สวัสดีชาวเทรดเดอร์ผู้รักความรวดเร็ว ถ้าคุณเป็นคนใจร้อน ไม่ชอบรอนาน และชอบสไตล์ “ยิงแล้วจบ” แบบไม่ต้องนั่งลุ้นนานๆ การ เทรดสั้น หรือ Scalping นี่แหละ อาจเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์คุณสุดๆ แต่ช้าก่อน! หลายคนคิดว่าเทรดสั้นเป็นเรื่องของความสนุกเพียวๆ แท้จริงแล้ว เทรดสั้น มันมีดีมากกว่านั้น และยังช่วยให้คุณทำกำไรได้แบบ ไว-ว่อง-วิน ถ้ารู้จักใช้ระบบที่ถูกต้อง

วันนี้เราเลยคัด 10 ระบบเที่ดีที่สุด มาให้ทุกคนลองศึกษา พร้อมลุยไปกับความมันส์และความแม่นยำ! ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยครับ

forex เทรดสั้น คืออะไร? แล้วเกี่ยวกับ Scalping ได้อย่างไร

  • การเทรดสั้น หรือที่เรียกว่า Scalping คือ กลยุทธ์การเทรดที่เน้นทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่บ่อยครั้ง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีไปจนถึงไม่เกิน 5-15 นาที 
  • จุดเด่นของมันคือ “เข้าไว ออกไว” เพื่อเก็บกำไรทีละนิด แต่ถ้าทำซ้ำๆ หลายครั้งในวันเดียว ก็อาจรวมเป็นกำไรก้อนโตได้เช่นกัน

จุดเด่นของเทรดสั้น 

จุดเด่นของเทรดสั้น คือ กินกำไรทีละนิด แต่เก็บหลายรอบ โดยจะมีรายละเอียดปรีกย่อยอีกดังต่อไปนี้

  1. เหมาะกับตลาดที่ผันผวน
    ไม่ว่ากราฟจะขึ้นหรือลง การเทรดสั้นช่วยให้คุณ ทำกำไรได้ทั้งสองทาง เพราะเราเน้นเก็บกำไรระยะสั้น ไม่รอให้กราฟวิ่งยาวจนหลุดโอกาส
  2. จบเร็ว ไม่ต้องถือข้ามวัน
    เทรดสั้นช่วยลดความเสี่ยงจากข่าวใหญ่ที่อาจทำให้กราฟ เหวี่ยงแรงจนพอร์ตสะเทือน เพราะการจบในไม่กี่นาทีทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดกลางคืน
  3. เก็บกำไรได้ตลอดวัน
    ตลาด Forex เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าคุณเป็นสายตื่นตัว จับจังหวะเข้าซื้อ-ขายได้ทั้งวัน ยิ่งจังหวะมาก ยิ่งมีโอกาสทำกำไรมากขึ้น
  4. ลดความเสี่ยงจากการเทรดยาวที่คาดเดายาก
    การเทรดยาวบางครั้งต้องรอนาน และเสี่ยงเจอกับเทรนด์ผันผวนที่ควบคุมไม่ได้ แต่เทรดสั้นเน้นการ “เข้าเร็ว-ออกไว” ช่วยให้คุณจัดการความเสี่ยงได้ดีกว่า

การเทรดสั้นไม่ใช่แค่เรื่องของความไว แต่มันคือการเล่นเกมที่อาศัย ความแม่นยำและการฝึกฝน ถ้ารู้จังหวะ คุณก็สามารถเก็บกำไรได้แบบคมๆ หลายรอบต่อวัน

ใครเหมาะกับการเทรดสั้น

  1. เทรดเดอร์ที่มีเวลาเฝ้ากราฟ
    ถ้าคุณเป็นสายจดจ่อ ชอบนั่งหน้าจอ เฝ้าดูกราฟวิ่งแบบเรียลไทม์ พร้อมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การเทรดสั้นนี่แหละคือสวรรค์ของคุณ เพราะมันต้องใช้ความไวและสายตาที่เฉียบคมในการจับจังหวะเข้าออก
  2. คนที่รักความเร็วและความตื่นเต้น
    การเทรดสั้นเปรียบเสมือน เกมที่ท้าทายและเร้าใจ ยิ่งเมื่อคุณสามารถเข้าออกจังหวะสวยๆ และทำกำไรได้หลายไม้ต่อวัน มันคือความสนุกขั้นสุดที่เทรดเดอร์หลายคนติดใจแบบถอนตัวไม่ขึ้น
  3. คนที่ต้องการผลลัพธ์ไว ไม่ชอบรอนาน
    ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบนั่งรอ “ให้กราฟวิ่งไปถึงเป้าหมาย” แบบใจหายใจคว่ำ การเก็บกำไรสั้นๆ แต่บ่อยครั้งจะทำให้คุณเห็นผลลัพธ์ทันใจ เข้าเร็ว จบเร็ว ได้เงินไว ตรงกับสไตล์ที่ชอบแน่นอน

ถ้าคุณรู้ตัวว่าอยู่ใน 3 ข้อนี้ การเทรดสั้นหรือ Scalping จะเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คุณสนุกไปกับการทำกำไรในตลาด Forex แบบรวดเร็ว แถมยังช่วยฝึกสกิลความแม่นยำไปในตัวอีกด้วยนั่นเองครับ

forex เทรดสั้น ดียังไง? ทำไมเทรดสั้นถึงเป็นที่นิยม

  • ได้กำไรเร็ว รู้ผลไว

สำหรับสายใจร้อน เทรดสั้นคือคำตอบ! เพราะเน้นการ เข้าเร็ว-จบเร็ว ภายในไม่กี่นาที คุณไม่ต้องนั่งลุ้นนานให้เครียด ถือว่าเป็นวิธีทำกำไรที่เห็นผลไวที่สุดในตลาด Forex แถมยังไม่ต้องถือข้ามวันให้เสี่ยงกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ข่าวเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่างตัวเลขเงินเฟ้อหรือประกาศดอกเบี้ย มักทำให้กราฟเหวี่ยงแรงจน “เดาทางไม่ถูก” แต่การเทรดสั้นช่วยให้คุณ หลุดพ้นจากความเสี่ยงนั้น เพราะจบการเทรดไปก่อนที่ตลาดจะโดนสวิงจากข่าวใหญ่

  • ฝึกความแม่นยำและวินัยในการเทรด

การเทรดสั้นไม่ใช่แค่เรื่องความไว แต่ต้องอาศัย สมาธิและความแม่นยำขั้นสูง เพราะทุกจังหวะในการเข้า-ออกมีความสำคัญ เทรดเดอร์ที่เน้น Scalping จึงได้ฝึกวินัย และการตัดสินใจที่เฉียบขาดไปในตัว ซึ่งสกิลเหล่านี้จะเป็น พื้นฐานสำคัญของการเป็นเทรดเดอร์มือโปร

การเทรดสั้นไม่ใช่แค่เรื่องความสนุก แต่ยังเป็นวิธีทำกำไรที่ตอบโจทย์คนที่ชอบความเร็ว และช่วยพัฒนาทักษะการเทรดให้แกร่งขึ้นอีกด้วยนั่นเอง

รวม 10 ระบบเทรดสั้น ที่ดีที่สุด รับรองยิงเร็ว แม่นยำ

รูปที่ 1 ตัวอย่างการใช้งานระบบเทรด Moving Average Cross และ Bollinger Bands

1. ระบบเทรด Moving Average Cross

  • จุดเด่น: ง่าย และคลาสสิกตลอดกาล เหมาะสำหรับมือใหม่หัด Scalping
  • วิธีใช้:
    • ใช้เส้น Moving Average (MA) สองเส้น เช่น SMA 100 และ EMA 100
    • เมื่อเส้น EMA เส้นสั้นตัดขึ้นเหนือ SMA = สัญญาณซื้อ ยิงทันที!
    • เมื่อเส้น EMA เส้นสั้นตัดลงต่ำกว่า SMA = สัญญาณขาย รีบทำกำไร
  • เคล็ดลับ: ใช้คู่กับกรอบเวลาเล็กๆ อย่าง M1 หรือ M5 เพื่อหาจังหวะเร็วขึ้น

2. ระบบ Bollinger Bands สไตล์เด้งเร็ว

  • จุดเด่น: เก็บกำไรจากการ “เด้ง” ของราคาออกจากกรอบบน-ล่าง สั้นๆ แต่ได้ผลไว
  • วิธีใช้:
    • ใช้ Bollinger Bands ตั้งค่าเริ่มต้น (20, 2)
    • เมื่อราคาเด้งออกจาก กรอบล่าง และเริ่มกลับขึ้น = สัญญาณซื้อ
    • เมื่อราคาเด้งออกจาก กรอบบน และเริ่มกลับลง = สัญญาณขาย
  • สายชอบ “เด้งแล้วซัด” ห้ามพลาด เพราะจังหวะนี้มักแม่นยำและทำกำไรได้ง่ายในตลาดผันผวน

รูปที่ 2 ตัวอย่างการใช้งานระบบเทรด RSI และ Candlestick Patterns

3. ระบบเทรด RSI Scalping 

  • เทคนิค: ดูจังหวะ Oversold (ขายมากเกินไป) และ Overbought (ซื้อมากเกินไป) เพื่อหาจุดเข้าเทรดเร็วๆ
  • วิธีใช้:
    • ตั้งค่า RSI ที่ 14 เป็นค่ามาตรฐาน
    • เมื่อ RSI ลงต่ำกว่า 30 = ราคาเข้าสู่โซน Oversold สัญญาณซื้อ
    • เมื่อ RSI ขึ้นสูงกว่า 70 = ราคาเข้าสู่โซน Overbought สัญญาณขาย
  • จุดเด่น: ระบบนี้เหมาะกับการเล่นสั้นๆ ในกรอบเวลา M1 หรือ M5 เพราะราคามักดีดตัวกลับไว
  • เคล็ดลับ: ใช้ร่วมกับ เส้นแนวรับ-แนวต้าน เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

4. ระบบเทรดด้วย Candlestick Patterns หรือ Price Action

  • เทคนิค: อ่านสัญญาณจาก รูปแบบแท่งเทียน เพื่อหาจุดเข้าออกที่แม่นยำในช่วงสั้นๆ
  • วิธีใช้:
    • มองหาแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการกลับตัว เช่น Pin Bar, Engulfing, หรือ Doji
    • เมื่อเห็นแท่งกลับตัวในโซนแนวรับหรือแนวต้าน เข้าเทรดทันที
    • เน้นกรอบเวลาสั้น (M1-M15) เพื่อหาจังหวะยิงเร็ว
  • จุดเด่น: การอ่านแท่งเทียนเป็นสกิลที่ทำให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของตลาดแบบเรียลไทม์ ยิงสั้นแม่นและไว
  • เคล็ดลับ: ใช้ควบคู่กับอินดิเคเตอร์ เช่น RSI หรือ Bollinger Bands เพื่อยืนยันสัญญาณ

รูปที่ 3 ตัวอย่างการใช้งานระบบเทรด Fibonacci Retracement และ เทรดตาม Trend

5. ระบบเทรด Fibonacci Retracement 

  • เทคนิค: ใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement เพื่อหาแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ และเข้าออกตามจุดกลับตัวของราคา
  • วิธีใช้:
    • ลาก Fibonacci จากจุด Swing High ไปยังจุด Swing Low หรือกลับกัน (ขึ้นอยู่กับเทรนด์)
    • ดูจุดระดับยอดนิยม เช่น 38.2%, 50%, 61.8%
    • เมื่อราคาย่อตัวมาที่ระดับ Fibonacci และดีดกลับ หาจังหวะ Buy/Sell ตามทิศทางเดิมของเทรนด์
  • จุดเด่น: แม่นยำมากสำหรับการเทรดสั้น เพราะ Fibonacci ช่วยชี้จุดเข้าออกแบบคมกริบ จับกำไรสั้นๆ ได้หลายรอบ
  • เคล็ดลับ: ใช้ร่วมกับ Candlestick Patterns เพื่อยืนยันสัญญาณกลับตัว

6. ระบบเทรดตาม Trend ด้วย EMA 9 และ 21

  • เทคนิค: ใช้เส้น EMA (Exponential Moving Average) เพื่อจับทิศทางเทรนด์ระยะสั้น แล้วเทรดตามเทรนด์เพื่อความปลอดภัย
  • วิธีใช้:
    • ตั้งค่า EMA 2 เส้น: EMA 9 (เส้นสั้น) และ EMA 21 (เส้นยาว)
    • เมื่อเส้น EMA 9 ตัดขึ้นเหนือ EMA 21 เป็นสัญญาณ Buy
    • เมื่อเส้น EMA 9 ตัดลงต่ำกว่า EMA 21 เป็นสัญญาณ Sell
  • จุดเด่น: ระบบนี้เหมาะกับคนที่ชอบเทรดตามเทรนด์ระยะสั้นๆ แต่ไม่ชอบเสี่ยงสวนเทรนด์ เพราะช่วยลดโอกาสพอร์ตแตกจากการเข้าผิดทิศ
  • เคล็ดลับ: ใช้กับ Timeframe M5 หรือ M15 และจับคู่กับ Volume Indicator เพื่อเพิ่มความมั่นใจ

รูปที่ 4 ตัวอย่างการใช้งานระบบเทรด Breakout และ CCI Divergence

7. ระบบเทรด Breakout สั้นๆ แต่ได้ใจความ

  • เทคนิค: เทรดตามจังหวะที่ราคาทะลุ แนวรับ หรือ แนวต้าน แล้ววิ่งแรงไปในทิศทางเดิม ซึ่งมักเกิดในช่วงตลาดมีแรงซื้อ-ขายเยอะ
  • วิธีใช้:
    • วาดเส้น แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) บน Timeframe เล็ก เช่น M5 หรือ M15
    • เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป เปิด Buy ตามน้ำ
    • เมื่อราคาทะลุแนวรับลงมา เปิด Sell ตามน้ำ
    • จับตาดูปริมาณการซื้อขาย (Volume) ประกอบ หากปริมาณสูงขึ้น ยิ่งเป็นสัญญาณยืนยันที่ดี
  • จุดเด่น: ง่ายต่อการใช้งาน และมักได้กำไรสั้นๆ แบบทันใจเมื่อราคาวิ่งแรง
  • เคล็ดลับ: หลัง Breakout ให้รอ Pullback กลับมาที่แนวรับ-ต้านเดิม เพื่อเข้าอีกรอบ เพิ่มความแม่นยำขึ้น

8. ระบบ CCI Divergence

  • เทคนิค: ใช้อินดิเคเตอร์ CCI (Commodity Channel Index) เพื่อตรวจหาความแตกต่าง (Divergence) ระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์ ซึ่งบ่งบอกถึงสัญญาณกลับตัวที่แม่นยำ
  • วิธีใช้:
    • ดูการเคลื่อนไหวของราคาและเส้น CCI
    • เมื่อราคา ทำจุดสูงใหม่ แต่ CCI กลับทำจุดต่ำลง สัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจเริ่มอ่อนแรง เตรียม Sell
    • เมื่อราคา ทำจุดต่ำใหม่ แต่ CCI กลับทำจุดสูงขึ้น สัญญาณว่าแนวโน้มขาลงอาจกลับตัว เตรียม Buy
  • จุดเด่น: ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการหาจังหวะกลับตัวที่ราคาอาจวิ่งสวนทิศเดิม
  • เคล็ดลับ: ใช้ CCI Divergence ควบคู่กับ แนวรับ-แนวต้าน หรือเส้น EMA เพื่อยืนยันการเข้าเทรด

รูปที่ 5 ตัวอย่างการใช้งานระบบเทรด Parabolic SAR และ MACD

9. ระบบ Parabolic SAR ยิงสั้นตามจุดไข่ปลา

  • เทคนิค: ใช้อินดิเคเตอร์ Parabolic SAR ที่ดูง่ายสุดๆ ด้วย จุดไข่ปลา บนกราฟ ช่วยบอกทิศทางเทรนด์ และหาจังหวะเข้า-ออกที่ชัดเจน
  • วิธีใช้:
    • จุดไข่ปลาอยู่ เหนือราคา สัญญาณว่าเป็นขาลง เตรียม Sell
    • จุดไข่ปลาอยู่ ใต้ราคา สัญญาณว่าเป็นขาขึ้น เตรียม Buy
  • จุดเด่น:
    • ง่ายต่อการใช้งาน เหมาะกับมือใหม่ เพราะสัญญาณเข้าออกชัดเจน ไม่ซับซ้อน
    • ใช้ได้ดีกับ Timeframe สั้น เช่น M1 หรือ M5
  • เคล็ดลับ: ใช้ร่วมกับเส้น EMA หรือ MACD เพื่อยืนยันทิศทาง และลดสัญญาณหลอก

10. ระบบ Scalping ด้วย MACD

  • เทคนิค: ใช้ MACD (Moving Average Convergence Divergence) ดูสัญญาณการตัดกันของเส้น เพื่อเก็บกำไรระยะสั้นแบบรวดเร็ว
  • วิธีใช้:
    • เส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal เป็นสัญญาณ Buy
    • เส้น MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal เป็นสัญญาณ Sell
    • ดู Histogram ประกอบ ถ้าแท่ง MACD เริ่มเพิ่มสูงขึ้น = แนวโน้มแข็งแกร่ง
  • จุดเด่น:
    • ช่วยจับจังหวะเข้าออกได้ชัดเจนทั้งขาขึ้นและขาลง
    • เหมาะกับเทรดเดอร์สาย Scalping ที่ชอบความรวดเร็วและต้องการผลลัพธ์ไว
  • เคล็ดลับ: ใช้ MACD ควบคู่กับแนวรับ-แนวต้าน หรือ Bollinger Bands เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

สรุป เทรดสั้นดีไหม? และระบบไหนใช่สำหรับคุณ?

การเทรดสั้น หรือ Scalping ถือเป็นหนึ่งในวิธีการเทรดที่ทั้ง ท้าทายและสนุก เพราะเน้นความรวดเร็ว ตัดสินใจไว และสามารถเห็นผลกำไรได้แบบทันใจ แต่สิ่งสำคัญคือ การเลือกระบบที่เหมาะสมกับสไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสายเด้งเร็วแบบ Bollinger Bands, จับเทรนด์ด้วย EMA, หรือยิงตามสัญญาณไข่ปลาของ Parabolic SAR

  • มือใหม่: เริ่มจากระบบที่เข้าใจง่าย เช่น Moving Average Cross หรือ Parabolic SAR เพราะสัญญาณชัด ใช้ง่าย และไม่ซับซ้อน
  • เทรดเดอร์สายวิเคราะห์: ลองใช้ Fibonacci Retracement หรือ CCI Divergence ที่ช่วยจับจังหวะแม่นยำขึ้น
  • คนชอบความเร็ว: ระบบ Breakout หรือ MACD Scalping คือคำตอบ ยิงเร็ว จบไว เก็บกำไรแบบเน้นๆ

ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดเทรด หรือเทรดเดอร์มือโปรที่มองหาความท้าทายใหม่ๆ การเทรดสั้นสามารถทำกำไรได้จริง ถ้าฝึกฝนให้เชี่ยวชาญและมีวินัย ดังนั้น เลือกระบบที่ใช่ ฝึกใช้ให้คล่อง แล้วเตรียมพร้อมรับกำไรสั้นๆ แต่คุ้มค่าในทุกวัน

แหล่งอ้างอิง

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon