ความจำเป็นของคำศัพท์ที่เทรดเดอร์ต้องรู้

ในโลกของการเทรด Forex ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและซับซ้อน การเข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เปรียบเสมือนการเรียนรู้ภาษาใหม่ที่จะช่วยให้คุณสื่อสารและเข้าใจตลาดได้อย่างลึกซึ้ง!! วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ คำศัพท์ Forex ที่นักเทรดต้องรู้ พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณก้าวสู่การเป็นนักเทรด Forex มืออาชีพได้อย่างมั่นใจ

ความสำคัญของการรู้คำศัพท์ Forex

  • เพิ่มความเข้าใจในตลาด: การรู้คำศัพท์ช่วยให้คุณเข้าใจข่าวสาร บทวิเคราะห์ และการเคลื่อนไหวของตลาดได้ดีขึ้น
  • ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น: เมื่อเข้าใจความหมายของคำศัพท์ต่างๆ คุณสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สื่อสารกับนักเทรดคนอื่นๆ ได้ดีขึ้น: การรู้ศัพท์เฉพาะทางช่วยให้คุณแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้จากนักเทรดคนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
  • ลดความเสี่ยงจากความเข้าใจผิด: การเข้าใจคำศัพท์อย่างถูกต้องช่วยลดโอกาสเกิดความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดในการเทรด
  • เพิ่มความมั่นใจในการเทรด: เมื่อคุณเข้าใจภาษาของตลาด Forex อย่างถ่องแท้ คุณจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการวางแผนและดำเนินกลยุทธ์การเทรดของคุณ

30 คำศัพท์ Forex ที่นักเทรดมืออาชีพต้องรู้

  1. Forex (Foreign Exchange) ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022
  2. Pip (Price Interest Point) หน่วยวัดการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุดในการเทรด Forex โดยทั่วไป 1 pip มีค่าเท่ากับ 0001 สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่
  3. Lot หน่วยมาตรฐานในการซื้อขาย Forex โดย 1 Standard Lot เท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
  4. Leverage การใช้เงินทุนจำนวนน้อย เพื่อควบคุมเงินทุนจำนวนมาก เช่น leverage 1:100 หมายถึงใช้เงิน $1 ควบคุมเงินทุน $100
  5. Margin เงินประกันที่ต้องวางไว้เพื่อเปิดและรักษาสถานะการเทรด มักคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสัญญาทั้งหมด
  6. Spread ความแตกต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) เป็นต้นทุนหลักในการเทรด Forex
  7. Base Currency สกุลเงินแรกในคู่สกุลเงิน เช่น EUR ใน EUR/USD
  8. Quote Currency สกุลเงินที่สองในคู่สกุลเงิน เช่น USD ใน EUR/USD
  9. Major Pairs คู่สกุลเงินหลักที่มีสภาพคล่องสูงและมีการซื้อขายมากที่สุด เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD
  10. Cross Pairs คู่สกุลเงินที่ไม่มี USD เป็นส่วนประกอบ เช่น EUR/GBP, EUR/JPY
  11. Exotic Pairs คู่สกุลเงินที่มีสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนประกอบ เช่น USD/THB, EUR/TRY
  12. Long Position การซื้อสกุลเงินโดยคาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้น
  13. Short Position การขายสกุลเงินโดยคาดหวังว่าราคาจะลดลง
  14. Stop Loss คำสั่งที่ใช้จำกัดความเสียหายโดยปิดสถานะเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คาดการณ์
  15. Take Profit คำสั่งที่ใช้ทำกำไรโดยปิดสถานะเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่กำหนดไว้
  16. Swap ค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นเมื่อถือสถานะข้ามคืน
  17. Slippage ความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดหวังกับราคาที่เกิดขึ้นจริงเมื่อคำสั่งถูกดำเนินการ
  18. Liquidity ความสามารถในการซื้อหรือขายสกุลเงินโดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคามากนัก ตลาด Forex มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก
  19. Volatility ความผันผวนของราคา ยิ่งมีความผันผวนสูง โอกาสทำกำไรและขาดทุนก็ยิ่งมาก
  20. Trend ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาโดยรวม อาจเป็นขาขึ้น (Uptrend), ขาลง (Downtrend) หรือแนวราบ (Sideways)
  21. Support ระดับราคาที่มักจะมีแรงซื้อเข้ามาหนุน ทำให้ราคาไม่ลดต่ำลงไปกว่านี้
  22. Resistance ระดับราคาที่มักจะมีแรงขายเข้ามากดดัน ทำให้ราคาไม่เพิ่มสูงขึ้นไปกว่านี้
  23. Fundamental Analysis การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่อาจส่งผลต่อค่าเงิน
  24. Technical Analysis การวิเคราะห์กราฟราคาและข้อมูลทางสถิติเพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต
  25. Indicator เครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มราคา เช่น Moving Average, RSI, MACD
  26. Candlestick รูปแบบกราฟที่แสดงราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง
  27. Broker ตัวกลางที่ให้บริการแพลตฟอร์มการเทรดและดำเนินการคำสั่งซื้อขายให้กับนักเทรด
  28. Demo Account บัญชีจำลองที่ใช้เงินเสมือนในการฝึกเทรด ช่วยให้นักเทรดมือใหม่เรียนรู้โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
  29. Drawdown การลดลงของเงินทุนจากจุดสูงสุดก่อนหน้า เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงที่สำคัญ
  30. Risk-Reward Ratio อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่ยอมรับได้กับผลตอบแทนที่คาดหวัง เช่น 1:2 หมายถึงยอมรับความเสี่ยงขาดทุน $1 เพื่อโอกาสทำกำไร $2

คำศัพท์ Forex ที่สำคัญและใช้บ่อยมาก

1.Order Types

ประเภทของคำสั่งซื้อขายใน Forex มีหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีวัตถุประสงค์และการทำงานที่แตกต่างกัน ทำให้นักเทรดสามารถควบคุมการเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเภทของคำสั่งที่พบบ่อยได้แก่

  • Market Order: คำสั่งซื้อหรือขายทันทีที่ราคาตลาดปัจจุบัน
  • Limit Order: คำสั่งซื้อหรือขายที่ราคาที่กำหนดหรือดีกว่า
  • Stop Order: คำสั่งที่จะกลายเป็น Market Order เมื่อราคาถึงระดับที่กำหนด
  • Stop-Limit Order: คำสั่งที่รวมคุณสมบัติของ Stop Order และ Limit Order เข้าด้วยกัน

การเลือกใช้ Order Type ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรด สภาวะตลาด และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักเทรดแต่ละคน

2.Margin Call

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยอดเงินในบัญชีของนักเทรดลดลงต่ำกว่าระดับ Margin Requirement ที่โบรกเกอร์กำหนด เมื่อเกิด Margin Call นักเทรดจะต้องเพิ่มเงินเข้าบัญชีหรือปิดสถานะบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง หากไม่ดำเนินการใดๆ โบรกเกอร์อาจปิดสถานะทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนเกินทุน

Margin Call เป็นกลไกสำคัญในการบริหารความเสี่ยงของทั้งนักเทรดและโบรกเกอร์ โดยทั่วไป โบรกเกอร์จะแจ้งเตือนนักเทรดล่วงหน้าก่อนถึงจุด Margin Call เพื่อให้มีเวลาจัดการกับสถานการณ์เทรดของตน

3.Rollover

กระบวนการต่ออายุสถานะ Forex ที่เปิดค้างไว้ข้ามคืน โดยปกติจะเกิดขึ้นเวลา 17:00 น. ตามเวลา EST ในระหว่าง Rollover จะมีการคิดค่า Swap ซึ่งอาจเป็นบวกหรือลบขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินที่เทรด

นักเทรดระยะยาวควรให้ความสำคัญกับ Rollover เนื่องจากค่า Swap สะสมอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลกำไรขาดทุนโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลยุทธ์ Carry Trade ที่พยายามใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย

4.Gap

ช่องว่างในกราฟราคาที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างฉับพลันโดยไม่มีการซื้อขายในช่วงราคานั้น มักเกิดขึ้นเมื่อตลาดเปิดหลังจากวันหยุดสุดสัปดาห์หรือหลังจากการประกาศข่าวสำคัญ Gap แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก

  • Common Gap: เกิดขึ้นบ่อยและมักปิดตัวเองในเวลาไม่นาน
  • Breakaway Gap: เกิดเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ มักบ่งชี้การเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่
  • Exhaustion Gap: เกิดขึ้นใกล้จุดสิ้นสุดของเทรนด์ปัจจุบัน อาจบ่งชี้การกลับตัวของราคา

นักเทรดควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเทรดในช่วงที่อาจเกิด Gap เนื่องจากอาจส่งผลให้ Stop Loss ไม่ทำงานตามที่ตั้งไว้ และอาจนำไปสู่การขาดทุนที่มากกว่าที่คาดการณ์

5.Economic Calendar

เครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรด Forex ที่รวบรวมกำหนดการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญจากทั่วโลก เช่น อัตราดอกเบี้ย, อัตราการว่างงาน, GDP เป็นต้น Economic Calendar ช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดล่วงหน้าและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดที่อาจเกิดขึ้นหลังการประกาศข้อมูล

ข้อมูลใน Economic Calendar มักจะประกอบด้วย

  • วันและเวลาของการประกาศ
  • ประเทศที่ประกาศข้อมูล
  • ความสำคัญของข้อมูล (มักแสดงด้วยสีหรือดาว)
  • ค่าคาดการณ์
  • ค่าจริงที่ประกาศออกมา
  • ค่าครั้งก่อน

การติดตาม Economic Calendar อย่างสม่ำเสมอช่วยให้นักเทรดเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาด Forex และสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

6.Currency Correlation

ความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินต่างๆ ในตลาด Forex คู่สกุลเงินบางคู่มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน (Positive Correlation) ในขณะที่บางคู่มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม (Negative Correlation)

ตัวอย่างเช่น

  • EUR/USD และ GBP/USD มักมี Positive Correlation สูง
  • EUR/USD และ USD/CHF มักมี Negative Correlation สูง

การเข้าใจ Currency Correlation ช่วยให้นักเทรดสามารถ

  • กระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะที่ซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น
  • ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินในการวางกลยุทธ์การเทรด

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจ นักเทรดจึงควรติดตามและปรับปรุงข้อมูล Currency Correlation อย่างสม่ำเสมอ

7.Fibonacci Retracement

เครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ โดยอาศัยหลักการของอัตราส่วน Fibonacci ซึ่งเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของราคาในธรรมชาติ ระดับ Fibonacci ที่นิยมใช้ในการเทรด Forex ได้แก่ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6%

วิธีการใช้ Fibonacci Retracement

  1. ลากเส้น Fibonacci จากจุดสูงสุดไปยังจุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวล่าสุด (สำหรับแนวโน้มขาลง)
  2. ลากเส้น Fibonacci จากจุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวล่าสุด (สำหรับแนวโน้มขาขึ้น)
  3. สังเกตระดับ Fibonacci ที่ราคามักจะมีปฏิกิริยา ซึ่งอาจเป็นจุดเข้าเทรดหรือออกจากตลาดที่ดี

Fibonacci Retracement มักถูกใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา

8.Scalping

กลยุทธ์การเทรดระยะสั้นมากที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย แต่ทำบ่อยครั้งในหนึ่งวัน Scalper มักจะถือสถานะไว้เพียงไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาทีเท่านั้น โดยหวังทำกำไรเพียง 5-10 pips ต่อการเทรดแต่ละครั้ง

ข้อดี

  • โอกาสในการทำกำไรมีมากเนื่องจากเทรดบ่อย
  • ความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งค่อนข้างต่ำ
  • ไม่ต้องถือสถานะข้ามคืน ลดความเสี่ยงจากข่าวและเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ข้อเสีย

  • ต้องใช้สมาธิและความตื่นตัวสูงมาก
  • ค่าธรรมเนียมการเทรดอาจสูงเนื่องจากเทรดบ่อย
  • ต้องการแพลตฟอร์มการเทรดที่รวดเร็วและเสถียร

Scalping เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์ สามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว และทนต่อความเครียดได้สูง นอกจากนี้ยังต้องการทุนที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถทำกำไรได้มากกว่าค่าธรรมเนียมการเทรด

9.Carry Trade

กลยุทธ์การลงทุนใน Forex ที่พยายามใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน โดยนักลงทุนจะกู้ยืมเงินในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และนำไปลงทุนในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เพื่อรับผลตอบแทนจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย นอกเหนือจากกำไรที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน

ตัวอย่างของ Carry Trade

  • กู้ยืมเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
  • นำไปแลกเป็นดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
  • รับผลต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็นกำไร

ข้อควรระวังใน Carry Trade

  • ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนอาจลบล้างผลกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางอาจส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์นี้
  • ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง Carry Trade อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น

Carry Trade เป็นกลยุทธ์ที่นิยมในหมู่นักลงทุนสถาบันและนักเทรดที่มีประสบการณ์ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงที่ดี

10.Pivot Points

จุดราคาสำคัญที่คำนวณจากราคาสูงสุด ต่ำสุด และปิดของวันก่อนหน้า ใช้ในการคาดการณ์แนวรับและแนวต้านสำหรับวันถัดไป Pivot Points ประกอบด้วยจุดหลัก (PP) และระดับแนวรับ (S1, S2, S3) และแนวต้าน (R1, R2, R3)

วิธีการใช้ Pivot Points

  • ราคาอยู่เหนือ PP: แนวโน้มขาขึ้น ใช้ S1, S2, S3 เป็นแนวรับ
  • ราคาอยู่ใต้ PP: แนวโน้มขาลง ใช้ R1, R2, R3 เป็นแนวต้าน
  • ราคาแกว่งรอบ PP: ตลาดอยู่ในช่วงไซด์เวย์

Pivot Points เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในหมู่นักเทรดรายวัน (Day Traders) และนักเทรดระยะสั้น เนื่องจากให้จุดอ้างอิงที่ชัดเจนสำหรับการตัดสินใจเข้าและออกจากตลาด

11.Hedging

กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงในการเทรด Forex โดยการเปิดสถานะตรงข้ามกับสถานะหลักที่ถืออยู่ เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ Hedging

สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • Direct Hedging: เปิดสถานะ Buy และ Sell ในคู่สกุลเงินเดียวกันพร้อมกัน
  • Multiple Currency Hedging: เปิดสถานะในคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น Long EUR/USD และ Short GBP/USD
  • Options Hedging: ใช้ตราสารอนุพันธ์อย่าง Forex Options เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ข้อดี

  • ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
  • สามารถรักษาสถานะระยะยาวไว้ได้ในช่วงที่ตลาดไม่เป็นใจ

ข้อเสีย

  • อาจลดโอกาสในการทำกำไร
  • เพิ่มต้นทุนการเทรดจากการเปิดหลายสถานะ

Hedging เป็นเทคนิคขั้นสูงที่ต้องอาศัยความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้งและการบริหารความเสี่ยงที่ดี

12.Divergence

ความไม่สอดคล้องกันระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและตัวชี้วัดทางเทคนิค (Indicator) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น Divergence

แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

  • Bullish Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ Indicator ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ บ่งชี้โอกาสที่ราคาอาจกลับตัวขึ้น
  • Bearish Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ Indicator ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ บ่งชี้โอกาสที่ราคาอาจกลับตัวลง

Indicator ที่นิยมใช้หา Divergence

  • RSI (Relative Strength Index)
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence)
  • Stochastic Oscillator

การใช้ Divergence ในการเทรด

  • ใช้เป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวของแนวโน้ม
  • ยืนยันสัญญาณร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ
  • ระมัดระวังในการใช้ เพราะ Divergence อาจให้สัญญาณหลอกได้ในบางครั้ง

13.Risk-Reward Ratio (RRR)

อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่ยอมรับได้ต่อผลตอบแทนที่คาดหวังในการเทรดแต่ละครั้ง RRR เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและการตัดสินใจเข้าเทรด

วิธีคำนวณ RRR: RRR = ผลตอบแทนที่คาดหวัง / ความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ตัวอย่าง

  • ถ้าตั้ง Stop Loss ที่ 50 pips และ Take Profit ที่ 100 pips
  • RRR = 100 / 50 = 2:1

การใช้ RRR ในการเทรด

  • กำหนด RRR ขั้นต่ำที่ยอมรับได้ เช่น 1:2 หรือ 1:3
  • ใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกโอกาสในการเทรด
  • ช่วยในการจัดการความเสี่ยงและการวางแผนการเทรดในระยะยาว

ข้อควรระวัง

  • RRR ที่สูงไม่ได้รับประกันความสำเร็จในการเทรด
  • ต้องพิจารณาร่วมกับอัตราความสำเร็จของกลยุทธ์การเทรด (Win Rate)
  • RRR ที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปตามสไตล์การเทรดและสภาวะตลาด

14.Overnight Position

สถานะการเทรดที่ถือไว้ข้ามคืนหรือข้ามช่วงปิดตลาด การถือ Overnight Position มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี

  • โอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงกลางคืนหรือช่วงเปิดตลาด
  • สามารถใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์หรือข่าวสารที่เกิดขึ้นนอกเวลาทำการ
  • เสี่ยงต่อการขาดทุนจากช่องว่างราคา (Gap) ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตลาดเปิด
  • อาจต้องจ่ายค่า Swap หรือค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน
  • เสี่ยงต่อผลกระทบจากข่าวสารหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นนอกเวลาทำการ

การจัดการ Overnight Position

  • ใช้ Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
  • พิจารณาปรับขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
  • ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด
  • คำนึงถึงค่า Swap และนำมาประกอบการตัดสินใจ

ข้อเสีย

  • เสี่ยงต่อการขาดทุนจากช่องว่างราคา (Gap) ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตลาดเปิด
  • อาจต้องจ่ายค่า Swap หรือค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน
  • เสี่ยงต่อผลกระทบจากข่าวสารหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นนอกเวลาทำการ

การจัดการ Overnight Position

  • ใช้ Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
  • พิจารณาปรับขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
  • ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด
  • คำนึงถึงค่า Swap และนำมาประกอบการตัดสินใจ

15.Market Depth

ข้อมูลที่แสดงปริมาณคำสั่งซื้อและขายที่รอดำเนินการ ณ ระดับราคาต่างๆ ในตลาด Forex Market Depth ช่วยให้นักเทรดเห็นภาพรวมของความต้องการซื้อขายในตลาด

องค์ประกอบของ Market Depth

  • Bid: ราคาและปริมาณที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ
  • Ask: ราคาและปริมาณที่ผู้ขายต้องการขาย
  • Spread: ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask สูงสุด

ประโยชน์ของ Market Depth

  • ประเมินสภาพคล่องของตลาด
  • ระบุระดับราคาที่มีแรงซื้อหรือขายสูง
  • คาดการณ์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น

การใช้ Market Depth ในการเทรด

  • ระบุจุดที่อาจเกิดแรงต้านหรือแรงสนับสนุน
  • ประเมินความรุนแรงของแนวโน้มปัจจุบัน
  • หาโอกาสในการเข้าเทรดเมื่อเกิดความไม่สมดุลระหว่างคำสั่งซื้อและขาย

ข้อควรระวัง: ข้อมูล Market Depth อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

16.Volatility

ความผันผวนหรือการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง Volatility เป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex

ประเภทของ Volatility

  • Historical Volatility: ความผันผวนที่เกิดขึ้นในอดีต
  • Implied Volatility: ความผันผวนที่คาดการณ์ในอนาคต มักใช้ในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์

เครื่องมือวัด Volatility

  • Average True Range (ATR)
  • Bollinger Bands
  • Standard Deviation

การใช้ Volatility ในการเทรด

  • ปรับขนาดการเทรดและการตั้ง Stop Loss ให้เหมาะสมกับระดับ Volatility
  • เลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด (เช่น Range Trading ในช่วง Low Volatility, Trend Following ในช่วง High Volatility)
  • ประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไร

ข้อควรระวัง: ช่วงที่มี Volatility สูงอาจให้โอกาสในการทำกำไรมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน

17.Correlation

ความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาด Forex Correlation มีค่าตั้งแต่ -1 ถึง +1

  • Positive Correlation (+1): เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
  • Negative Correlation (-1): เคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกัน
  • No Correlation (0): ไม่มีความสัมพันธ์กัน

ตัวอย่าง Correlation ในตลาด Forex

  • EUR/USD และ GBP/USD มักมี Positive Correlation สูง
  • EUR/USD และ USD/CHF มักมี Negative Correlation สูง

ประโยชน์ของการเข้าใจ Correlation

  • กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
  • หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะที่ซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น
  • สร้างกลยุทธ์การเทรดที่ใช้ประโยชน์จาก Correlation

ข้อควรระวัง: Correlation อาจเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจ ควรตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

18.Swap Rate

อัตราดอกเบี้ยที่นักเทรดต้องจ่ายหรือได้รับเมื่อถือครองสถานะข้ามคืน Swap Rate ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินที่เทรด

ลักษณะของ Swap Rate

  • Positive Swap: นักเทรดได้รับดอกเบี้ย
  • Negative Swap: นักเทรดต้องจ่ายดอกเบี้ย

ปัจจัยที่มีผลต่อ Swap Rate

  • นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
  • สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
  • ความต้องการในตลาดสำหรับแต่ละสกุลเงิน

การใช้ Swap Rate ในการเทรด

  • วางแผนการถือครองสถานะระยะยาว
  • พิจารณาใช้กลยุทธ์ Carry Trade
  • คำนวณต้นทุนหรือผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการถือครองสถานะข้ามคืน

ข้อควรระวัง: แม้ว่า Positive Swap อาจดูน่าสนใจ แต่ไม่ควรเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจเทรด ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น แนวโน้มของตลาดและการบริหารความเสี่ยง

บทสรุป

การเรียนรู้และเข้าใจคำศัพท์ Forex เหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเริ่มต้นเส้นทางสู่การเป็นนักเทรด Forex มืออาชีพ แม้ว่าจะมีคำศัพท์อีกมากมายที่คุณจะได้เรียนรู้เพิ่มเติมในอนาคต แต่การเริ่มต้นด้วยคำศัพท์นี้จะช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการทำความเข้าใจตลาด Forex

อย่างไรก็ตาม การรู้คำศัพท์เพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันความสำเร็จในการเทรด คุณยังต้องฝึกฝนทักษะการวิเคราะห์ การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมอารมณ์ควบคู่กันไปด้วย นอกจากนี้ การติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากตลาด Forex มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา

สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการเทรด Forex มีความเสี่ยงสูง และไม่เหมาะสำหรับทุกคน ก่อนเริ่มเทรดด้วยเงินจริง ควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และเริ่มต้นด้วยการใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนกลยุทธ์และสร้างความมั่นใจก่อน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกของ Forex