ทองคำสะท้อนอะไรจากโลกเรา?

  • ราคา ทองคำ เปรียบเสมือน “กระจกสะท้อนความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในภาวะที่ไม่แน่นอน
  • เวลาที่โลกเข้าสู่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น วิกฤตซับไพรม์ปี 2008 หรือโควิด-19 ราคาทองจะพุ่งขึ้นทันที เพราะนักลงทุนหนีสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่ทองคำ
  • ในทางกลับกัน ถ้าโลกมีความมั่นใจสูง ราคาทองมักจะซบเซาหรือลดลง เพราะนักลงทุนโยกเงินไปลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่า
  • ช่วงต้นปี 2020 เมื่อโควิด-19 แพร่ระบาด ราคาทองจากประมาณ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นไปสูงถึงกว่า 2,000 ดอลลาร์ เพราะทุกคนต้องการความปลอดภัย
  • ทองจึงทำหน้าที่เป็น “Safe Haven” ที่นักลงทุนใช้วัดระดับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของโลก

เศรษฐกิจโลกดีจริงไหม? ดูที่ราคาทอง

  • ข้อมูลเศรษฐกิจบางครั้งถูก “ปรับแต่ง” หรือ “ตีความ” อย่างมีนัยยะเพื่อรักษาความมั่นใจตลาด แต่ราคาทองคำจะไม่โกหก เพราะมันสะท้อนว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร 
  • ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ราคาทองจะไม่วิ่งแรง เพราะนักลงทุนจะเลือกถือหุ้นแทน แต่ถ้าทองพุ่งในช่วงเศรษฐกิจโตน้อย แสดงว่าตลาดกังวลลึก ๆ
  • ในปี 2024 แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการเติบโต 2% แต่ทองยังอยู่ในระดับสูงกว่า 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แสดงว่าคนในตลาดกลัวว่าการฟื้นตัวนี้ยังไม่แข็งแรงพอ
  • นอกจากนี้ ทองคำยังสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับ “หนี้สาธารณะ” และ “ความไม่แน่นอนทางการเมือง” ที่อาจกระทบเศรษฐกิจในอนาคต

ภาพแสดงถึง ราคาทองคำนั้นจะสะท้อนออกมาหมดเลยว่าโลกเป็นอย่างไร ทั้งด้านเศรษฐกิจ, สงคราม รวมไปถึงความมั่นคง และ เงินเฟ้อ

เงินเฟ้อขึ้นเมื่อไร ทองคำก็เด่น

  • เงินเฟ้อสูงหมายถึง “เงินที่คุณถือในมือจะซื้อของได้น้อยลง” การถือทองคำเป็นการเก็บมูลค่าที่ดีกว่าเงินสดในระยะยาว
  • ราคาทองคำจะวิ่งแรงในช่วงที่ดอกเบี้ยจริง (Real Interest Rate) ติดลบ เพราะทองไม่ให้ผลตอบแทนแบบดอกเบี้ย แต่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
  • FED และธนาคารกลางทั่วโลกพิมพ์เงินมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงกว่าที่คาด ทำให้ทองคำเป็นที่หลบภัยชั้นดี
  • ในช่วงปี 2021–2022 ที่เงินเฟ้อสหรัฐพุ่งเกิน 8-9% ราคาทองทะยานขึ้นมากกว่า 20% เนื่องจากนักลงทุนหันมาเก็บทองแทนเงินสดที่ “อ่อนค่า”

ดอลลาร์อ่อนเมื่อไร ทองพุ่งทุกที

  • ทองคำถูกตั้งราคาบนดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าดอลลาร์แข็งค่า ทองคำจะมีราคาแพงขึ้นในสกุลเงินอื่น นักลงทุนจึงอาจชะลอการซื้อ
  • ถ้าดอลลาร์อ่อน ค่าเงินประเทศอื่นที่ใช้เงินสกุลตัวเองซื้อทองจะถูกลง เท่ากับว่า ความต้องการทองจึงเพิ่มขึ้น
  • ปัจจุบัน (2025) การที่ FED เริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า เท่ากับว่า เป็นแรงหนุนสำคัญให้ราคาทองพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
  • USD Index ร่วงต่ำกว่า 100 ในไตรมาสแรกของปี 2025 ทองคำปรับขึ้นเกิน 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน

จากภาพจะเห็นว่าเมื่อ USD อ่อนค่าลง ราคาทองจะขึ้น เพราะนักลงทุนจะเข้าซื้อทองเพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ตลาดหุ้นสะดุด ทองมักจะสู้

  • ทองคำทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Hedge) เมื่อเกิด Sell-off ในตลาดหุ้น นักลงทุนมักโยกเงินเข้าทองเพื่อรักษามูลค่า
  • บางครั้ง ตลาดหุ้น และทองคำสามารถวิ่งสวนทางกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการเงินหรือความตึงเครียดทางการเมือง
  • แต่ก็มีบางช่วงที่ทองคำและหุ้นขึ้นพร้อมกันในช่วงที่นักลงทุนกังวลเรื่องเงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจยังแข็งแรง (stagflation)
  • ช่วงเดือนมีนาคม 2023 ที่ธนาคาร Silicon Valley Bank ล้มละลาย ตลาดหุ้นตกหนัก แต่ทองคำเพิ่มขึ้นเกือบ 100 ดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 วัน

สงคราม = ทองคำพุ่ง?

  • ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามหรือความขัดแย้งระหว่างชาติ มักกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
  • ทองคำมักพุ่งขึ้นก่อนเหตุการณ์จริง เพราะนักลงทุนเร่งสะสมก่อนเกิดวิกฤต หรือแม้แต่ข่าวลือก็มีผลต่อตลาดทอง
  • ปี 2022 สงครามรัสเซีย–ยูเครน ทำให้ราคาทองพุ่งจากประมาณ 1,800 ดอลลาร์ ไปแตะ 2,000 ดอลลาร์
  • ต้นปี 2025 ข่าวความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวัน ส่งผลให้ราคาทองพุ่ง $70 ในสัปดาห์เดียว

ภาพแสดงถึงความไม่แน่นอนของธนาคาร รวมไปถึงสงครามที่เป็นปัจจัยทำให้ราคาทองคำขึ้น

ความเชื่อมั่นต่อ FED อยู่ตรงไหนในราคาทอง?

  • คำแถลงและนโยบายของ FED เป็นปัจจัยหลักที่กดดันหรือหนุนราคาทองคำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
  • นักลงทุนจับตาดูการขึ้น-ลงดอกเบี้ยและท่าทีของ FED ว่าจะ “แข็งกร้าว” หรือ “นุ่มนวล” เพราะมีผลต่อ real interest rate และเงินดอลลาร์โดยตรง
  • ในปี 2024 เมื่อ FED แถลงการณ์ว่าจะ “Pause” การขึ้นดอกเบี้ย ทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 5% ภายในไม่กี่วัน
  • แต่ถ้า FED กลับมาเข้มงวดขึ้น ราคาทองก็อาจปรับตัวลดลงทันทีเช่นกัน

พ่อใหญ่ “พาเวล” ผู้ว่าการธนาคารสหรัฐ ดาวแห่งข่าวช่วงดึก พูด “สวัสดีตอนบ่ายคำเดียว” ตัดสินทองคำในช่วง 5 นาทีแรกได้เลยว่าพาร่วงหรือพารุ่ง

ทองคำ vs คริปโต: ใครคือ Safe Haven ตัวจริง?

  • ทองคำ
    • ทรัพย์สินเก่าแก่ ใช้เป็นที่พักเงินปลอดภัยมานานนับพันปี
    • ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจและสงครามได้ดี
    • มีตลาดกายภาพและการซื้อขายที่มั่นคงทั่วโลก
  • Bitcoin
    • ถูกเรียกว่า “ทองคำดิจิทัล” ด้วยจำนวนจำกัดและระบบกระจายศูนย์
    • นักลงทุนรุ่นใหม่มองว่าเป็น Safe Haven ในยุคดิจิทัล
    • มีความผันผวนสูงและเสี่ยงจากการล่มของแพลตฟอร์มบางแห่ง
    • ยังไม่เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นความมั่นคงสูง

ตารางที่ 1 ตารางแสดงข้อมูลการเปรียบเทียบ: ทองคำ vs บิตคอยน์

ด้านที่เปรียบเทียบทองคำ (Gold)บิตคอยน์ (Bitcoin)
ประวัติศาสตร์ใช้มานานกว่าพันปีมีอายุเพียง 15 ปี
ความผันผวนต่ำสูงมาก
การยอมรับสากลสูงมาก (รวมถึงธนาคารกลาง)กำลังเติบโต ยังไม่มั่นคงในทุกประเทศ
ความปลอดภัยของระบบกายภาพ ปลอดภัยจากไซเบอร์มีความเสี่ยงด้านแพลตฟอร์มและการแฮก
ความโปร่งใสราคากลางชัดเจนทั่วโลกขึ้นกับ Exchange ที่ซื้อขาย
ความสะดวกในการโอนต้องใช้ระบบธนาคารหรือถือจริงโอนได้ตลอด 24 ชม. ผ่านระบบ Blockchain
ความสามารถในการใช้จริงเป็นเครื่องประดับ หลอมเป็นสินทรัพย์ใช้ชำระเงินบางที่ แต่ยังไม่แพร่หลาย
  • มุมมองของนักลงทุนยุคใหม่
  • นักลงทุนบางคนไม่เลือกข้าง แต่เลือกถือทั้งทองและคริปโตเพื่อกระจายความเสี่ยง
  • ทองคำให้ความมั่นคงระยะยาว ส่วนคริปโตอาจให้โอกาสกำไรสูงในระยะสั้น (พร้อมกับความเสี่ยงสูง
  • กรณีศึกษาตอนวิกฤตปี 2022
    • การล่มของ FTX และตลาดคริปโต ส่งผลให้ราคา BTC ร่วงจากประมาณ $69,000 เหลือไม่ถึง $17,000 ภายในเวลาไม่ถึงปี ลดลงกว่า 70%
    • ในขณะเดียวกัน ทองคำแม้จะเผชิญแรงเทขายบ้าง แต่ฟื้นตัวได้เร็ว และยังเป็นที่ต้องการของธนาคารกลางทั่วโลก

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการ “ความมั่นคง” และการป้องกันความเสี่ยงในสถานการณ์ไม่แน่นอน ทองคำยังคงเป็น Safe Haven ตัวจริง
ส่วน Bitcoin อาจเป็นทางเลือกเสริมสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ และมองไกลในยุคการเงินดิจิทัล

ภาพแสดงถึงการเปรียบเทียบว่า “ทองคำ” กับ “บิทคอยน์” มีความแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือน ๆ กันคือ เป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูง และ น้อยลงทุกที

พฤติกรรมคนลงทุน อ่านได้จากกราฟทอง

  • ช่วงที่กราฟทองขึ้นต่อเนื่องและไม่มีข่าวใหญ่ มักหมายถึง “มือใหญ่” หรือกองทุนเริ่มสะสมทอง
  • ช่วงที่ทองผันผวนรุนแรงในวันเดียว มักเกิดจากข่าวปล่อยลม หรือการเก็งกำไรระยะสั้นที่สูงมาก
  • ดัชนีความกลัว (VIX) มักวิ่งสวนทางกับราคาทอง  เมื่อ VIX สูง นักลงทุนมักโยกเงินมาทอง
  • มีนาคม 2025 ข่าวลือจีนจะหนุนราคาทอง ทำให้ทองพุ่งเกือบ $70 ในครึ่งวันก่อนร่วงกลับหลังจีนปฏิเสธข่าว

ทองคำของชาติมหาอำนาจ บอกอะไรกับเรา?

  • ปริมาณทองคำสำรองของชาติใหญ่สะท้อนความมั่นใจในระบบการเงินโลกและการบริหารความเสี่ยง
  • สหรัฐถือทองคำมากที่สุด (~8,000 ตัน) เพื่อเป็นหลักประกันให้กับเงินดอลลาร์ที่ใช้เป็นเงินสำรองโลก
  • จีนและรัสเซียเพิ่มการซื้อทองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการลดบทบาทของดอลลาร์ในอนาคต
  • จีนซื้อทองแทบทุกเดือนในปี 2023–2025 เพื่อสะสมสำรอง ทองคำ ประมาณ 2,000 ตันในช่วงเวลา 3 ปี

BRICS กับทองคำ: เกมชิงอำนาจโลกใหม่

  • กลุ่ม BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้) กำลังวางแผนพัฒนาระบบการเงินที่ใช้ทองคำหนุนหลังแทนดอลลาร์
  • ระบบนี้จะช่วยลดการพึ่งพาสกุลเงินสหรัฐฯ และสร้างสมดุลอำนาจในตลาดโลก
  • ราคาทองจึงอาจพุ่งสูงขึ้นจากความต้องการทองคำในฐานะเงินทุนสำรองและสื่อกลางการชำระเงิน
  • ในการประชุม BRICS 2024 ที่รัสเซีย มีการพูดคุยเกี่ยวกับสกุลเงินทองคำที่อาจเปิดใช้งานในปี 2026
  • เรื่อง BRICS แน่นอนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ยอมรับจากตรงนี้ เพราะมีผลกระทบกับค่าเงิน USD

ข่าวล่าสุด “ทรัมป์” ได้จัดการโดยการเก็บภาษีประเทศเหล่านี้ และ คว่ำบาตรรัสเซีย เพราะว่ากังวลเรื่องกลุ่มนี้ที่ต้องการใช้ทองคำไปหนุนแทนดอลลาร์

ทำไมคนเอเชียถึงรักทอง?

  • ความมั่งคั่งที่จับต้องได้
    • ทองคำถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินแท้จริง เพราะจับต้องได้ เห็นน้ำหนักชัดเจน 
    • ต่างจากหุ้นหรือกองทุนที่เป็นแค่ตัวเลขบนหน้าจอ ทองไม่มีวันหมดอายุ ไม่เสียหาย และส่งต่อได้หลายชั่วอายุคน
  • ทองกับวัฒนธรรมและประเพณีเอเชีย
    • ในจีน อินเดีย ไทย เวียดนาม ทองคำเป็นของขวัญสำคัญในงานแต่ง งานบวช และพิธีต่าง ๆ ผู้ใหญ่หลายคนเก็บทองไว้ให้ลูกหลานเป็นสินสอดหรือแสดงความรัก
  • ทองคำคือหลักประกันยามวิกฤต
    • เมื่อเจอปัญหาทางการเงิน ทองคำมักเป็นทรัพย์สินแรกที่ถูกนำไปจำนำหรือขาย เพื่อความอยู่รอด 
    • หลายครอบครัวเก็บทองไว้เป็น “แผนสำรอง” โดยไม่ต้องเปิดเผย
  • ไม่ไว้ใจระบบการเงินแบบฝังลึก
    • หลายชาติในเอเชียผ่านวิกฤตเงินเฟ้อและเศรษฐกิจจนสูญเสียความเชื่อมั่นในธนาคารและค่าเงิน 
    • ทองคำจึงกลายเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่พึ่งพาได้
  • ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยและโชคลาภ
    • ทองสีทองในวัฒนธรรมจีนและเอเชียมีพลังแห่งความมั่งคั่งและโชคลาภ 
    • ร้านค้าและกิจการมักใช้ทองประดับเพื่อดึงดูดทรัพย์สิน
  • ทองคำ เท่ากับมีสถานะและการยอมรับทางสังคม
    • การสวมใส่ทองในงานบุญและพิธีต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจในสังคม
  • ทองกับการลงทุนที่รู้สึกปลอดภัย
    • สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ชอบความเสี่ยง ทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่มั่นคงและคุ้มค่า 
    • กฎง่าย ๆ คือทยอยซื้อเก็บไว้ แม้เริ่มต้นด้วยเงินน้อย
  • ร้านทองกระจายทุกหัวมุมในเอเชีย
    • ในไทย จีน อินเดีย เวียดนาม ร้านทองมีอยู่แทบทุกที่ ทำให้การซื้อขายทองเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้จริง โดยไม่ต้องพึ่งพาตราสารทางการเงินที่ซับซ้อน

ทองคำ อยู่คู่กับคนเอเชีย และที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนไทยชอบซื้อทอง ใส่ทอง หรือ นำมาเป็นสินสอดในงานแต่งงาน พร้อมทั้งเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน

คลิปที่น่าสนใจ

  • คลิปวีดีโอที่น่าสนใจแบบสั้น ๆ เข้าใจง่ายจากช่อง @PratanMeow ซึ่งอธิบายเอาไว้ว่า ทำไมทองคำไทยถึงไม่ขึ้น ไม่ลงเท่ากับทองคำนอก 
  • ทำไมราคา “ทองคำไทย” ไม่ตกหนักเท่าต่างประเทศ!?

สรุป

  • ราคาทองคำเป็นภาพสะท้อนของปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อโลก
  • ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมักแสดงถึงความวิตกกังวล เช่น เงินเฟ้อสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือวิกฤตเศรษฐกิจ
  • ราคาทองคำที่ทรงตัวหรือลดลง แสดงถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพและทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
  • ราคาทองคำช่วยให้เรามองเห็นแนวโน้มของต้นทุนสินค้า การเงิน และความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต
  • การติดตาม ราคาทองคำ จึงเป็นมากกว่าการลงทุน คือการอ่าน “สัญญาณ” ของโลกเพื่อเตรียมรับมือความท้าทายและโอกาส
  • ราคาทองคำจึงยังคงเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและคุณภาพชีวิตผู้คน

อ้างอิง

FAQ — ราคาทองคำ บอกอะไรบ้างเกี่ยวกับโลกของเรา ในแต่ละด้าน

จริงเลย ราคาทองไม่ได้แค่ขึ้นลงตามตลาด แต่เป็นเหมือน “บันทึกความรู้สึกของโลก” เวลาคนกลัวสงคราม วิกฤตเศรษฐกิจ หรือเงินเฟ้อ มันก็วิ่งหาทองคำเหมือนกันหมด แบบเดียวกับเวลาคุณหาเพื่อนคอยให้กำลังใจ
จริง ๆ ไม่ได้วิ่งสวนกันเสมอไปนะ แต่ทองคำมักเป็นที่หลบภัยเวลาค่าเงินดอลลาร์อ่อน เพราะทองไม่ใช่เงินที่พิมพ์เพิ่มได้ ดอลลาร์ถ้าพิมพ์เยอะ ก็จะลดค่า เราก็เลยเห็นราคาทองพุ่งขึ้นแทน
ดูง่าย ๆ คือถ้าทองขึ้นแรงพร้อมกับหุ้นตกหนัก แปลว่าโลกกำลังเครียดกันหนัก ๆ นักลงทุนกลัวเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ถ้าทองนิ่ง หุ้นขึ้น ก็หมายความว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้สวย
เพราะทองคำมันเหมือน “สัญญาณเตือนภัย” ของโลกเวลามีความไม่แน่นอน เช่น สงคราม ความขัดแย้ง หรือความตึงเครียดใหญ่ ๆ นักลงทุนจะรีบเอาเงินไปเก็บทองที่ถือว่าปลอดภัยกว่าเงินสดหรือหุ้น
บอกได้ในระดับหนึ่ง เพราะราคาทองสะท้อนภาพรวมของต้นทุนสินค้าและบริการ ถ้าทองขึ้น แปลว่าของทุกอย่างในชีวิตเรามีแนวโน้มแพงขึ้นตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ราคาทองก็แค่หนึ่งใน “สัญญาณ” ที่ต้องดูร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ ด้วย

 

เขียนโดย

Poomipat Wonganun

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen