให้กับอินดิเคเตอร์อีกหลายๆตัวอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น MACD หรือ EMA เป็นต้น ซึ่งมีความสามารถในการหาเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือจะใช้เป็นสัญญาณในการออกออเดอร์ก็ได้เช่นกัน
- Relative Strength Index (RSI) คือ หนึ่งในอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่จะเข้ามาช่วยเหลือในการบอกโมเมนตัมที่เกิดขึ้นผ่านสภาวะตลาดที่มีสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) เป็นต้น และเป็นอีกหนึ่งในเครื่องมือหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยดูในเรื่องจุดกลับตัวได้เป็นอย่างดี
- Average True Range (ATR) คือหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการวัดความผันผวนของราคาในตลาดสามารถนำไปประยุกต์ในในด้านต่างๆได้อย่างมากมายเช่น ช่วยในเรื่องของการกำหนดจุด Stop loss เพื่อหาอัตราส่วน RR ในการออกออเดอร์ได้ เป็นต้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเครื่องมือช่วยเทรดหรือ Indicator นั้นมีประโยชน์ที่ค่อนข้างหลากหลายทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานในแต่ละตัวด้วยและแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นเสมอไปดังนั้นควรศึกษาความเป็นมาและวิธีการใช้งานให้มากยิ่งขึ้นและควรจะใช้ร่วมกับเทคนิคการเทรดอื่นๆด้วยจะทำให้เราสามารถออกออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นทีเดียว
Forex Factory วิเคราห์ข่าวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อราคาของคู่เงินโดยตรง
ผลกระทบหลักอันดับหนึ่งสำหรับนักเทรดนั้นปฎิเสธไม่ได้เลยว่าจะต้องมาจาก เศรษฐกิจ เพราะเราต้องระลึกไว้เสมอครับว่าเราทำการเทรดกับคู่สกุลเงินและมันมีผลโดยตรงหากเกิดเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับประเทศคู่เงินนั้นๆแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเศรษฐกิจประเทศไหนดี เพราะฉะนั้นผมจึงขอนำเสนอเว็บไซต์ Forex Factory ที่เป็นเว็บในการรายงานข่าว Forex และช่วยสรุปผลกระทบจากข่าวโดยตรงโดยจะมีเนื้อและวิธีการดังต่อไปนี้
รูปที่ 24 ตัวอย่างการใช้งาน Forex Factory วิเคราห์ข่าวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อราคาของคู่เงินโดยตรง
- Forex Factory คือ: เว็บที่รายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับ Forex โดยเฉพาะซึ่งจะแต่ละข่าวก็จะมีหัวข้อสกุลเงินและประเภทข่าวนั้นบอกเสมอ อีกทั้งยังบอกถึงเวลาข่าวที่จะออกล่วงหน้าให้เราสามารถเตรียมความได้อีกด้วย ซึ่งความสำคัญของข่าวจะแบ่งออกเป็น 4 สีและส่งผลกระทบต่อคู่สกุลเงินที่แตกต่างกันดังนี้
- ผลกระทบน้อยมาก: Impact สีขาว หรือ เรียกว่าข่าวกล่องขาว
- ผลกระทบน้อย: Impact สีเหลือง หรือ เรียกว่าข่าวกล่องเหลือง
- ผลกระทบปานกลาง: Impact สีส้ม หรือ เรียกว่าข่าวกล่องส้ม
- ผลกระทบสูงมาก: Impact สีแดง หรือ เรียกว่าข่าวกล่องแดง
- ประเภทของข่าว Forex ที่มีมีผลกระทบมากที่สุด คือ ข่าวที่หากมีการเกิดกล่องสีส้มหรือสีแดงจะทำให้เกิดการกระชากของราคาอย่างรุนแรง
- Non-Farm หรือ อัตราการจ้างงานสหรัฐฯ
- Advance GDP หรือ ดัชนี GDP สหรัฐฯ
- Fed Chair Powell Speaks หรือ แถลงการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ
- ประเภทของข่าว Forex ที่มีมีผลกระทบปานกลาง คือ
- Federal Funds Rate หรือ การประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ
- Unemployment Claims หรือ รายงานจำนวนคนยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ
- CB Consumer Confidence หรือ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ
- Flash Manufacturing PMI หรือ ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ
- Flash Services PMI หรือ ดัชนีภาคการบริการสหรัฐฯ
- ตัวอย่างในกรณีเกิดข่าว : สมมุติหากการทำการเทรด คู่เงินที่มี USD อยู่ด้านหลัง เช่น EURUSD แล้วข่าวที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นกับคู่สกุลเงิน USD และเป็นข่าวกล่องแดงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือ
- หากการประกาศตัวเลข Actual ออกมาสูงกว่า Forecast ราคาจะมีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
- หากการประกาศตัวเลข Actual ออกมาต่ำกว่า Forecast ราคาจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานของ Broker forex และการคัดกรอง
หน้าที่ของโบรกเกอร์ก็คือจะเป็นตัวกลางในการซื้อขายคำสั่งของเราไปให้ยังผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity provider) แล้วจึงส่งเข้าตลาด forex [21] อีกทีนึง ดังนั้นแล้วเราจำเป็นจะต้องคัดกรองและเลือกใช้ โบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลัก ดังนั้นนั้นเราต้องเข้าใจหลักการทำงานของโบรกเกอร์และควรที่จะคัดกรองโบรกเกอร์ดังต่อไปนี้
รูปที่ 25 ตัวอย่างเส้นทางดำเนินการในการส่งสัญญาณซื้อขายของเทรดเดอร์จนไปถึงปลายทางของตลาด Forex
- บทบาทของ Broker Forex:
- โบรกเกอร์ Forex ช่วยส่งคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ไปยังผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Provider) และเข้าสู่ตลาด Forex
- โบรกเกอร์จะได้ค่าบริการได้จาก 2 แหล่งหลักๆคือ spread และ commission
- ประเภทของโบรกเกอร์:
- No Dealing Desk (NDD) หรือ A-book: ส่งคำสั่งเข้าสู่ตลาดจริง ๆ โดยใช้การส่งสัญญาณแบบ Market Execution คือจะทำการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาด โดยคำสั่งนี้จะไม่ถูก Requote แต่อาจจะได้คำสั่งซื้อในราคาที่คลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย
- Dealing Desk (DD) หรือ B-book: รับคำสั่งเองและใช้การส่งสัญญาณแบบ Instant Execution คือมีคำสั่งในการซื้อขายทันทีจะได้ในราคาที่ไม่คลาดเคลื่อน เนื่องจาก เป็นผู้รับคำสั่งเองแต่ก็ยังมีโอกาสที่จะ Requote ได้
- Hybrid Model: โบรกเกอร์ที่ใช้ทั้ง A-book และ B-book
- การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ:
- Commission: เปรียบเทียบค่าคอมมิชชั่นระหว่างโบรกเกอร์
- Spread: ค่า Spread มีผลต่อการทำกำไร ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าน้อย
- Swap: ค่าธรรมเนียมการถือครองออเดอร์ข้ามคืน มีทั้งบวกและลบ
- การฝากถอนเงิน: ตรวจสอบความสะดวกและรวดเร็วในการฝากถอนเงิน
- License: ใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อความน่าเชื่อถือเช่น (FCA, ASIC, CySEC, NFA) เป็นต้น
- ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์: ตรวจสอบผ่านทางเว็บรีวิวโบรกเกอร์ในไทยหรือตามแพลตฟอร์มรีวิวที่เชื่อถือได้
- บริการลูกค้า: สามารถติดต่อสอบถามแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว
สรุป
จากเนื้อหาที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่าเป็นเนื้อหาที่สามารถนำไปใช้งานและนำไปต่อยอดได้จริงตั้งแต่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานฟอเร็กซ์จนไปถึงคำศัพท์พื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้อีกทั้งยังสอนถึงกลยุทธ์พื้นฐานหรือเทคนิคในการเทรดเบื้องต้นอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นการเน้นย้ำความสำคัญในการซื้อขายสินทรัพย์ผ่านตัวกลางในการเทรดอย่างโบรกเกอร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กับประเด็นอื่น
…แต่อย่างไรก็ดีเนื้อหาของฟอเร็กซ์และโดยเฉพาะกลยุทธิ์ในการเทรดนี้เป็นเพียงพื้นฐานเบสิคเท่านั้น โดยในความเป็นจริงเนื้อในบทนี้ถือว่ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากได้ก้าวเข้าสู่วงการฟอเร๊กซ์แล้วนั้นจะได้พบความจริงอย่างหนึ่งที่ว่าเทคนิคการเทรดไม่ได้มีตายตัวและเทคนิคแต่ละอย่างก็อาจจะไม่ได้เหมาะสมกับเรา ดังนั้นแล้วเราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในบทความนี้จะเป็นพื้นฐานที่สมบูรณ์จนสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปแต่ยอดในวงการ Forex ได้อย่างมีประสิธิภาพ
อ้างอิง
- [1] https://www.forbes.com/advisor/investing/what-is-forex-trading/
- [2] https://www.plus500.com/en-au/tradingacademy/tradersguide/what-is-cfd-trading~1
- [3] https://www.babypips.com/learn/forex/forex-market-structure
- [4] https://phantomtradingfx.com/productivity/forex-market-hours-and-sessions/
- [5] https://www.babypips.com/learn/forex/lots-leverage-and-profit-and-loss
- [6] https://www.babypips.com/learn/forex/pips-and-pipettes
- [7] https://www.forbes.com/advisor/investing/what-is-leverage/
- [8] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-account-balance
- [9] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-equity
- [10] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-margin
- [11] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-margin-level
- [12] https://www.babypips.com/learn/forex/types-of-orders
- [13] https://www.litefinance.org/blog/for-beginners/what-is-forex/what-is-drawdown-in-trading
- [14] https://en.wikipedia.org/wiki/Candlestick_chart
- [15] https://www.litefinance.org/blog/for-beginners/what-is-forex/major-currency-pairs/
- [16] https://www.babypips.com/learn/forex/trend-lines
- [17] https://www.babypips.com/learn/forex/support-and-resistance
- [18] https://www.babypips.com/forexpedia/category/price-action
- [19] https://www.forex-awards.com/forex-columns/?id=25522
- [20] https://www.investopedia.com/articles/forex/10/indicators-fx-traders-must-know.asp
- [21] https://www.investopedia.com/terms/forex/c/currency-trading-forex-brokers.asp