แนวคิด Catching Falling Knives คืออะไร

  • Catching falling knives คือการพยายามซื้อสินทรัพย์ที่ราคากำลังร่วงอย่างรวดเร็ว ในความหวังว่าจะได้ราคาถูกสุดก่อนที่จะฟื้นตัว
  • เปรียบเสมือนการรับมีดที่ตกลงมา ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนบาดถ้าไม่แม่นยำและใจเย็นพอ
  • หลายครั้งการจับมีดนี้จะเกิดขึ้นในช่วงตลาดผันผวนสูง หรือเกิดเหตุการณ์ข่าวที่ทำให้ราคาตกแบบฉับพลัน เช่น ข่าวNFP (Non-Farm Payrolls) 
  • กลยุทธ์นี้ต้องการการวิเคราะห์และจังหวะที่ดีมาก เพราะถ้าซื้อเร็วเกินไป ราคายังไม่ถึงจุดต่ำสุด อาจขาดทุนหนักได้
  • ในทางกลับกัน หากจับถูกจังหวะ ก็จะได้กำไรจากราคาที่ถูกกว่าค่าปกติ

ภาพแสดงความหมายของการรับมีด ที่พยายามซื้อสินทรัพย์เมื่อราคาตกลงอย่างรวดเร็ว ในตัวอย่างมีการเข้าซื้อขณะที่ทองคำกำลังร่วงลง เพื่อหวังให้ได้ราคาที่สวยก่อนกราฟจะทำ Price Action เป็นฝั่ง Buy

เหตุใดการ Catching Falling Knives ถึงเป็นเรื่องที่นักเทรดต้องคิดให้รอบคอบ

  • การรับมีดเป็นการเสี่ยงสูง เพราะ ตลาดอาจยังไม่หยุดร่วง ราคาสามารถดิ่งต่อเนื่องได้อีกนาน
  • หากไม่มีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี จะทำให้ขาดทุนหนักและเสียโอกาสในการเทรดจังหวะอื่นที่มั่นคงกว่า
  • การซื้อในช่วงนี้ ต้องเข้าใจว่าคือการเก็งกำไรระยะสั้นที่อาศัยความแม่นยำและวินัยเทรด
  • ความโลภและความหวาดกลัวมักทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เช่น ซื้อเพราะเห็นราคาถูกแต่ไม่วางแผนรับมือการตกต่อ เพราะอีกใจก็กลัวการ ตกรถหรือ FOMO
  • ดังนั้นการคิดอย่างรอบคอบและมีแผนรับความเสี่ยงชัดเจน คือสิ่งจำเป็นที่สุดในการใช้กลยุทธ์นี้

จิตวิทยาของตลาดกับช่วงเวลาที่ราคาร่วงแรง

  • ช่วงราคาตกแรงมักเกิดจากอารมณ์นักลงทุนที่กลัวและขายออกมาอย่างรวดเร็ว
  • ข่าวร้ายหรือข้อมูลลบจะยิ่งเร่งแรงกดดันขาย ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว จนลงไปถึงจุด Stop Out ได้ 
  • ความกลัวนี้ส่งผลให้เกิด “panic selling” ที่อาจทำให้ราคาต่ำกว่าค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์
  • นักเทรดที่เข้าใจจิตวิทยาตลาดจะรู้ว่าราคาที่ตกแรงมากเกินไป บางครั้งเป็นโอกาสทองถ้ามองเห็นสัญญาณกลับตัว
  • แต่ต้องไม่ลืมว่าความกลัวยังคงเป็นแรงกดดันที่อาจทำให้ราคาตกต่อเนื่อง จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน

ภาพแสดงถึงความกลัวตกรถของนักเทรดหลายคน ที่กลัวพลาดโอกาสทอง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด แน่นอนเลยว่า หาก Sell ตามลงไปแล้วกราฟกลับไม่ลงไปตาม งานนี้บอกเลยว่า ไม่มีวินัย และ มีเทรดเดอร์หลายคนก็ทำเช่นนี้

ความแตกต่างระหว่างการซื้อของถูกกับการ Catching Falling Knives

  • การซื้อของถูกคือการรอจนราคาลงมาถึงระดับที่มั่นใจว่าคุ้มค่าและปลอดภัยต่อการลงทุน
  • Catching falling knives คือการซื้อในขณะที่ราคายังคงตกอย่างรวดเร็ว โดยหวังจะได้ราคาต่ำสุดก่อนฟื้นตัว
  • การซื้อของถูกมักใช้เวลารอและวิเคราะห์ข้อมูลในระยะยาว ส่วน Catching falling knives มักเน้นจังหวะระยะสั้นที่รวดเร็ว
  • หากไม่มีความเข้าใจและวินัยเพียงพอ การจับมีดจะกลายเป็นการขาดทุนหนัก หรือ ที่เรียกว่า Overtrade 
  • ดังนั้น Catching falling knives ต้องใช้ความรู้และเทคนิคที่เหนือชั้นกว่า การดักรอซื้อของถูกทั่วไป

สัญญาณที่บ่งบอกว่า “มีด” ใกล้จะหยุดตกแล้ว

  • ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญพร้อมกับราคาที่หยุดดิ่งลง
  • สัญญาณแท่งเทียน กลับตัว เช่น Hammer หรือ Doji ที่เกิดในช่วงราคาตกแรง
  • การทดสอบแนวรับที่สำคัญซ้ำหลายครั้งโดยราคายังไม่หลุดแนวรับนั้น
  • การปรับลดความเร็วของการตกลงอย่างต่อเนื่องจนเริ่มแบนราบ
  • สัญญาณจากเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น RSI ที่เข้าโซน oversold หรือ divergence ที่ชี้ว่าการตกกำลังอ่อนแรง

เมื่อกราฟเกิด Hammer แล้ว หรือ Doji แล้ว เป็น Price Action ที่บอกถึงว่า “ฉันจะไม่ลงไปต่อแล้วนะ เตรียมขึ้นแล้วล่ะ” ใช่แล้ว มันคือสัญญาณที่บอกว่า มีดจะหยุดตกแล้ว เตรียมตัวเปลี่ยนฝั่งเล่น

เทคนิควิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อจับจังหวะ Catching Falling Knives

  • ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เพื่อดูแนวโน้มระยะสั้นและระยะกลาง
  • การใช้ RSI หรือ Stochastic oscillator เพื่อตรวจจับภาวะ oversold ที่อาจชี้ว่าราคาจะเด้งขึ้น
  • มองหา divergence ระหว่างราคากับ indicator เพื่อบ่งบอกว่าการตกอาจใกล้สิ้นสุด
  • ใช้ Fibonacci retracement เพื่อหาจุดกลับตัวที่เหมาะสม
  • วิเคราะห์แท่งเทียนเพื่อยืนยันสัญญาณ reversal ก่อนเข้าซื้อ
  • การตั้ง stop loss ในจุดที่ถ้าแตกแสดงว่าจังหวะจับมีดพลาด เพื่อจำกัดความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงเมื่อเลือกเข้าซื้อในจังหวะที่ตลาดร่วง

  • กำหนดขนาดการลงทุนให้อยู่ในระดับที่รับความเสี่ยงได้ ไม่ควรใส่หมดหน้าตัก
  • ตั้ง stop loss อย่างชัดเจน ไม่ปล่อยให้ขาดทุนลึกเกินไป
  • ใช้การแบ่งล็อตซื้อเข้าหลายจังหวะ (scaling in) เพื่อลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะผิด
  • วางแผนรับมือในกรณีราคายังตกต่อ เช่น เตรียมเงินทุนสำรอง หรือวาง exit plan ชัดเจน
  • อย่าปล่อยให้อารมณ์หรือความโลภมาครอบงำการตัดสินใจ
  • ต้องมีแผนจัดการเงินทุนอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้ขาดทุนครั้งเดียวกระทบพอร์ตมากเกินไป

หากได้จุดรับมีด หรือ จุดเข้า Buy/Sell สวยๆ ก็อย่าลืมวาง SL หน้าทุนเพื่อความปลอดภัยด้วย เพราะราคาอาจจะกลับตัวลงมาได้ตามเทคนิค อย่างไรก็ตามใครที่วางแผนเอาไว้แล้วก็กำหนดได้ตามกลยุทธ์ของตนเอง

กรณีศึกษาจริงของการ Catching Falling Knives ที่ได้ผล

  • เหตุการณ์ราคาน้ำมันร่วงหนักในปีที่ผ่านมา ที่เทรดเดอร์บางกลุ่มจับจังหวะซื้อหลังราคาตกลงมาอย่างรวดเร็วและได้กำไรจากการฟื้นตัว
  • หุ้น CFDs ใน ตลาด Forex ที่ได้รับผลกระทบจากข่าวลบชั่วคราว แต่หลังจากนั้นราคากลับฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
  • การใช้เครื่องมือ technical และการวางแผนความเสี่ยงช่วยให้เทรดเดอร์เหล่านี้รับมือได้แม้ตลาดมีความผันผวนสูง
  • การเรียนรู้จากกรณีศึกษานี้ช่วยให้เข้าใจว่าการจับมีดต้องการการเตรียมตัวทั้งเรื่องจิตใจและเทคนิคการวิเคราะห์

ตัวอย่างที่ 1 : กรณีศึกษาน้ำมันดิบ WTI ร่วงหนักปี 2020

  • ปี 2020 เป็นปีที่ตลาดน้ำมันดิบโลกประสบปัญหารุนแรงจากเหตุการณ์ COVID-19 ทำให้ความต้องการน้ำมันลดลงมาก
  • ในเดือนเมษายน ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงอย่างรุนแรงจนแตะระดับติดลบครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เนื่องจากปัญหาพื้นที่จัดเก็บน้ำมันเต็มและความกลัวในตลาดสูงมาก
  • ช่วงเวลานั้นตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน แต่มีเทรดเดอร์จำนวนหนึ่งเลือกใช้ กลยุทธ์ Catching Falling Knives เพื่อซื้อในราคาที่ดูถูกมาก
  • การจับจังหวะถูกหมายถึง การรอจนราคาลงไปถึงจุดที่ตลาดเริ่มมีแรงซื้อกลับ และราคาหยุดตก เช่น เห็นสัญญาณแท่งเทียน reversal หรือ divergence ใน RSI ที่ชี้ว่าภาวะ oversold รุนแรง
  • นักลงทุนที่บริหารความเสี่ยงดี และเข้าใจจังหวะนี้ สามารถเข้าซื้อในช่วงราคาต่ำสุดและทำกำไรเมื่อราคาฟื้นตัวกลับมาในเวลาต่อมา
  • ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนที่รีบร้อนหรือจับมีดเร็วเกินไปก่อนสัญญาณชัดเจนอาจต้องเผชิญกับการขาดทุน เพราะราคายังสามารถดิ่งลงไปอีก
  • บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้คือ การจับมีดต้องใช้ความอดทน และต้องมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยยืนยันจุดกลับตัว พร้อมแผนบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
  • เหตุการณ์นี้ยังแสดงให้เห็นว่าตลาดสามารถเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและไม่มีทิศทางชัดเจนชั่วคราว จึงต้องระวังการเข้าเทรดในช่วงวิกฤติเหล่านี้

ภาพแสดงถึงข่าวเมื่อปี 2020 ที่ราคาน้ำมันโลกร่วงอย่างรุนแรง ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หากใครที่ซื้อในช่วงถูก ก็สามารถขายได้ในช่วงราคาสูง หรือ กลับมาเป็นปกติ

ตัวอย่างที่ 2 : กรณีศึกษาคู่เงิน USD/JPY ช่วงข่าวเศรษฐกิจรุนแรง

  • ในช่วงเวลาที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ เช่น รายงานตัวเลข GDP, การประชุมธนาคารกลาง หรือเหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรง ค่าเงินมักเกิดความผันผวนสูงมาก
  • คู่เงิน USD/JPY เป็นหนึ่งในคู่เงินที่ได้รับผลกระทบแรง เพราะเป็น สกุลเงิน ที่มีสภาพคล่องสูงและมักถูกใช้เป็น safe haven ในช่วงความไม่แน่นอน
  • เมื่อข่าวลบทำให้ค่าเงิน JPY แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาของ USD/JPY จะร่วงอย่างรวดเร็วในกรอบเวลาสั้น
  • เทรดเดอร์ที่ใช้ กลยุทธ์ Catching Falling Knives จะรอจังหวะที่ราคาถึงภาวะ oversold โดยใช้ RSI หรือ Stochastic oscillator ช่วยยืนยัน
  • การจับมีดในคู่ USD/JPY ต้องใช้การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายระดับ เช่น ดูกราฟรายวันเพื่อดูเทรนด์หลัก และกราฟรายชั่วโมงเพื่อหาจังหวะเข้าซื้อ
  • เมื่อสัญญาณ reversal ชัดเจน เช่น แท่งเทียน Hammer หรือ bullish engulfing เทรดเดอร์จะเข้าสู่ตำแหน่งซื้อ
  • ข้อควรระวังคือ ถ้าจับมีดเร็วเกินไปก่อนมีสัญญาณยืนยัน อาจเจอแรงขายต่อเนื่องและขาดทุนได้
  • การตั้ง stop loss ใกล้กับจุดต่ำสุดของแท่งเทียน reversal ช่วยจำกัดความเสี่ยงในกรณีตลาดไม่ฟื้นตัวตามคาด
  • ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการจับมีดในตลาด Forex ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางเทคนิคและการเข้าใจจิตวิทยาตลาดอย่างลึกซึ้ง

เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยงการรับมีดในตลาด Forex

  • เมื่อตลาดไม่มีสัญญาณฟื้นตัวหรือทิศทางยังเป็นขาลงชัดเจน
  • เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนสูง เช่น ข่าวลบรุนแรงหรือวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ยังไม่จบ
  • ไม่มีระบบบริหารความเสี่ยงหรือเงินทุนไม่เพียงพอรองรับความผันผวน
  • เมื่อราคาลงมาแบบไม่มีแรงซื้อสนับสนุนเลย หรือไม่มีสัญญาณ reversal ที่ชัดเจน
  • หากจิตใจยังไม่พร้อมรับความเสี่ยงหรือมีความกังวลมากเกินไป อาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด

ภาพแสดงถึงข้อสำคัญในการหลีกเลี่ยง เมื่อจะเทรดแบบการรับมีด บอกเลยว่า หากจิตใจยังไม่พร้อมที่จะลุย ก็เหมือนกับการเอาเงินไปทิ้งฟรี ๆ แบบไม่มีแผน

คลิปที่น่าสนใจ 

คลิปนี้อธิบายถึงข้อดีของการมีแนวคิด Catching falling knives  กับ คลิปจากช่อง @Pigeoninvestment  ในหัวข้อ “ทําไมการจับมีดที่ตกลงมาในตลาดหุ้นนี้จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

สรุป

Catching falling knives คือกลยุทธ์ที่เสี่ยงสูง แต่ถ้าจับจังหวะได้ถูกต้อง กำไรก็จะสูงตามไปด้วย สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจจิตวิทยาตลาดให้ดี และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยตัดสินใจ เพราะถ้าเข้าผิดจังหวะ อาจเจ็บตัวหนักได้เลย การจัดการความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญ ห้ามโลภหรือรีบร้อนเกินไป ต้องตั้งใจวางแผนและควบคุมตัวเองให้ดี นอกจากนี้ การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจะช่วยให้ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสไตล์การเทรดของแต่ละคนได้ดีขึ้น การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและมีวินัยจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสำเร็จใน ตลาด Forex ได้จริง

อ้างอิง: 

FAQ — จับจังหวะรับมีด Catching Falling Knives ใน Forex

ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของผลตอบแทน และความเสี่ยงที่รับได้ เพราะเป็นคนละสไตล์กัน การรับมีด (Catching Knives) ให้ “Reward” ที่สูงกว่ามากเพราะจะได้ราคาที่ดีที่สุด แต่ก็มาพร้อม “Risk” ที่สูงกว่าเช่นกันเพราะกำลังสวนเทรนด์ ส่วนการซื้อตอน Breakout ให้ “ความแน่นอน” ที่สูงกว่าเพราะเป็นการซื้อตามเทรนด์ที่กำลังก่อตัว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการ “จ่ายแพงกว่า” ซึ่งถ้าหวังให้อยู่รอดได้ในระยะยาว ก็ไม่ควรเดาว่าราคาจะหยุดตรงไหน ถ้าจะรับมีด ต้องมีแผนรองรับทั้ง Stop-loss และการ Scale-in

หลักการที่นิยมใช้กันคือ “ยิ่งราคาลงลึก ไม้ต่อไป..ยิ่งต้องใหญ่ขึ้น” เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ต้องออกแบบให้ระยะห่างของแต่ละไม้ สัมพันธ์กับความผันผวนของสินทรัพย์นั้นๆ โดยใช้ระดับ Fibonacci Retracement หรือ กล่องเส้นนอน หรือ แนวรับ-แนวต้านย่อยๆ เป็นเกณฑ์ในการวางแผนได้ สิ่งสำคัญคือต้องคำนวณไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าโดนทุกไม้แล้วลากไปถึง Stop Loss เราจะเสียเงินเท่าไหร่? และเป็นจำนวนที่ยอมรับได้มั้ย?

เพราะหนังสือส่วนใหญ่เขียนไว้ขายให้คนหมู่มาก และสถิติมันชัดเจนอยู่แล้วว่า เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่มีวินัยพอที่จะ Cut Loss ได้ตามแผน ส่วนใหญ่จะเทรดด้วยความโลภ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มีดเล่มนี้ตกจากชั้น2 หรือ ชั้น20 แต่มโนไปแล้วว่าไม้นี้ต้องชนะ พอราคาลงต่อก็กลายเป็นความกลัว และสุดท้ายก็ปล่อยให้ขาดทุนจนล้างพอร์ต การสอนให้อย่ารับมีด เลยเป็นคำแนะนำที่ปลอดภัยที่สุด ทั้งสำหรับคนเขียนและคนเทรด กลยุทธ์นี้เลยเหมาะแค่กับคนที่มีประสบการณ์ ที่มีวินัยเหล็กจ๋าๆเท่านั้น 

Volume คือปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้น แปลว่า มันมีทั้งคนขายและคนซื้อในเวลาเดียวกันครับ การที่ Volume พุ่งขึ้นแบบมีนัยยะสำคัญ ในช่วงที่ราคาตกต่ำสุดขีด จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Capitulation หรือการ cut loss ของคนอมทุกข์ที่สิ้นหวังแล้วทุกอย่างเลยยอมตัดใจขาย แล้วเมื่อแรงขายถูกสาดออกมาจนหมด ก็จะมีแรงซื้อขนาดใหญ่ยักษ์จาก smart money ที่รอจังหวะนี้อยู่ เข้ามารับซื้อไว้ทุกราคา จนเกิดการเปลี่ยนมือครั้งสำคัญ ดังนั้นเมื่อเราเห็นว่ามีแรงซื้อเริ่มเข้ามา ก็เป็นสัญญาณเตรียมพร้อม ซึ่งมืออาชีพจะเริ่มสะสมในช่วงนี้ ไม่ใช่ก่อนหน้านี้

แนวคิดเหมือนกัน แต่ความเสี่ยงในตลาด Forex สูงกว่ามาก เพราะ Forex ให้เลเวอเรจสูง ทำให้ความผันผวนรุนแรงกว่า รับมีดพลาดแค่เล่มเดียวคือหมดพอร์ตได้เลย ที่สำคัญหุ้นยังมีมูลค่าของกิจการเป็นพื้นฐาน ทำให้มีโอกาส Dead Cat Bounce (ศพกระตุก) ที่สูงกว่า ถ้าราคาไหลลึกเกินพื้นฐานไปมาก ๆ แต่ค่าเงินมีปัจจัย macroeconomics ที่ซับซ้อน หลากหลาย และคาดเดาได้ยากกว่ามาก

 

เขียนโดย

Rattapoom Jitjaroen

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon