Keltner Channels Indicator คืออะไร

  • เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Channel ที่สร้างขึ้นจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ EMA (Exponential Moving Average)
  • เส้นบนและล่างของ Channel คำนวณจากค่า ATR (Average True Range) โดยขยายจาก EMA ขึ้นหรือลง
  • ช่วยบอกถึงความผันผวนของราคา และแนวโน้มในช่วงเวลานั้น
  • ใช้ในการดูแรงส่งของตลาด (momentum) และหาจุดกลับตัว หรือจุดเบรกเอาท์

องค์ประกอบสำคัญของ Keltner Channels

  • Middle Line (EMA)
    • คือเส้นค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เช่น 20-period EMA
  • Upper Channel
    • คือเส้น EMA บวกด้วยค่าของ ATR คูณด้วย factor (เช่น 2 เท่า)
  • Lower Channel
    • คือเส้น EMA ลบด้วยค่า ATR คูณด้วย factor
  • ค่า ATR
    • วัดความผันผวนของราคา ช่วยให้ช่อง Keltner กว้างขึ้นเมื่อตลาดผันผวน และแคบลงเมื่อเคลื่อนไหวแคบ

Keltner Channels บอกอะไรเกี่ยวกับแนวโน้มราคา

  • ถ้าราคาเคลื่อนตัวเหนือ Upper Channel ต่อเนื่อง แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง
  • ถ้าราคาอยู่ต่ำกว่า Lower Channel และไม่สามารถกลับเข้าไปในกลาง Channel ได้ บ่งบอกแนวโน้มขาลง
  • ถ้าราคาแกว่งอยู่ในกรอบ Channel โดยไม่ทะลุไปด้านใดด้านหนึ่ง แสดงถึงช่วงตลาด Sideway
  • เส้นกลางของ Keltner ทำหน้าที่คล้ายแนวรับแนวต้านในช่วงที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน

ภาพแสดงถึง Indicators Keltner Channels บน Platform MT 5 โดยระบุเส้น Upper/Middle/Lower เอาไว้แล้ว

วิธีตั้งค่า Keltner Channels บนแพลตฟอร์มเทรด

  • เปิดแพลตฟอร์มเทรด เช่น MetaTrader 4, TradingView หรือ cTrader
  • ค้นหา “Keltner Channels” ในส่วนของ Indicator
  • ตั้งค่าพารามิเตอร์หลัก เช่น
    • EMA Period: ค่าเริ่มต้นนิยมใช้ 20
    • ATR Period: ใช้ค่า 10 หรือ 14
    • Multiplier (ค่าคูณ ATR): นิยมใช้ 1.5 ถึง 2.5
  • ทดสอบกับกราฟ timeframe ต่าง ๆ เช่น H1, H4 หรือ Daily เพื่อดูพฤติกรรม

กลยุทธ์การใช้งาน Keltner Channels ในการวิเคราะห์กราฟ

  • เทรดตามเทรนด์ (Trend Following)
    • เข้าออเดอร์เมื่อราคาทะลุ Upper Channel พร้อมกับแท่งเทียนแรง
    • ใช้เส้นกลางเป็นจุดวาง SL หรือจุดรีบเข้าเพิ่ม
  • เทรดกลับตัว (Reversal Trading)
    • เมื่อราคาทะลุ Channel แล้วกลับเข้ามาในกรอบอย่างเร็ว ให้มองหาสัญญาณกลับตัว
    • ร่วมกับแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar หรือ Engulfing
  • Breakout Strategy
    • รอให้ราคาบีบตัวในช่วง Channel แคบ ๆ แล้วทะลุออกไปอย่างชัดเจน
    • ช่วงนี้มักเกิดการเบรกจาก Sideway ไปสู่แนวโน้มใหม่
  • ใช้ร่วมกับ Indicator อื่น
    • MACD หรือ RSI ช่วยกรองเทรนด์ปลอม หรือหาจุด divergence
    • Volume Indicator ใช้ดูแรงส่งของการทะลุ Channel

ภาพแสดงถึง Indicators Keltner Channels บน Platform MT 5 โดยมีการใช้ร่วมกับ Bolinger Bands

ตัวอย่างการตั้งค่ากลยุทธ์ด้วย Keltner Channels อย่างละเอียด

1. กลยุทธ์เทรดตามเทรนด์ (Trend Following Strategy)

เหมาะกับ: ตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เช่นเทรนด์ขึ้นหรือลงต่อเนื่อง
Timeframe แนะนำ: H1, H4 หรือ Daily
การตั้งค่าอินดิเคเตอร์:

  • EMA Period = 20
  • ATR Period = 10
  • Multiplier = 2

วิธีการเทรด:

  • รอให้ราคาทะลุ Upper Channel พร้อมแท่งเทียนเต็มแท่ง (ไม่มีไส้เทียนยาว)
  • รอให้แท่งถัดไปเปิดเหนือ Upper Channel เพื่อยืนยันว่าเป็น Breakout จริง
  • เข้า Buy ที่แท่งเปิดใหม่หลังทะลุ
  • วาง Stop Loss ใต้เส้น EMA (เส้นกลาง) หรือใต้แท่งก่อนหน้า
  • วาง Take Profit ด้วยวิธี
    • ใช้ Risk:Reward 1:2 หรือ
    • ปิดเมื่อเกิดแท่งเทียนกลับตัว หรือราคาเริ่มกลับเข้า Channel

ตัวช่วย:

  • ใช้ MACD ดูว่าเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal หรือไม่
  • ใช้ RSI ประกอบ ถ้าอยู่เหนือระดับ 50 ยืนยันเทรนด์ขาขึ้น

2. กลยุทธ์เทรดกลับตัว (Reversal Strategy)

เหมาะกับ: ตลาดที่ราคาเบี่ยงออกจาก Channel แล้วกลับเข้ากรอบ
Timeframe แนะนำ: M15, H1, H4
การตั้งค่าอินดิเคเตอร์:

  • EMA Period = 20
  • ATR Period = 10
  • Multiplier = 1.5 (แคบลงเพื่อให้จับการเบี่ยงตัวง่ายขึ้น)

วิธีการเทรด:

  • รอให้ราคาทะลุ Lower Channel ลงมา
  • สังเกตแท่งเทียนกลับตัว เช่น Doji, Hammer, หรือ Engulfing กลับเข้ามาในกรอบ Channel
  • รอแท่งถัดไปปิดในกรอบเพื่อยืนยันการกลับตัว
  • เข้า Buy ทันทีเมื่อแท่งถัดไปเปิดเหนือ Lower Channel
  • SL วางใต้ Low ของแท่งเทียนกลับตัว
  • TP ตั้งไว้ที่เส้นกลาง (EMA) หรือเส้น Upper Channel

ตัวช่วย:

  • ใช้ RSI ถ้าต่ำกว่า 30 แล้วมีการวกกลับ เป็นจุดซื้อที่ดี
  • Volume เพิ่มในช่วงกลับตัว ยืนยันแรงซื้อจริง

ภาพแสดงถึง Indicators Keltner Channels ที่ทำสัญญาณการ Sideway ของราคา

3. กลยุทธ์ Breakout จากภาวะบีบตัว (Squeeze Breakout Strategy)

เหมาะกับ: ช่วงราคาวิ่งแคบ ๆ และเตรียมจะ Break ไปด้านใดด้านหนึ่ง
Timeframe แนะนำ: H1, H4
การตั้งค่าอินดิเคเตอร์:

  • EMA Period = 20
  • ATR Period = 14
  • Multiplier = 1.5

วิธีการเทรด:

  • รอให้ Channel แคบลงเรื่อย ๆ บีบตัวจนแทบขนาน
  • สังเกตแท่งเทียนที่ทะลุ Channel อย่างแรง พร้อม Volume เพิ่ม
  • เข้าออเดอร์ตามทิศทางที่ทะลุ
  • Buy เมื่อทะลุ Upper Channel / Sell เมื่อทะลุ Lower Channel
  • SL วางใต้หรือเหนือแท่งที่ Breakout
  • TP ด้วย Risk:Reward 1:2 หรือปล่อยรันเทรนด์แล้วขยับ SL ตามเส้น EMA

ตัวช่วย:

  • ใช้ Bollinger Bands คู่กันเพื่อดูว่าช่วงบีบของ Keltner ตรงกับช่วงบีบของ Bollinger หรือไม่
  • ใช้ ADX ยืนยันแนวโน้ม ถ้า ADX มากกว่า 25 โอกาสที่จะเกิดเทรนด์จริงมีสูง

4. กลยุทธ์เทรดแบบผสมผสานกับ RSI (Keltner + RSI Strategy)

เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการตัวกรองสัญญาณที่มั่นใจมากขึ้น
Timeframe แนะนำ: M30, H1
การตั้งค่าอินดิเคเตอร์:

  • Keltner Channels:
    • EMA = 20
    • ATR = 10
    • Multiplier = 2
  • RSI:
    • Period = 14

วิธีการเทรด:

  • รอราคาแตะหรือทะลุ Upper Channel
  • ตรวจ RSI หากอยู่ในเขต Overbought (มากกว่า 70) และเริ่มหักหัวลง  เตรียม Short หรือ Sell
  • รอแท่งยืนยันกลับตัว เช่น Shooting Star หรือ Engulfing
  • เข้า Sell หลังแท่งยืนยัน
  • SL วางเหนือ High
  • TP ตั้งที่เส้นกลางหรือ Lower Channel

ตัวช่วย:

  • ใช้ Divergence RSI ประกอบเพื่อหาโซนกลับตัวลึก ๆ
  • สามารถใช้กับช่วงกราฟ Daily เพื่อเทรดแบบ Swing ได้

ภาพแสดงถึง Indicators Keltner Channels ที่ทำสัญญาณออกนอกเส้น แล้วบอกว่าเป็นเทรนด์ลงตามภาพพ แน่นอนเลยว่า รอบนี้ยังมีการบอกถึงสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม จากลงเป็นขึ้นด้วยนั่นเอง 

เปรียบเทียบ Keltner Channels กับ Bollinger Bands

  • Keltner ใช้ค่า EMA + ATR ส่วน Bollinger ใช้ค่า SMA + ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
  • Keltner ให้สัญญาณที่ “นิ่ง” กว่า และไม่ไวต่อความผันผวนแบบจู่โจมเท่า Bollinger
  • Bollinger Bands อาจบวมขึ้นแรงช่วงมีข่าว ทำให้เทรดเดอร์บางคนโดนหลอก
  • Keltner เหมาะกับสายเทรดตามแนวโน้ม ส่วน Bollinger เหมาะกับสายสวนเทรนด์หรือเล่น rebound

ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้ Keltner Channels

ข้อดี

  • ช่วยให้เห็นแนวโน้มแบบชัดเจน ไม่สับสนเหมือนอินดิเคเตอร์บางตัว
  • เหมาะกับกลยุทธ์หลากหลาย ทั้งเทรดตามเทรนด์ หรือสวนกลับ
  • ปรับใช้ได้กับทุก Timeframe และสินทรัพย์ เช่น Forex, หุ้น, Crypto

ข้อจำกัด

  • ไม่ใช่เครื่องมือที่บอกจุดกลับตัวแบบแม่นยำ 100%
  • ต้องใช้ร่วมกับการอ่านแท่งเทียน หรือ Indicator อื่นเพื่อกรองสัญญาณ
  • ช่วงตลาด Sideway ที่ราคาวิ่งในกรอบ อาจให้สัญญาณหลอกได้ง่าย

ตัวอย่างการเทรดจริงด้วย Keltner Channels

  • กราฟ EUR/USD TF H1
    • ราคาวิ่งทะลุ Upper Channel พร้อมแท่งเทียน bullish ใหญ่
    • EMA 20 ทำหน้าที่เป็นแนวรับอย่างดีตลอดแนวโน้ม
    • จุดเข้าอยู่ที่การทะลุพร้อม Volume เพิ่ม
    • SL วางไว้ใต้ EMA
    • ปิดกำไรเมื่อราคาเริ่มแสดง divergence กับ RSI
  • การเทรดกลับตัวจาก Lower Channel
    • GBP/JPY H4 หลุดต่ำกว่า Channel แล้วมีแท่ง Doji กลับเข้ากรอบ
    • รอแท่งยืนยันอีกแท่งก่อนเข้า
    • วาง SL ใต้ Low เดิม และ TP ที่เส้นกลางหรือ Upper Channel

คลิปที่น่าสนใจ

  • แน่นอนว่าช่วงท้ายเรามีคลิปวีดีโอดี ๆ ที่เข้าใจนักเทรดจากช่อง Lucid Trader  ที่อธิบายเกี่ยวกับ Keltner Channel คืออะไร วิธีการเทรด

สรุป

  • ใช้ Keltner Channels เพื่อดูแนวโน้มโดยรวม และแรงส่งของราคา
  • ตั้งค่าตามสไตล์การเทรด เช่นเทรดระยะสั้นอาจใช้ EMA ที่ไวขึ้น
  • อย่าใช้ตัวเดียวล้วน ๆ ให้เสริมด้วยการอ่านแท่งเทียนหรือ Indicator ช่วยยืนยัน
  • ฝึก Backtest ก่อนใช้จริง เพื่อให้รู้จังหวะและพฤติกรรมของอินดิเคเตอร์ ป้องกันการ Overtrade เพราะคิดว่ากราฟไปถูกทาง 
  • เหมาะสำหรับคนที่ชอบระบบไม่ซับซ้อน แต่ให้มุมมองตลาดได้ชัดเจน 

อ้างอิง

FAQ — เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์กราฟของคุณด้วย Keltner Channels Indicator

Bollinger Bands บอกความตกใจของตลาด แต่ Keltner Channels บอกทิศทางของแนวโน้ม เพราะ Bollinger Bands ใช้ค่า Standard Deviation มันจึงบวม หรือขยายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อราคาผันผวนรุนแรง เอาไว้ดูการระเบิดของราคา แต่ Keltner Channels ใช้ค่า ATR (Average True Range) ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของขนาดแท่งเทียน ทำให้กรอบของมันดูนุ่มนวล และสม่ำเสมอกว่า เอาไว้ดูว่า “ความเร็วในการเดินทางที่ยั่งยืน” ของเทรนด์นั้นอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่ใช่แค่การกระชากสั้นๆ
ให้เลิกคิดว่า “การทะลุครั้งแรกคือสัญญาณเข้า” แต่มองว่ามันเป็นแค่สัญญาณเตือน ที่ต้องรอการยืนยันก่อน 1 ใน วิธีการยืนยันที่ง่ายที่สุดคือ กฎของแท่งเทียนแท่งที่ 2 หลังจากแท่งแรกปิดนอกกรอบ Channel ได้ ให้รอดูแท่งที่ 2 ถ้ายังคงวิ่งไปในทิศทางเดิม นั่นคือสัญญาณจริง แต่ถ้ามันถูกตบกลับเข้ามาในกรอบทันที = กับดัก ถ้าจะให้ดี ควรดู Volume ประกอบด้วยครับ

ขึ้นอยู่กับ “พฤติกรรมของราคาหลังจากทะลุกรอบไปแล้ว”

  • เป็นสัญญาณ “ตามเทรนด์” (Continuation) — เมื่อราคาทะลุกรอบบน แล้วเดินไต่ไปตามเส้นกรอบบนเรื่อยๆ โดยไม่หลุดกลับเข้ามาง่ายๆ เหมือนราคาถูกเส้นดูดไว้
  • เป็นสัญญาณ “กลับตัว” (Reversal) — เมื่อราคาทะลุกรอบบนไปอย่างรุนแรง (เหมือนหนังยางที่ถูกดึงจนสุด) แล้วในแท่งถัดมากลับถูกเทขายอย่างหนัก จนกลับเข้ามาปิดข้างในกรอบอย่างรวดเร็ว + มีสัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่น (เช่น RSI Divergence) นั่นคือสัญญาณของความอ่อนแรง และมีโอกาสสูงที่จะกลับตัว
แนะนำ Volume Profile ที่ไม่ใช่ Volume แบบแท่งๆ ทั่วๆไป แต่เป็น Volume ที่แสดงในแนวตั้งตามระดับราคา เพราะ Keltner Channels พอบอกได้ว่า @ที่ไหน เป็นขอบเขตของแนวโน้ม ส่วน Volume Profile จะพอบอกได้ว่า @ราคาไหน ที่มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นที่สุด เมื่อการทะลุกรอบ Keltner ที่มาพร้อมกับการทะลุโซน Volume Profile ที่เบาบาง และมีเป้าหมายไปโซนที่มี Volume หนาแน่นถัดไป ก็จะได้สัญญาณเทรดที่มีความได้เปรียบสูง ง่าย ๆ คือการผสมระหว่าง ความผันผวน + สภาพคล่อง
ให้เชื่อ Timeframe ใหญ่เสมอ เพราะ Timeframe ใหญ่ = กระแสน้ำหลัก ส่วน Timeframe เล็ก = คลื่น ที่ซัดไปมา การพายเรือทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวก็ย่อมทำได้ยากกว่า เช่น กราฟ Day ยังเป็นขาลง แต่กราฟ H1 ทะลุกรอบ Keltner ขึ้นมา สัญญาณ Buy ใน H1 นั้นมีความเสี่ยงสูงมากและมีโอกาสเป็นแค่การพักตัวเพื่อลงต่อ (Correction) ควรใช้สัญญาณใน Timeframe เล็ก เพื่อหาจังหวะเข้าที่ดีที่สุดในทิศทางเดียวกับเทรนด์ของ Timeframe ใหญ่

 

เขียนโดย

Poomipat Wonganun

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen