Watchlist คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร?
ความหมายของ Watchlist
- Watchlist คือ รายการหลักทรัพย์ที่นักลงทุนติดตาม เพื่อหาโอกาสในการเทรดหรือลงทุน
- เปรียบเสมือน “รายการสินค้าที่อยากได้” แต่รอให้ราคาถูกลงก่อนค่อยซื้อนั่นเอง
- Watchlist ที่ดีควรมีรายการที่พอเหมาะ (ประมาณ 25-75 รายการ) ไม่ควรมากเกินไปจนดูแลไม่ทั่วถึงนะ
ประโยชน์ของ Watchlist
- ช่วยให้เทรดเดอร์ Forex ติดตามและกรองคู่เงินที่มีศักยภาพได้อย่างมีระบบ ทำให้จับจังหวะตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ช่วยให้เห็นโอกาสในการเข้าเทรด เมื่อสินทรัพย์ที่สนใจเข้าเงื่อนไขที่ต้องการ
- ช่วยให้เห็นสินทรัพย์ที่กำลังเป็นที่นิยมในตลาด
- ช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูล มากขึ้น
- ติดตาม ข่าวสำคัญใน Forex และปัจจัยที่กระทบต่อหลักทรัพย์ที่สนใจได้อย่างทันท่วงที
- ประหยัดเวลา ในการค้นหาสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เพราะรวบรวมไว้ในที่เดียวแล้ว
- Watchlist คือเครื่องมือฝึก จิตวิทยาการลงทุน ช่วยให้เทรดตามระบบ ไม่ตามอารมณ์ คุมสติได้ก่อนตลาดจะคุมคุณ
Watchlist ต่างจาก Market Scanner ยังไง?
แนะนำ 5 โปรแกรม Watchlist ที่ดีที่สุดในปีนี้
1. Dhan Fast Watchlist เร็วมาก
Dhan Fast Watchlist เป็นฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวและกำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เทรดเดอร์สามารถสร้าง Watchlist ได้เร็วขึ้น 10 เท่า ด้วยการเลือกรายการแบบกลุ่ม
จุดเด่น
- Fast Select – เลือกหุ้นทั้งกลุ่มได้ในคลิกเดียว เช่น ดัชนีทั้งหมด หรือ Options Chain แบบครบชุด
- รองรับ 10+1 Watchlist – สร้างได้ถึง 10 รายการ + 1 โบนัสสำหรับการลงทุน
- ติดตามได้ 1,000+ หลักทรัพย์ – แต่ละ Watchlist รองรับได้ถึง 100 รายการ
- ใช้งานได้ในทุกแพลตฟอร์ม – ทั้ง Dhan App, Options Trader และ TradingView console
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่มีหุ้นในพอร์ต โดยเฉพาะคนที่เทรด Binary Option
2. TradingView Watchlist กราฟสวย วิเคราะห์ครบ
TradingView เป็นที่รู้จักในฐานะแพลตฟอร์มชาร์ตที่ดีที่สุด แต่ระบบ Watchlist ก็ไม่แพ้กันเลย ถึงแม้จะมีข้อจำกัดที่ Free Account จะสร้างได้แค่ 30 รายการ แต่คุณภาพยังคงเหนือชั้น
จุดเด่น
- อินดิเคเตอร์ชั้นเยี่ยม – แสดงข้อมูลเทคนิคอลได้พร้อมกันหลายตัว เช่น RSI, MACD
- แจ้งเตือนราคา – ตั้งค่าแจ้งเตือนเมื่อราคาทะลุระดับสำคัญได้
- ภาพรวมตลาด – Heat Map ช่วยให้เห็นภาพรวมตลาดได้ในทันที
- คอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ – แชร์ไอเดียและเรียนรู้จากเทรดเดอร์ทั่วโลก
เหมาะสำหรับ: เทคนิคอลเทรดเดอร์ที่ต้อง การวิเคราะห์กราฟ อย่างละเอียด
3. Google Sheets Trading Watchlist ฟรี!
Google Sheets อาจฟังดูไม่เท่เครื่องมือเฉพาะทาง แต่ด้วย GOOGLEFINANCE และ IMPORTXML ทำให้มันกลายเป็น Watchlist ที่ทรงพลังและปรับแต่งได้ไม่จำกัด ที่สำคัญ ฟรี 100%
จุดเด่น
- ปรับแต่งได้อิสระ – สร้างคอลัมน์ สูตรคำนวณ และตัวบ่งชี้ได้ตามต้องการ
- เชื่อมต่อหลายแหล่งข้อมูล – ดึงข้อมูลจาก Google Finance, Yahoo Finance ฯลฯ
- สร้าง Signal เอง – กำหนดเงื่อนไข และสัญญาณการซื้อขายได้ด้วยตัวเอง
- เรียลไทม์ – อัพเดตข้อมูลอัตโนมัติ (แม้จะช้ากว่าเล็กน้อย)
- Dashboard สวยงาม – สร้าง Heat Map, กราฟ และแดชบอร์ดแสดงภาพรวมพอร์ตได้
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ชอบปรับแต่งและวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เหมาะกับ การลงทุนระยะยาว
4. MT4/MT5 Watchlist ราชาของ Forex
MetaTrader 4/5 (MT4/MT5) เป็น Platform อมตะสำหรับเทรดเดอร์ Forex โดยเฉพาะ ด้วย Watchlist ที่เรียบง่ายแต่ทรงประสิทธิภาพสูง ทำให้ติดตามค่าเงินได้แบบเรียลไทม์
จุดเด่น
- เรียลไทม์ 100% – ราคาอัพเดตแบบทันทีทันใด ไม่มีดีเลย์
- Market Depth – ดูข้อมูล Bid/Ask ได้อย่างลึกซึ้ง
- EA Compatible – ใช้ร่วมกับ Expert Advisor เพื่อทำระบบเทรดอัตโนมัติได้
- Multi-timeframe – วิเคราะห์หลาย Timeframe พร้อมกันได้
- Customizable – ปรับแต่งหน้าจอได้ตามต้องการ
เหมาะสำหรับ: Forex Trader โดยเฉพาะ Scalper และผู้ที่ใช้ EA (Expert Advisor)
5. Binance Watchlist สำหรับคริปโต
Binance เป็นเจ้าตลาดใน การเทรดคริปโต และ Watchlist ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์และการตั้งค่าที่ง่ายดาย ทำให้ติดตามราคาคริปโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
- ครอบคลุมคริปโตกว่า 1,000 เหรียญ – ติดตามได้แทบทุกเหรียญในตลาด
- Market Pairs – ดูคู่เทรดได้หลากหลาย (USDT, BTC, ETH)
- แจ้งเตือนราคา – ตั้งการแจ้งเตือนเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนดได้
- ข่าวล่าสุด – อัพเดตข่าวสารและกิจกรรมของแต่ละเหรียญ
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนคริปโต
วิธีสร้าง Watchlist ที่มีประสิทธิภาพ
เลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมยังไง?
- กำหนดเกณฑ์คัดเลือกตามกลยุทธ์ (Value, Growth, เทคนิคอล, Forex)
- เลือกตามสภาพคล่อง – สินทรัพย์ที่มีปริมาณซื้อขายสูงพอที่จะเข้า-ออกได้ง่าย
- พิจารณาความผันผวนที่เหมาะกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- มองหาสินทรัพย์ที่กำลังมีแนวโน้มเข้าสู่จุดสำคัญทางเทคนิค
- ใช้ Stock Screener คัดกรองตามเกณฑ์ที่คุณกำหนด
- พิจารณา Relative Strength เทียบกับตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม
ใช้ Indicator อะไรร่วมกับได้บ้าง?
- Moving Averages (MA) – เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยระบุแนวโน้มตลาด โดยเฉพาะ MA 50 และ MA 200 ที่เมื่อตัดกันจะเกิด Golden Cross (ขาขึ้น) หรือ Death Cross (ขาลง)
- Relative Strength Index (RSI) – บ่งชี้ว่าราคาอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (>70) หรือขายมากเกินไป (<30) ช่วยให้เห็นจุดที่ราคาอาจกลับตัว
- MACD (Moving Average Convergence Divergence) – แสดงความแข็งแกร่งของโมเมนตัม โดยเฉพาะจุดตัดของเส้น MACD กับ Signal Line ช่วยยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม
- Bollinger Bands – แสดงความผันผวนของราคา เมื่อราคาทะลุออกนอกแถบบนหรือล่าง มักบ่งชี้ถึงภาวะซื้อ/ขายมากเกินไป และโอกาสในการกลับตัว
- Volume – ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวยืนยันแนวโน้ม โดยปริมาณควรสอดคล้องกับทิศทางราคา (ปริมาณสูงขณะราคาขึ้น = แนวโน้มขาขึ้นแข็งแกร่ง)
การอัปเดต Watchlist ควรทำบ่อยแค่ไหน?
- ตามกลยุทธ์การลงทุน: ระยะยาว (ทุก 1-3 เดือน), Swing Trading (ทุกสัปดาห์), Day Trading (ทุกวัน)
- หลังเหตุการณ์สำคัญ: อัปเดตทันทีหลังประกาศผลประกอบการ, นโยบายการเงิน หรือเมื่อตลาดผันผวนรุนแรง
- คงจำนวนที่เหมาะสม: เพิ่มสินทรัพย์ใหม่ที่มีศักยภาพ พร้อมตัดสินทรัพย์ที่หมดโอกาสออก รักษาจำนวนให้จัดการได้
- ตรวจสอบที่สม่ำเสมอ: ใช้เวลาสั้นๆ (5-10 นาที) ทุกวันเพื่อดูความเคลื่อนไหวผิดปกติ สำหรับการปรับเปลี่ยนเร่งด่วน
- ทบทวนประสิทธิภาพ: วิเคราะห์เดือนละครั้งว่า Watchlist ของคุณช่วยระบุโอกาสได้ดีแค่ไหน และปรับปรุงหากจำเป็น
วิธีใช้ Watchlist ให้ได้ผลจริง
จัดกลุ่มสินทรัพย์ยังไงให้ดูง่ายๆ?
1. แบ่งตามกลยุทธ์การลงทุน
- กลุ่ม Growth – หุ้นที่มีการเติบโตสูง เช่น เทคโนโลยี
- กลุ่ม Value – หุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐาน มี P/E, P/B ต่ำ
- กลุ่ม Dividend – หุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงและสม่ำเสมอ
- กลุ่ม Speculation – หุ้นที่มีความเสี่ยงสูงแต่โอกาสกำไรมาก
2. แบ่งตามระยะเวลาการลงทุน
- กลุ่มระยะสั้น (1-3 วัน) – สินทรัพย์ที่ต้องติดตามเกือบตลอดเวลา
- กลุ่มระยะกลาง (1-4 สัปดาห์) – สินทรัพย์ที่อยู่ในแนวโน้มชัดเจน
- กลุ่มระยะยาว (เดือน-ปี) – สินทรัพย์ที่มีพื้นฐานและศักยภาพระยะยาวดี
3. แบ่งตามสถานะทางเทคนิค
- กลุ่ม Setup – สินทรัพย์ที่กำลังรอจังหวะเข้าซื้อ
- กลุ่ม Active – สินทรัพย์ที่คุณถือครองอยู่ ต้องติดตามใกล้ชิด
- กลุ่ม Caution – สินทรัพย์ที่มีสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มอาจเปลี่ยน
- กลุ่ม Recovery – สินทรัพย์ที่ปรับตัวลงแรงและรอจังหวะฟื้นตัว
ตั้ง Alert แจ้งเตือนราคายังไงให้ไม่พลาดโอกาส?
ประเภท Alert ที่ควรตั้ง
- Price Alert: แจ้งเตือนเมื่อราคาถึงระดับแนวรับ/แนวต้าน, จุดซื้อ/ขายตามแผน หรือเมื่อราคาเปลี่ยนแปลงเกินเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด
- Technical Indicator Alert: แจ้งเตือนเมื่อ Indicator ให้สัญญาณ เช่น Golden Cross, RSI เข้าโซนซื้อ/ขายมากเกินไป หรือราคาทะลุ Bollinger Bands
- Volume Alert: แจ้งเตือนเมื่อปริมาณการซื้อขายผิดปกติ (สูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย)
- News Alert: แจ้งเตือนเมื่อมีข่าวสำคัญเกี่ยวกับสินทรัพย์ เช่น ประกาศงบ หรือเงินปันผล
กลยุทธ์การตั้ง Alert ขั้นสูง
- Alert หลายชั้น: ตั้งหลายระดับราคา เช่น 105, 102, 100 และ 98 บาท เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวเป็นลำดับ
- Confluence Alerts: รวมหลายเงื่อนไขเข้าด้วยกัน เช่น “ราคาทะลุ SMA 50 + RSI > 50 + ปริมาณซื้อขายสูง”
- เงื่อนไขเวลา: เช่น “ราคาต้องอยู่เหนือแนวต้าน 30 นาที” เพื่อกรองสัญญาณหลอก
- Alert แบบปรับตัว: เช่น “แจ้งเตือนเมื่อราคาลด 2% จากจุดสูงสุดวันนี้” แทนราคาคงที่
การจัดการ Alert อย่างมีประสิทธิภาพ
- จำกัดจำนวน: ไม่เกิน 5-7 Alert ต่อสินทรัพย์ เพื่อป้องกัน “Alert Fatigue”
- จัดลำดับความสำคัญ: แบ่งเป็นความสำคัญสูง (ต้องตอบสนองทันที) ปานกลาง และต่ำ
- ทบทวนและปรับเป็นประจำ: ลบ Alert ที่หมดความสำคัญและปรับระดับตามสภาวะตลาด
เทคนิคที่ควรใช้
- มองภาพรวมก่อนรายละเอียด – ดูแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อนวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัว
- จับคู่เปรียบเทียบ – จัดกลุ่มสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกันเพื่อหาความผิดปกติที่เป็นโอกาส
- วางแผนล่วงหน้า – ใส่วันประกาศงบและเหตุการณ์สำคัญลงในปฏิทิน
- บันทึกเหตุผล – จดว่าทำไมคุณเพิ่มแต่ละสินทรัพย์และราคาเป้าหมาย
ข้อควรระวัง
- อคติยืนยัน – มองเฉพาะข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อเดิม
- ข้อมูลล้น – ติดตามมากเกินไปทำให้ตัดสินใจยาก
- อคติจากข้อมูลล่าสุด – ให้น้ำหนักกับเหตุการณ์ล่าสุดมากเกินควร
- กับดักต้นทุนจม – ยึดติดกับสินทรัพย์ที่วิเคราะห์มามาก
- ไม่ยอมปรับตัว – ใช้วิธีเดิมแม้สภาพตลาดเปลี่ยนแปลง
คลิปที่น่าสนใจ
ตัวอย่างการสร้าง Watchlist โดยใช้ Google Sheet ดึงข้อมูลจาก Google Finance มาแสดงผล และสำหรับใครที่ watchlist ใน TradingView ใส่ได้แค่ 30 รายการ (ตัวฟรี) แนะนำให้ดูคลิปนี้เลย🥰
สรุป ใช้ WatchList ยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- จัดกลุ่มสินทรัพย์อย่างเป็นระบบ (ตามกลยุทธ์, ระยะเวลา, อุตสาหกรรม)
- จำกัดจำนวนสินทรัพย์ให้พอเหมาะ (15-30 รายการต่อ Watchlist)
- ตั้ง Alert หลายระดับและหลายเงื่อนไข เพื่อกรองสัญญาณหลอก
- อัพเดตตามความถี่ที่เหมาะกับรูปแบบการลงทุน (ระยะยาว: 1-3 เดือน, Swing: สัปดาห์, Day Trade: ทุกวัน)
- อัพเดตเพิ่มเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ (ประกาศงบ, นโยบายการเงิน)
- มองภาพรวมก่อนวิเคราะห์รายตัว เพื่อเห็นแนวโน้มอุตสาหกรรม
- เปรียบเทียบสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อหาความผิดปกติที่เป็นโอกาส
- บันทึกเหตุผลการเพิ่มสินทรัพย์และราคาเป้าหมาย
FAQ – ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Win Rate
Watchlist แบบไหนที่จะช่วยให้เราจับจังหวะทำกำไรในตลาด Forex ได้อย่างแม่นยำ?
- เกณฑ์เข้มไป เช่น ตั้งเงื่อนไขเข้า Buy ว่า “ราคาต้องตัดขึ้นเหนือ EMA 20 + MACD ต้องตัดเส้น Signal ขึ้น + RSI ต้อง > 50” ซึ่งบางช่วงตลาดที่ผันผวนน้อย อาจไม่มีคู่เงินไหนเข้าเงื่อนไขเป๊ะๆ พร้อมกันหมด
- เลือกสินทรัพย์ผิด เช่น คุณใช้กลยุทธ์ “Breakout ตาม Trend แรงๆ” แต่ใน Watchlist มีแต่คู่เงินที่ขึ้นชื่อว่าวิ่งช้าๆ หรือ Sideways บ่อยๆ อย่าง EUR/CHF หรือ AUD/NZD มันก็ไม่ค่อยเกิดขึ้น
- ตลาดเปลี่ยน เช่น กลยุทธ์ Buy on Dip เคยใช้ดีมากตอนตลาดเป็นขาขึ้นชัดเจน แต่ตอนนี้ตลาดผันผวนหนัก วิ่ง Sideways ฟันปลา กลยุทธ์เดิม ๆ เลยไม่เกิดสัญญาณซื้อสวยๆเลย