ความหมายของ Hedge (Hedging) คืออะไร?

  • Hedging คือกระบวนการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน โดยการทำธุรกรรมอีกข้างหนึ่ง เพื่อชดเชยผลกระทบจากความเคลื่อนไหวของราคา
  • เปรียบเหมือน “ประกันภัย” ในการลงทุน หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น จะมีข้อตกลงไว้ลดความเสียหาย
  • ตัวอย่างเช่น นักลงทุนถือหุ้น Tesla และกลัวราคาจะตก ก็ซื้อสัญญา Put Option ไว้เป็นการ Hedge

จุดประสงค์หลักของการทำ Hedging

  • ลดความเสี่ยงขาดทุน จากความผันผวนของตลาด
  • สร้างเสถียรภาพให้พอร์ต ลงทุนในระยะยาว
  • ปกป้องต้นทุน ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบ เช่น โรงงานผลิตอาหาร Hedge ราคาข้าวสาลี
  • ช่วยวางแผนการเงินได้แม่นยำขึ้น เช่น ธุรกิจส่งออก Hedge ค่าเงิน

การ Hedge มีค่าใช้จ่ายเสมอ เช่น ค่าธรรมเนียม หรือโอกาสเสียกำไรหากตลาดเป็นไปตามที่คาด

ภาพแสดงถึงความหมายของการทำ Hedging เพื่อรักษาพอร์ตเอาไว้ เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยให้อยู่รอดในตลาด แต่บางโบรกเกอร์ก็ไม่อนุญาตให้ทำ เช่น การสอบกองทุน Forex เป็นต้น

เครื่องมือยอดนิยมที่ใช้ในการ Hedge

ตัวอย่างเช่น บริษัทสายการบิน Hedge ราคาน้ำมันล่วงหน้า ด้วย Futures contract เพื่อป้องกันต้นทุนน้ำมันพุ่งสูง

กลยุทธ์ Hedging ที่ใช้บ่อยในตลาดการเงิน

  • Direct Hedging: เปิดออเดอร์ตรงข้ามทันที เช่น Buy EUR/USD แล้วเปิด Sell EUR/USD ควบคู่
  • Cross Hedging: ใช้สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ เช่น ลงทุนทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
  • Portfolio Hedging: ซื้อ Put Options บนดัชนีหุ้น เพื่อป้องกันพอร์ตโดยรวม
  • Delta Hedging: ใช้ในตลาด Option เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างราคา Option กับสินทรัพย์อ้างอิง

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบกลยุทธ์ Hedging ทั้ง 4 แบบ แนวคิดหลัก, จุดเด่น, จุดด้อย และตัวอย่างการใช้งาน 

กลยุทธ์ Hedgingแนวคิดหลักจุดเด่นจุดด้อยตัวอย่าง
Direct Hedgingเปิดออเดอร์ตรงข้ามในสินทรัพย์เดียวกันปิดความเสี่ยงทันที ใช้งานง่ายพอร์ตไม่เคลื่อนไหว อาจตันหากไม่มีแผน ExitBuy EUR/USD แล้วเปิด Sell EUR/USD
Cross Hedgingใช้สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ป้องกันความเสี่ยงยืดหยุ่น เหมาะกับพอร์ตหลากหลายความสัมพันธ์ไม่คงที่ ป้องกันได้ไม่ 100%ถือ USD/JPY แล้วเปิดทองคำเพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงิน
Portfolio Hedgingป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม ด้วยอนุพันธ์ป้องกันพอร์ตทั้งหมด ไม่ต้องขายสินทรัพย์จริงมีต้นทุนสูง ถ้าตลาดไม่ร่วงอาจขาดทุนจาก Hedgingซื้อ Put Option บน S&P 500 เพื่อป้องกันหุ้นที่ถืออยู่
Delta Hedgingปรับสมดุล Option กับสินทรัพย์อ้างอิงตามค่า Deltaปรับความเสี่ยงแบบละเอียด ใช้ได้แม่นยำในระดับมืออาชีพต้องปรับตลอดเวลา ซับซ้อนสูงขาย Call Option หุ้น A แล้วซื้อหุ้น A ตามค่า Delta

สรุปแนวทางการเลือกใช้

  • มือใหม่ ที่ เทรด Forex/CFD: เริ่มจาก Direct Hedging (ง่ายและควบคุมได้ไว)
  • นักลงทุนระยะกลาง ถือหลายสินทรัพย์: ใช้ Cross Hedging เพื่อบาลานซ์ความเสี่ยง
  • พอร์ตลงทุนใหญ่ มีความผันผวนสูง: ใช้ Portfolio Hedging ด้วย Options/Futures
  • นักเทรด Option ระดับสูง: ใช้ Delta Hedging ควบคู่กับกลยุทธ์ Option อื่น

ประโยชน์ของการ Hedging ต่อเทรดเดอร์และนักลงทุน

  • ช่วยควบคุมความเสียหายจากความผันผวน
  • เพิ่มความมั่นใจในการถือครองสินทรัพย์ระยะยาว
  • บางกลยุทธ์ Hedging ยังช่วยสร้างกำไรได้หากออกแบบดี
  • ธุรกิจขนาดใหญ่ใช้ Hedging เพื่อปกป้องงบการเงินจากความไม่แน่นอนของตลาดโลก

ตัวอย่างของการทำ Hedging โดยจุดที่คุณกด Sell ไว้ ออเดอร์ไม่เป็นไปตามที่หวัง ก็เข้าออเดอร์ Buy เพื่อทำการชดเชย เมื่อกราฟทำ Pattern กลับมาเป็นขา Sell จึงปิดออเดอร์ พร้อมทำกำไรกับ ไม้ Sell ต่อ 

ความเสี่ยงและข้อจำกัดของการใช้ Hedging

  • ต้องเสียต้นทุน เช่น ค่าธรรมเนียม หรือ Premium ของ Option
  • หากวิเคราะห์ผิดทาง อาจได้กำไรน้อยกว่าการถือเพียงด้านเดียว
  • ซับซ้อน ต้องมีความเข้าใจดี
  • ไม่สามารถปกป้องได้ทุกสถานการณ์ เช่น กรณีเกิด Flash Crash ทันที

ตัวอย่างการ Hedging ในตลาด Forex

  • เปิด Buy คู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ 1.0800
  • กลัวตลาดแกว่งลงช่วงข่าว จึงเปิด Sell EUR/USD จำนวนเท่า ๆ กันที่ 1.0820
  • เมื่อราคาลงจริง การเปิด Sell ไว้จะชดเชยการขาดทุนของ Buy
  • บาง โบรกเกอร์ ไม่อนุญาตให้ Hedging แบบนี้ ควรเช็คกฎก่อนเสมอ

การใช้ Hedging ในตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และอนุพันธ์

  • ตลาดหุ้น: นักลงทุนซื้อ Put Option บนหุ้นที่ถือเพื่อป้องกันการร่วง
  • สินค้าโภคภัณฑ์: เกษตรกรทำสัญญาขายล่วงหน้าเพื่อการันตีราคาขาย
  • ตลาดอนุพันธ์: ธนาคารใช้ Swap เพื่อ Hedge ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย

ข้อควรระวังสำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจใช้ Hedging

  • ศึกษาเครื่องมือที่ใช้ให้ละเอียด
  • ประเมินต้นทุนกับผลตอบแทนให้ดี
  • อย่า Hedge เกินความจำเป็น เพราะอาจทำให้เสียกำไรที่ควรได้
  • เริ่มจากการ Hedging บางส่วน (Partial Hedge) ก่อน เพื่อเรียนรู้แนวทาง

Hedging กับการบริหารพอร์ตลงทุน

  • ใช้ Hedging เป็นหนึ่งในกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงพอร์ต
  • ไม่ควรหวังว่า Hedging จะป้องกันได้ 100% แต่ทำให้พอร์ต “ทนทาน” มากขึ้น
  • ใช้ร่วมกับการกระจายการลงทุน (Diversification) จะยิ่งเสริมพลังกันอย่างดี

ตัวอย่างเช่น หากคุณเข้า Sell ทองที่ราคา 3,336 แต่กราฟดันพุ่งขึ้นสวนทาง คุณก็สามารถ Hedging โดยการกด Buy ไว้ เพื่อชดเชยราคา พอกราฟใกล้ที่จะลงมา ก็ปิดออเดอร์ Buy และ ทำกำไรขา Sell ต่อแบบสวย ๆ 

Hedging กับจิตวิทยาการเทรด

  • ในแง่มุมของ จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology) การใช้ Hedge หรือการทำ Hedging มีการอธิบายและวิเคราะห์ไว้อย่างลึกซึ้ง 
  • เนื่องจากการ Hedge ไม่ได้เป็นแค่กลยุทธ์จัดการความเสี่ยงทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง “สถานะทางจิตใจ” และ “กระบวนการตัดสินใจ” ของเทรดเดอร์ในช่วงที่เผชิญกับความไม่แน่นอนหรือแรงกดดันสูงอีกด้วย

ประเด็นหลักที่น่าสนใจ

  1. การ Hedge เป็นเครื่องมือทางจิตใจ (Psychological Safety Net)
  • เทรดเดอร์จำนวนมากใช้ Hedging เพื่อสร้าง “ความรู้สึกปลอดภัย” เมื่อตลาดผันผวน
  • ช่วยลดแรงกดดันทางอารมณ์ เช่น ความกลัวที่จะขาดทุน (Fear of Losing) หรือความเครียดจากการติดลบ
  1. หลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดจากอารมณ์
  • การ Hedge ช่วยให้เทรดเดอร์ไม่ต้องปิดออเดอร์ที่ยังไม่ได้ยืนยันสัญญาณกลับตัว เพียงเพราะ “อารมณ์”
  • ลดโอกาสในการ Overreact เช่น การปิดไม้หลักเร็วเกินไป หรือรีบกลับฝั่ง
  1. Hedge เพื่อหนีความจริง (Escape Hedging)
  • บางคนใช้ Hedging เพื่อ “หลีกหนีจากความผิดพลาด” เช่น การถือไม้ผิดทางแล้วเปิดอีกฝั่งแทนที่จะยอมรับความผิดพลาด
  • จิตวิทยานี้มักเกิดจาก “การไม่ยอมขาดทุน (Loss Aversion)” และกลัวการยอมรับผิด
  • สุดท้ายอาจนำไปสู่ “พอร์ตตัน” เพราะเปิด Hedge ทับไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีแผน Exit ที่ชัดเจน
  1. การ Hedge อย่างมีวินัยและแผน
  • เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มักวางแผนการ Hedge ล่วงหน้า เช่น Hedge เพื่อล็อกกำไร หรือ Hedge เพื่อลดความผันผวนก่อนข่าวใหญ่
  • สะท้อน “จิตวิทยาของเทรดเดอร์ที่มีวินัย” และไม่ปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวนำ
  1. Hedging กับความคิดแบบ Reactive vs. Strategic
  • ถ้าใช้ Hedging แบบ “Reactive” (ทำตอนตื่นตระหนก) บ่งชี้ว่าจิตวิทยายังไม่มั่นคง
  • ถ้าใช้แบบ “Strategic” (มีแผน มีเหตุผล มีจุด Exit) แสดงถึงการควบคุมตนเองได้ดีและมีวุฒิภาวะทางการเทรด

สรุปเชิงจิตวิทยา

ตารางที่ 2 แสดงถึงสรุปเชิงจิตวิทยา  กับมุมมองที่มีผลกระทบต่อจิตใจ

มุมมองจิตวิทยาลักษณะการ Hedgeผลกระทบต่อจิตใจ
ความกลัวเปิด Hedge เพื่อหยุดความเจ็บปวดจากการขาดทุนรู้สึกสบายขึ้นชั่วคราว แต่ไม่แก้ปัญหาระยะยาว
ความโลภHedge เพื่อเก็บทุกจังหวะตลาดเกิดความสับสนในการตัดสินใจ
การควบคุมตนเองHedge ตามแผนที่ชัดเจนเพิ่มความมั่นใจ และลดความเครียด
ความไม่ยอมแพ้Hedge เพื่อไม่ให้ปิดไม้ผิดพอร์ตไม่เคลื่อนไหว ขาดความยืดหยุ่น

การ Hedge ไม่ได้ทำให้พอร์ตอยู่รอด 100% เพราะมันคือ กลยุทธ์ที่เล่นกับใจอย่างสูง คุณจะต้องเลือกทางทำกำไร หากถึงเวลานั้นจริง  ๆ เพราะ แรงกดดันทำให้คุณเครียดได้ ถือว่าเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยประสบการณ์การเทรดค่อนข้างสูง 

คลิป 

  • ขอแนะนำคลิปสั้น ๆ ที่บอกถึงการทำ Hedging  เข้าใจง่าย
  • จากช่อง @STUDIO-ub7xn

สรุป 

  • เฮจจิ้ง เป็นกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง โดยเปิดไม้สวนทางกับสถานะเดิม (เช่น Buy แล้วเปิด Sell)
  • ช่วย “ล็อกพอร์ต” ชั่วคราว เมื่อราคาวิ่งสวนแรง
  • ใช้เพื่อหยุดการขาดทุน ไม่ใช่เพื่อทำกำไร
  • เหมาะกับช่วงข่าวแรง เช่น ข่าว Non-Farm หรือเมื่อตลาดผันผวนหนัก
  • ข้อดี: ลดความเสี่ยง, ให้เวลาแก้เกม, รักษาทุนไว้
  • ข้อเสีย: ใช้ Margin เพิ่ม, เสียค่าสเปรดและ Swap สองทาง, หากไม่มีแผนปลด Hedge อาจติดพอร์ต
  • ต้องมี “แผนออกจาก Hedge” ไม่ใช่แค่เข้าไปแล้วปล่อยไว้ โดยเฉพาะ Hedge เพราะยอมรับความจริงว่าขาดทุนไม่ได้นั้น ไม่ควรทำเด็ดขาด มีแต่จะทำให้วินัยในการลงทุนเสียมากขึ้น

อ้างอิง : 

FAQ- Hedge (Hedging) สรุปข้อมูลทุกแง่มุม


Hedging ให้ความรู้สึก “ปลอดภัย” เพราะลดการขาดทุนจากตลาดที่สวนทาง แต่ในความจริงคือ

  • มัน “ล็อกพอร์ต” ไม่ให้กำไร/ขาดทุนเคลื่อนไหว (พอร์ตหยุดนิ่งชั่วคราว)
  • ถ้าไม่มีแผน “ปลด Hedge” ที่ชัดเจน อาจกลายเป็นกับดัก — ต้นทุนสูงขึ้น เสียค่าสเปรด x2
ทุกโบรกฯยอดนิยมคนไทยสามารถ Hedge ได้ แต่ก็มีหลายโบรกเกอร์ที่ ไม่อนุญาตให้ Hedge โดยเฉพาะที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ NFA (National Futures Association) หรือ CFTC (Commodity Futures Trading Commission) เช่น Forex.com (US), OANDA (US), IG (US) พวกนี้ถ้าเราเทรดฝั่งตรงข้าม ระบบจะขายฝั่งเดิมให้เลย
คล้ายกันในหลักการแต่ต่างกันในเครื่องมือ กองทุนมักใช้ Option, Futures หรือ CDS (Credit Default Swap) เพื่อ Hedge พอร์ตในระดับใหญ่ ส่วนรายย่อยใช้การเปิดฝั่งตรงข้ามหรือ Cross Hedge ที่ง่ายกว่า
  • Direct Hedge: Buy กับ Sell คู่เดียวกัน (เช่น Buy + Sell GBP/USD) เพื่อหยุดความเคลื่อนไหวพอร์ต
  • Partial Hedge: Hedge แค่บางส่วน เช่น Buy 1 lot แล้ว Sell กลับแค่ 0.5 lot

จากนั้นค่อยเรียนรู้วิธี “ปลด Hedge” เช่น

  • ใช้แนวรับแนวต้าน
  • ใช้เวลาในข่าว
  • ใช้เทรนด์ใหญ่เป็นไกด์
  • หาจังหวะ “ปลด Hedge” เช่น ปิดฝั่งเสียเมื่ออีกฝั่งเริ่มกำไร
  • วางแผนต่อ เช่น รอเบรกแนวรับแนวต้าน หรือรอสัญญาณกลับตัว
  •  อย่าปล่อย Hedge ค้างไว้นานเกินไป เพราะมันจะ “กินทุน” จากค่าสเปรดและ Swap

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen