ทำความรู้จักกับเดย์เทรด (Day trade)

สวัสดีเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน! วันนี้เรามาทำความรู้จักกับการเทรดรูปแบบหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนยุคใหม่ นั่นก็คือ “เดย์เทรด” หรือ “Day trade” กันเลย

หลายคนอาจเคยได้ยินคำนี้ผ่านหูกันมาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร บทความนี้จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับเดย์เทรดให้มากขึ้น ว่ามันคืออะไร เหมาะกับใคร และมีกลยุทธ์อะไรบ้างที่เหล่าเทรดเดอร์มืออาชีพใช้กัน มาเริ่มกันเลย!

เดย์เทรด (Day trade) คืออะไร?

เดย์เทรด หรือ Day trade คือ การซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินระยะเวลาสั้นๆ เช่น หุ้น, คู่สกุลเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือคริปโทเคอร์เรนซี โดยมีเป้าหมาย เพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้นๆ ภายในวันเดียว

จุดเด่นของการเดย์เทรดก็คือ เทรดเดอร์จะเปิดและปิดสถานะ (position) ทั้งหมดภายในวันเดียวเท่านั้น ไม่มีการถือข้ามคืน ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนระยะยาวที่อาจถือสถานะไว้เป็นสัปดาห์ เดือน หรือแม้กระทั่งหลายปี

การเลือก Timeframe (TF) ที่เหมาะสม

TF หลัก: 5 และ 15 นาที

  • เหมาะสำหรับจับจังหวะเข้า-ออก
  • 5 นาทีดีสำหรับ scalping, 15 นาทีลดสัญญาณหลอก

TF รอง: 1 ชั่วโมง

  • ดูภาพรวมทิศทางตลาดรายวัน

TF เสริม: 1 และ 3 นาที

  • สำหรับผู้ต้องการความแม่นยำสูง
  • ระวังเทรดถี่เกินและเสียค่าธรรมเนียมมาก

เดย์เทรดเหมาะกับใคร?

มาถึงตรงนี้ ขอแบ่งเป็นกลุ่มๆ ดังนี้

ผู้ที่มีเวลาว่างในช่วงเวลาตลาดเปิด

  • เดย์เทรดเหมาะกับคนที่มีเวลาว่างในช่วงที่ตลาดเปิดทำการ เพราะต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด

ผู้ที่ชอบความท้าทายและตื่นเต้น

  • การเดย์เทรดให้ความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ วิธีนี้จึงเหมาะกับคนที่ชอบความท้าทายและการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • เดย์เทรดต้องอาศัยการวิเคราะห์กราฟและใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ ข้อนี้จึงเหมาะกับคนที่มีพื้นฐานด้านนี้

ผู้ที่มีวินัยและควบคุมอารมณ์ได้ดี

  • เดย์เทรดต้องการวินัยสูงและการควบคุมอารมณ์ที่ดี เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดตลอดเวลา

เพื่อนๆ ต้องเข้าใจด้วยว่า เดย์เทรดเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ หรือผู้ที่มีทุนจำกัด

ข้อดีและข้อเสียของ Day trade

เดย์เทรดนั้นก็เหมือนการลงทุนทุกรูปแบบ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

ข้อดีของเดย์เทรด

  1. โอกาสทำกำไรสูงในระยะสั้น: เดย์เทรดให้โอกาสทำกำไรจากความผันผวนของราคาในแต่ละวัน
  2. ไม่มีความเสี่ยงจากเหตุการณ์ข้ามคืน: เนื่องจากปิดสถานะทุกวัน จึงไม่ต้องกังวลกับข่าวหรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นนอกเวลาทำการ
  3. สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: เดย์เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้ทั้งเมื่อราคาขึ้นและลง
  4. ไม่ต้องเสียค่า Swap: เนื่องจากไม่มีการถือสถานะข้ามคืน จึงไม่ต้องเสียค่า Swap

ข้อเสียของเดย์เทรด

  1. มีความเสี่ยงสูง: การตัดสินใจรวดเร็วอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ง่าย
  2. ต้องใช้เวลามาก: ต้องติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาทำการ
  3. ค่าธรรมเนียมสูง: การซื้อขายบ่อยครั้งทำให้เสียค่าธรรมเนียมมากกว่าการลงทุนระยะยาว
  4. ความเครียดสูง: ต้องตัดสินใจภายใต้ความกดดันตลอดเวลา

กลยุทธ์เดย์เทรดที่นิยมใช้

ทีนี้มาดูกันว่า เหล่า Day trade ของเทรดเดอร์มืออาชีพเขาใช้กลยุทธ์อะไรกันบ้าง ขอแนะนำ 5 กลยุทธ์ยอดนิยมดังนี้

1.กลยุทธ์ Scalping

กลยุทธ์ Scalping  เน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงสั้นๆ มาก อาจเป็นเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะเปิดและปิดสถานะอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง โดยหวังทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่ทำบ่อยๆ

  • ข้อดี: มีโอกาสทำกำไรสูงหากทำได้ถูกต้อง
  • ข้อเสีย: ต้องใช้สมาธิสูงและมีค่าธรรมเนียมมาก

2.กลยุทธ์ Momentum Trading

กลยุทธ์นี้เน้นการเทรดตามแนวโน้มของราคาที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โดยมักจะเกิดจากข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคา เทรดเดอร์จะพยายามเข้าเทรดเมื่อราคามี momentum สูง และออกเมื่อ momentum เริ่มอ่อนตัวลง

  • ข้อดี: สามารถทำกำไรได้มากในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
  • ข้อเสีย: ต้องระวังการกลับตัวของราคาอย่างฉับพลัน

3.กลยุทธ์ Breakout Trading

กลยุทธ์นี้เน้นการเทรดเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ โดยคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนไหวต่อเนื่องในทิศทางของการ breakout นั้น

  • ข้อดี: มีโอกาสทำกำไรสูงเมื่อเกิด breakout จริง
  • ข้อเสีย: อาจเกิด false breakout ได้บ่อย ต้องระมัดระวัง

4.กลยุทธ์ Reversal Trading

กลยุทธ์นี้พยายามจับจุดกลับตัวของราคา โดยเทรดสวนทางกับแนวโน้มเดิมเมื่อมีสัญญาณว่าราคากำลังจะเปลี่ยนทิศทาง

  • ข้อดี: สามารถทำกำไรได้มากหากจับจุดกลับตัวได้ถูกต้อง
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงหากวิเคราะห์ผิดพลาด

5.กลยุทธ์ News Trading

กลยุทธ์นี้เน้นการเทรดโดยอาศัย ข่าวสารสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อราคา เช่น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์สำคัญต่างๆ

  • ข้อดี: สามารถทำกำไรได้มากจากความผันผวนที่เกิดจากข่าว
  • ข้อเสีย: ต้องมีความรู้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานและต้องตัดสินใจเร็ว

เคล็ดลับสำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นเดย์เทรด

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจจะเริ่มต้นเดย์เทรด มีเคล็ดลับดีๆ มาฝากกัน ดังนี้:

  • เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะเริ่มเทรดด้วยเงินจริง ให้ฝึกฝนกับบัญชีทดลองก่อนอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ โดยไม่มีความเสี่ยง
  • ศึกษาให้มาก ใช้เวลาอย่างน้อยวันละ 1-2 ชั่วโมงในการศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค, ข่าวสารตลาด และจิตวิทยาการเทรด ยิ่งรู้มาก โอกาสประสบความสำเร็จก็ยิ่งสูง
  • เริ่มต้นด้วยเงินทุนที่เหมาะสม ควรเริ่มต้นด้วยเงินทุนที่คุณสามารถสูญเสียได้โดยไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน โดยทั่วไปแล้ว ไม่ควรใช้เงินทุนเกิน 5-10% ของเงินออมทั้งหมดของคุณ
  • จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง ไม่ควรเสี่ยงมากกว่า 1-2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันการขาดทุนครั้งใหญ่ที่อาจทำให้บัญชีของคุณหมดไปอย่างรวดเร็ว
  • ใช้ Stop Loss เสมอ ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งที่เปิดสถานะ เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาวิ่งสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ โดยทั่วไปแล้ว Stop Loss ควรอยู่ที่ประมาณ 5-10 pips จากจุดเข้าเทรด
  • อย่าใช้ Leverage สูงเกินไป แม้ว่า Leverage จะช่วยเพิ่มกำไรได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้วยเช่นกัน สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วย Leverage ไม่เกิน 1:10 หรือ 1:20 เท่านั้น
  • จดบันทึกการเทรดทุกครั้ง บันทึกรายละเอียดทุกการเทรด ทั้งเหตุผลที่เข้าเทรด, จุดเข้า-ออก, ผลกำไร/ขาดทุน และบทเรียนที่ได้รับ เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณ

ความแตกต่างระหว่างเดย์เทรดและการลงทุนรูปแบบอื่น

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น มาดูความแตกต่างระหว่างเดย์เทรดกับการลงทุนรูปแบบอื่นกันเลย:

Day trade vs Swing Trading

  • ระยะเวลาถือครอง: เดย์เทรดถือไม่เกิน 1 วัน, Swing Trading ถือ 2-5 วันหรือมากกว่า
  • จำนวนการเทรด: เดย์เทรดอาจทำ 5-20 การเทรดต่อวัน, Swing Trading อาจทำ 1-5 การเทรดต่อสัปดาห์
  • ความเครียด: เดย์เทรดมีความเครียดสูงกว่าเพราะต้องตัดสินใจเร็ว

Day trade vs Position Trading

  • ระยะเวลาถือครอง: เดย์เทรดถือไม่เกิน 1 วัน, Position Trading อาจถือนานเป็นสัปดาห์, เดือน หรือปี
  • การวิเคราะห์: เดย์เทรดเน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคระยะสั้น, Position Trading ใช้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค
  • ผลตอบแทน: เดย์เทรดหวังผลตอบแทนเล็กน้อยแต่บ่อยครั้ง, Position Trading หวังผลตอบแทนใหญ่ในระยะยาว

Day trade vs Scalping

  • ระยะเวลาถือครอง: เดย์เทรดถือนานกว่า (อาจเป็นชั่วโมง), Scalping ถือเพียงไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที
  • จำนวนการเทรด: Scalping ทำการเทรดถี่กว่ามาก อาจถึง 100-1000 ครั้งต่อวัน
  • กำไรต่อการเทรด: เดย์เทรดมักหวังกำไรมากกว่า Scalping ที่หวังกำไรเพียงเล็กน้อยต่อการเทรด

ความเสี่ยงของเดย์เทรดที่ควรระวัง

แม้ว่าเดย์เทรดจะมีโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน เพื่อนๆ ควรระวังความเสี่ยงเหล่านี้:

  • ความเสี่ยงจากการขาดทุนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการใช้ Leverage สูง การขาดทุนอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉลี่ยแล้ว 80-90% ของเดย์เทรดเดอร์มือใหม่จะขาดทุนในปีแรก
  • ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวสำคัญ ราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก
  • ความเสี่ยงด้านจิตวิทยา การเทรดบ่อยครั้งอาจนำไปสู่ความเครียดและการตัดสินใจที่ผิดพลาดเนื่องจากอารมณ์ เช่น การเทรดเกินขนาดเพื่อทวงคืนการขาดทุน
  • ความเสี่ยงจากค่าธรรมเนียม การซื้อขายบ่อยครั้งทำให้เสียค่าธรรมเนียมมาก ซึ่งอาจกินกำไรของคุณไปได้มาก โดยเฉลี่ยแล้ว เดย์เทรดเดอร์อาจเสียค่าธรรมเนียมถึง 2-5% ของเงินทุนต่อเดือน

สรุป เดย์เทรดเหมาะกับคุณหรือไม่?

Day trade เป็นรูปแบบการลงทุนที่น่าตื่นเต้นและมีโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเดย์เทรดเหมาะกับคุณหรือไม่ ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้:

  1. คุณมีเวลาเพียงพอที่จะติดตามตลาดตลอดทั้งวันหรือไม่?
  2. คุณสามารถรับมือกับความเครียดและความกดดันได้ดีแค่ไหน?
  3. คุณมีเงินทุนเพียงพอที่จะเริ่มต้นและรับมือกับการขาดทุนได้หรือไม่?
  4. คุณมีความรู้และทักษะในการวิเคราะห์ตลาดเพียงพอหรือไม่?
  5. คุณมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัดได้หรือไม่?

หากคุณตอบ “ใช่” กับคำถามส่วนใหญ่ เดย์เทรดอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณ แต่หากคุณยังไม่มั่นใจ อาจเริ่มต้นด้วยการ Swing Trade หรือ Position Trade ก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาทักษะไปสู่การเดย์เทรดในอนาคต

สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการเดย์เทรดไม่ใช่ทางลัดสู่ความรวย แต่เป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนและพัฒนา ความอดทน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการจัดการความเสี่ยงที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเดย์เทรด