Part-1 รู้จักกับ Forex ให้มากกว่าที่เคยรู้

 

  • Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange หรือการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
  • เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าการซื้อขายมากกว่า 7 ล้านล้านเหรียญต่อวัน
  • เทรดเดอร์ซื้อขายเป็น “คู่เงิน” เช่น EUR/USD, USD/JPY
  • เป้าหมายหลักคือทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน
  • สิ่งสำคัญคือต้องรู้ข้อดี – ข้อเสีย ของ ตลาด Forex 
  • เกมนี้เล่นกับธนาคารกลาง นักลงทุนรายใหญ่มากมาย 
  • ต้องรู้จักด้วยว่าตลาดทำงานยังไง ?  

ข้อดี-ข้อเสียของตลาด Forex ที่คนเทรดได้มาบอกต่อ 

ข้อดีของตลาด Forex 

  • สภาพคล่องสูง เทรดเมื่อไหร่ก็เข้าออกได้ทันที
    • ไม่ต้องกลัวติดดอย เพราะแค่คลิกก็ปิดออเดอร์ได้ทันที ไม่ต้องรอใครมาไล่ซื้อ
  • ทำเงินได้ทุกที่ทุกเวลา แค่มีมือถือกับเน็ต
    • อยู่ทะเลยังเปิดเทรดได้ บางทีจิบกาแฟก็ยังปั้นพอร์ตขึ้นมาได้เป็นพันเหรียญ
  • ตลาดเปิด 24 ชั่วโมง จัดเวลาเทรดได้ตามไลฟ์สไตล์
    • กลางวันทำงานประจำ กลางคืนเปิดกราฟ เทรดก่อนนอน ได้กำไรหลับฝันดี
  • ใช้เงินเริ่มต้นน้อย แต่มี Leverage ช่วยเพิ่มโอกาส
    • เริ่มต้นแค่ไม่กี่ร้อย แต่บริหารดี ๆ พอร์ตก็โตได้หลักหมื่นหลักแสน
  • มีเครื่องมือวิเคราะห์ครบ พร้อมบทวิเคราะห์จากทั่วโลก
    • ไม่ต้องเดา เพราะกราฟกับข่าวช่วยตัดสินใจ ทุกการเข้าออกมีเหตุผล
  • เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
    • ไม่ต้องรอตลาดขึ้นถึงจะได้เงิน ขาลงก็เข้าได้ ได้กำไรเหมือนกัน
  • ฝึกวินัยและการควบคุมอารมณ์อย่างมาก
    • ยิ่งเทรด ยิ่งเข้าใจตัวเอง พอใจนิ่ง เงินก็มาตามจังหวะ

ข้อเสียของตลาด Forex (ที่คนมีกำไรก็ยังเตือน)

  • ถ้าไม่มีแผน เล่นตามอารมณ์ พอร์ตหายเร็วมาก
    • ช่วงเริ่มต้นเคยหมดเป็นหมื่น เพราะไม่ยอมคัทลอส
  • Leverage สูง ถ้าไม่รู้จักควบคุม ก็พังได้เร็ว
    • มันเหมือนดาบสองคม ได้เยอะก็เสียเร็ว ถ้าไม่รู้จักวางแผน
  • ต้องใช้เวลาเรียนรู้เยอะ และต้องเรียนรู้ตลอดเวลา
    • ตลาดเปลี่ยนทุกวัน ต้องอัปเดตความรู้ตลอด ไม่งั้นตามไม่ทัน
  • ความผันผวนสูง โดยเฉพาะช่วงข่าวแรง ๆ
    • เคยโดนลากจนล้างพอร์ตเพราะ NFP มาแรงเกินคาด
  • บางคนหลงใหลเกินไป กลายเป็นติดเทรด
    • เคยเปิดกราฟทั้งวันจนเสียงาน เสียสุขภาพ ต้องรู้จักบาลานซ์ให้ดี
  • เจอโบรกเกอร์ไม่ดี เสี่ยงโดนโกงหรือรีโควต
    • ต้องเลือกโบรกให้ดี ไม่งั้นถอนเงินไม่ได้ หรือราคาหลอก

จุดเด่นของตลาด Forex คือ การทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และ ขาลง ยิ่งเป็น xau/usd บอกเลย ขึ้นลงเร็วมากภายในไม่กี่นาที สายเทรดแบบ Scalping ทำกำไรกันอย่างสนุก

ใครอยู่ในตลาด Forex บ้าง

ธนาคารกลาง (Central Banks)

  • Federal Reserve (Fed) ของสหรัฐ
  • European Central Bank (ECB) ของยุโรป
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT)
  • หน้าที่หลักคือควบคุมเสถียรภาพค่าเงินของประเทศ เช่น การกำหนดดอกเบี้ย หรือการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อป้องกันค่าเงินผันผวนเกินควร
  • ธนาคารกลางมีอิทธิพลต่อราคาคู่เงินมาก เพราะสามารถซื้อหรือขายเงินจำนวนมหาศาลในตลาด
  • ตัวอย่าง: Fed ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่งผลต่อตลาดทั่วโลก

ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินใหญ่ (Commercial Banks & Financial Institutions)

  • เป็นผู้ซื้อขายหลักในตลาด Interbank ที่ทำธุรกรรมระหว่างธนาคารด้วยกันเอง
  • ทำหน้าที่เป็น Liquidity Providers หรือผู้ให้สภาพคล่องกับโบรกเกอร์และลูกค้า
  • ปริมาณการซื้อขายมหาศาล ทำให้ราคาขยับตามคำสั่งซื้อขายของกลุ่มนี้
  • ธนาคารเหล่านี้มักใช้ Forex เพื่อบริหารความเสี่ยงในธุรกิจหรือทำกำไรจากการเก็งกำไร

กองทุนเฮดจ์ฟันด์และกองทุนรวม (Hedge Funds & Investment Funds)

  • ใช้กลยุทธ์การลงทุนในตลาด Forex เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
  • มีเงินทุนมหาศาล ทำให้ส่งผลต่อตลาดในช่วงเวลาสำคัญได้
  • บางกองทุนใช้เทคนิคการวิเคราะห์ขั้นสูง หรือบอทเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading) เพื่อสร้างผลตอบแทน
  • ตัวอย่าง: กองทุนที่คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลง อาจเปิดสถานะ Sell EUR/USD จำนวนมาก

บริษัทนำเข้า-ส่งออกและธุรกิจข้ามชาติ (Corporations)

  • ต้องซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ
  • ใช้ Forex เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น บริษัทส่งออก อยากล็อกต้นทุนขายล่วงหน้า
  • ทำธุรกรรมซื้อขายตามความจำเป็น ไม่ได้เน้นเก็งกำไร
  • ตัวอย่าง: บริษัทในไทยต้องจ่ายเงินดอลลาร์ให้ซัพพลายเออร์ต่างประเทศ อาจใช้ Forex เพื่อแลกเปลี่ยนล่วงหน้า

เทรดเดอร์รายย่อย (Retail Traders)

  • คือบุคคลทั่วไปที่เข้ามา เทรด Forex ผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์
  • มีเงินทุนจำกัด เมื่อเทียบกับผู้เล่นรายใหญ่ แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้ถ้ารู้จักวางแผนและจัดการความเสี่ยงดี
  • ข้อได้เปรียบคือความคล่องตัว เราเทรดได้ทุกเวลา เลือกคู่เงินตามความถนัด และปรับกลยุทธ์เร็ว
  • ตัวอย่าง: คนทำงานประจำที่เทรดตอนเย็นหลังเลิกงาน เพื่อเก็งกำไรจากข่าวเศรษฐกิจ

นักเก็งกำไร (Speculators)

  • อาจเป็นทั้งรายย่อยหรือสถาบันที่เน้นเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสั้น ๆ
  • มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มสภาพคล่องและช่วยให้ตลาดเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
  • บางครั้งสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดระยะสั้น ทำให้ราคาผันผวน

นักลงทุนระยะยาว (Long-term Investors)

  • ลงทุนเพื่อถือสกุลเงินระยะยาว เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือบริษัทที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
  • ไม่ค่อยเทรดบ่อย แต่ส่งผลต่อตลาดในเชิงเสถียรภาพระยะยาว

ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed และ ECB ธนาคารกลางยุโรป คือหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของตลาด Forex แน่นอนว่าหากมีข่าวเกี่ยวกับองค์กรเหล่านี้ ย่อมกระทบต่อราคา Forex

ทำไมการรู้ว่าใครอยู่ในตลาดถึงสำคัญ?

  • เข้าใจว่าตลาด Forex ไม่ได้มีแค่เราหรือรายย่อย แต่มีผู้เล่นระดับโลกที่ทำให้ตลาดใหญ่และมีความซับซ้อน
  • ช่วยให้วิเคราะห์พฤติกรรมราคาว่าจะไปทางไหน เช่น หากธนาคารกลางประกาศนโยบายใหม่ ราคามักจะผันผวนแรง
  • รู้จัก “จับจังหวะ” การเข้าออกตลาดให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้เล่นแต่ละกลุ่ม

คู่เงินคืออะไร เลือกยังไงให้เหมาะ

  • คู่เงิน (Currency Pair) คือการจับคู่ของสกุลเงินสองสกุลเพื่อทำการแลกเปลี่ยน เช่น GBP/USD หมายถึงการซื้อขายเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD)
  • การเทรด Forex คือการซื้อเงินสกุลหนึ่งและขายเงินอีกสกุลหนึ่งพร้อมกัน โดยราคาของคู่เงินบอกว่าต้องใช้กี่หน่วยของสกุลเงินตัวหลัง (Quote currency) เพื่อซื้อ 1 หน่วยของสกุลเงินตัวแรก (Base currency)

ประเภทของคู่เงินหลัก ๆ ในตลาด Forex

คู่หลัก (Major Pairs)

  • เป็นคู่เงินที่เทรดเยอะที่สุดในโลก โดยมักจะมี USD เป็นหนึ่งในสกุลเงิน
    1. EUR/USD
    2. USD/JPY
    3. GBP/USD
    4. USD/CHF
    5. AUD/USD
    6. USD/CAD
    7. NZD/USD
  • มีสภาพคล่องสูงมาก ทำให้มีสเปรด (ส่วนต่างราคาซื้อขาย) ต่ำ ต้นทุนการเทรดถูก
  • เหมาะกับมือใหม่และเทรดเดอร์ทุกระดับ เพราะราคาขยับเป็นไปตามเทรนด์ใหญ่ มีข้อมูลข่าวสารรองรับมาก
  • EUR/USD มักถูกเรียกว่า “Fiber” เป็นคู่ที่เทรดมากที่สุดในโลก เพราะทั้งยุโรปและสหรัฐฯ มีเศรษฐกิจใหญ่

คู่รอง (Minor Pairs)

  • เป็นคู่เงินที่ไม่มี USD เป็นส่วนประกอบ แต่มีสกุลเงินหลักอื่น
    1. EUR/GBP
    2. EUR/AUD
    3. GBP/JPY
    4. EUR/JPY
  • มีสภาพคล่องน้อยกว่าคู่หลัก ทำให้สเปรดสูงขึ้น และราคาผันผวนมากกว่า
  • เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ ต้องการโอกาสกำไรจากความผันผวนสูง
  • ข้อมูลข่าวสารของคู่เงินเหล่านี้อาจมีน้อยกว่าคู่หลัก ต้องติดตามข่าวของทั้งสองประเทศ

คู่เงินแปลก (Exotic Pairs)

  • เป็นคู่เงินที่รวมสกุลเงินหลักกับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กหรือกำลังพัฒนา 
    1. USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐ/บาทไทย)
    2. USD/ZAR (ดอลลาร์สหรัฐ/แรนด์แอฟริกาใต้)
    3. EUR/TRY (ยูโร/ลีราตุรกี)
  • มีสภาพคล่องต่ำ สเปรดสูง และราคาผันผวนมาก อาจเกิดช่องว่างราคาหรือสลิปเพจ (Slippage) ได้บ่อย
  • เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีความรู้ลึกเรื่องตลาดโลกและเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น
  • บางครั้งเหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้นมาก เพราะความผันผวนสูง

ภาพอธิบายให้เข้าใจเรื่องของคู่เงินได้ง่ายขึ้น กับ ประเภททั้ง 3 ที่นิยมในการเทรด Forex

วิธีเลือกคู่เงินให้เหมาะกับตัวเอง

  • มือใหม่ควรเริ่มจากคู่หลัก เพราะมีข้อมูลข่าวสารเยอะ วิเคราะห์ง่ายและมีความเสี่ยงต่ำกว่า
  • ถ้าเน้นความผันผวนเพื่อเก็งกำไรเร็ว อาจเลือกคู่รอง หรือคู่แปลก แต่ต้องเข้าใจความเสี่ยงที่มากขึ้น
  • ดูเวลาทำการตลาดของคู่เงินนั้น ๆ เพราะแต่ละคู่จะมีช่วงเวลาที่เคลื่อนไหวมาก เช่น EUR/USD เคลื่อนไหวแรงช่วงตลาดยุโรปและสหรัฐฯ
  • พิจารณาข้อมูลข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ ของประเทศในคู่เงินนั้น เช่น การประกาศดอกเบี้ย ตัวเลขเศรษฐกิจ จะส่งผลต่อราคามาก
  • เลือกโบรกเกอร์ที่ โบรกเกอร์ Forex ยอดนิยมที่สุด ในไทย

ตัวอย่างการอ่านราคาในคู่เงิน

  • คู่ EUR/USD ราคา 1.1200 หมายความว่า ต้องใช้ 1.12 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อ 1 ยูโร
  • ถ้าเราคาดว่า EUR จะแข็งค่าขึ้นเทียบกับ USD เราจะเปิดสถานะ Buy EUR/USD
  • หาก EUR อ่อนค่าลงเทียบกับ USD เราจะเปิดสถานะ Sell EUR/USD

ตลาด Forex ทำงานยังไงกันแน่

ใครเป็นคนตั้งราคาซื้อขายในตลาด Forex?

  • ราคามาจากระบบ Interbank
    • ธนาคารใหญ่ ๆ ทั่วโลก (เช่น JP Morgan, Citi, Deutsche Bank) จะประมูลราคากันเอง
    • ราคานี้เรียกว่า “ราคาอินเตอร์แบงก์” เป็นราคาต้นทางของตลาด
  • โบรกเกอร์ดึงราคาจาก Liquidity Providers (LP)
    • โบรกเกอร์จะเชื่อมต่อกับธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านี้เพื่อนำราคามาเสนอให้ลูกค้า
    • ราคาที่เราเห็นจะขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และแหล่งสภาพคล่องที่ใช้
  • โบรกเกอร์ประเภท DD (Dealing Desk)
    • อาจตั้งราคาหรือปิดออเดอร์ภายในเองโดยไม่ส่งคำสั่งไปตลาดจริง
    • อาจเกิดความขัดแย้งผลประโยชน์กับเทรดเดอร์ได้ ต้องระวังเลือก โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ

เวลาเปิด-ปิดของตลาด Forex

  • Sydney Session (โอเชียเนีย)
    เปิดประมาณ 05:00 – 14:00 น.
  • Tokyo Session (เอเชีย)
    เปิดประมาณ 07:00 – 16:00 น.
  • London Session (ยุโรป)
    เปิดประมาณ 15:00 – 24:00 น.
  • New York Session (อเมริกา)
    เปิดประมาณ 20:00 – 05:00 น. (วันถัดไป)

ช่วงเวลาที่ตลาดทับซ้อนกัน 

  • Tokyo – London Overlap
    ประมาณ 15:00 – 16:00 น.
    ช่วงนี้เป็นเวลาที่ตลาดเอเชียและยุโรปรวมกัน เหมาะกับการเทรดคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินทั้งสองโซน
  • London – New York Overlap
    ประมาณ 20:00 – 24:00 น.
    ช่วงนี้เป็นเวลาที่ตลาดยุโรปและอเมริกาทำงานพร้อมกัน ถือเป็นช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแรงที่สุดและมีสภาพคล่องสูงสุด

ภาพแสดงถึงเวลาใน Time Zone ต่าง ๆ ของโลก ที่ตลาดของแต่ละโซนเปิด ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงตลาด London กับ New York คือที่สุดของการเทรดแล้ว

ทำไมตลาด Forex ถึงมีคนเทรดเยอะ?

  • ใช้เงินลงทุนน้อย เพราะมี Leverage ช่วยให้ซื้อขายได้ในขนาดใหญ่
  • ไม่ต้องรอให้ราคาขึ้นเหมือนหุ้น เพราะสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
  • มีเครื่องมือวิเคราะห์ เทคโนโลยี และข้อมูลข่าวสารช่วยตัดสินใจเทรด
  • เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ต้องผ่านการสอบหรือมีวุฒิการศึกษาเฉพาะทาง
  • ตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เทรดได้ตามเวลาที่สะดวก

ก่อนเริ่มเทรด ต้องรู้พื้นฐานพวกนี้ก่อน

Leverage กับ Margin คืออะไร ใช้ยังไงให้ไม่พัง

  • Leverage คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์
    • Leverage 1:100 ลงทุน 100 ดอลลาร์ เทรดได้เหมือนมี 10,000 ดอลลาร์
  • Margin คือเงินที่ถูกล็อกไว้เพื่อค้ำประกันการเปิดออเดอร์ 
    • เทรด 1 ล็อต EUR/USD ต้องใช้ Margin ประมาณ $1,000 หาก Leverage 1:100
  • ต้องคำนวณให้ดี เพราะยิ่ง Leverage สูง ก็เสี่ยงล้างพอร์ตเร็ว

Lot, Pip, และ Spread คือค่าพื้นฐานที่ต้องรู้

  • Lot = ขนาดของการซื้อขาย เช่น 1 ล็อตมาตรฐาน = 100,000 หน่วย
  • Pip = หน่วยเล็กสุดของการเคลื่อนไหวของราคา เช่น EUR/USD จาก 1.1000 ไป 1.1001 = 1 Pip
  • USD/JPY
    • ราคาเปลี่ยนจาก 110.00 เป็น 110.01 เท่ากับ 1 Pip
    • Pip ที่นี่คือเลขทศนิยมตำแหน่งที่ 2 (จุดที่สองหลังจุดทศนิยม) เพราะคู่เงินญี่ปุ่นใช้ทศนิยม 2 ตำแหน่ง
  • GBP/USD
    • ราคาเปลี่ยนจาก 1.3000 เป็น 1.3001 เท่ากับ 1 Pip
    • เช่นเดียวกับ EUR/USD จะดูที่ตำแหน่งทศนิยมที่ 4
  • AUD/USD
    • ราคาเปลี่ยนจาก 0.7000 เป็น 0.7001 เท่ากับ 1 Pip
    • Pip ที่ตำแหน่งทศนิยมที่ 4 เช่นกัน
  • ทองคำ (XAU/USD)
    • ราคาเปลี่ยนจาก 1950.00 เป็น 1950.10 เท่ากับ 1 Pip
    • ในทองคำ 1 Pip คือการเปลี่ยนแปลงที่ 0.10 (ตำแหน่งทศนิยมที่ 2)
    • ถ้าราคาเคลื่อนไหวจาก 1950.00 เป็น 1950.20 คือ 2 Pip
  • Spread = ค่าความต่างระหว่างราคาซื้อ (Ask) กับราคาขาย (Bid)
  • EUR/USD
    • ราคาขาย (Bid): 1.1000
    • ราคาซื้อ (Ask): 1.1002
    • Spread = 1.1002 – 1.1000 = 0.0002 หรือ 2 Pips
  • USD/JPY
    • ราคาขาย (Bid): 110.00
    • ราคาซื้อ (Ask): 110.03
    • Spread = 110.03 – 110.00 = 0.03 หรือ 3 Pips
  • GBP/USD
    • ราคาขาย (Bid): 1.3000
    • ราคาซื้อ (Ask): 1.3004
    • Spread = 1.3004 – 1.3000 = 0.0004 หรือ 4 Pips
  • AUD/USD
    • ราคาขาย (Bid): 0.7000
    • ราคาซื้อ (Ask): 0.7001
    • Spread = 0.7001 – 0.7000 = 0.0001 หรือ 1 Pip
  • ทองคำ (XAU/USD)
    • ราคาขาย (Bid): 1950.00
    • ราคาซื้อ (Ask): 1950.50
    • Spread = 1950.50 – 1950.00 = 0.50 หรือ 5 Pips (ถ้า 1 Pip = 0.10)
  • Spread คือค่าความต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย เป็นต้นทุนที่เราเสียเมื่อเปิดออเดอร์
  • คู่เงินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EUR/USD มักมี Spread ต่ำ (ประมาณ 1-3 Pips)
  • คู่เงินหรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ หรือช่วงเวลาที่ตลาดนิ่ง อาจมี Spread สูงขึ้น
  • Spread ต่ำช่วยให้เทรดเดอร์ประหยัดต้นทุน เหมาะกับกลยุทธ์เทรดระยะสั้น
  • เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่า Spread ต่ำ จะได้เปรียบมากในเรื่องของการซื้อขาย  

ภาพอธิบายถึงค่าสเปรด, ความห่างระหว่าง Pip รวมไปถึงราคาซื้อ/ขาย และ คู่เงิน Base และ Quote

วิธีเปิดออเดอร์: Buy, Sell, Pending Order

  • Pending Order คือคำสั่งเปิดออเดอร์ล่วงหน้าที่เรากำหนดราคาเข้าไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่เปิดออเดอร์ทันทีเหมือน Market Order
  • ใช้เพื่อรอให้ราคาวิ่งไปถึงจุดที่เราต้องการก่อน แล้วระบบจะเปิดออเดอร์ให้อัตโนมัติ
  • ชนิดของ Pending Order ที่นิยมใช้
    • Buy Limit
    • คำสั่งซื้อ (Buy) ที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
    • ใช้เมื่อต้องการซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาแตะจุดที่เชื่อว่าจะกลับขึ้นไป
    • ตัวอย่าง:
      • ราคาปัจจุบัน EUR/USD = 1.1200
      • ตั้ง Buy Limit ที่ 1.1150 (ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน)
      • เมื่อราคาปรับลงมาถึง 1.1150 ระบบจะเปิดออเดอร์ Buy ให้อัตโนมัติ
    • Sell Limit
    • คำสั่งขาย (Sell) ที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน
    • ใช้เมื่อต้องการขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปแตะจุดที่เชื่อว่าจะกลับลงมา
    • ตัวอย่าง:
      • ราคาปัจจุบัน USD/JPY = 110.00
      • ตั้ง Sell Limit ที่ 110.50 (สูงกว่าราคาปัจจุบัน)
      • เมื่อราคาขึ้นไปถึง 110.50 ระบบจะเปิดออเดอร์ Sell ให้อัตโนมัติ
    • Buy Stop
    • คำสั่งซื้อ (Buy) ที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน
    • ใช้เมื่อต้องการเข้าสถานะ Buy เมื่อราคา Breakout ขึ้นไปเหนือจุดที่กำหนด
    • ตัวอย่าง:
      • ราคาปัจจุบัน GBP/USD = 1.3000
      • ตั้ง Buy Stop ที่ 1.3050
      • ถ้าราคาวิ่งขึ้นไปแตะ 1.3050 ระบบจะเปิดออเดอร์ Buy ให้อัตโนมัติ
    • Sell Stop
    • คำสั่งขาย (Sell) ที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
    • ใช้เมื่อต้องการเข้าสถานะ Sell เมื่อราคาลงทะลุจุดที่กำหนด
    • ตัวอย่าง:
      • ราคาปัจจุบัน AUD/USD = 0.7000
      • ตั้ง Sell Stop ที่ 0.6950
      • ถ้าราคาลงไปแตะ 0.6950 ระบบจะเปิดออเดอร์ Sell ให้อัตโนมัติ

ดอกเบี้ยข้ามคืน (Swap) คืออะไร มีผลยังไง

  • ถ้าถือออเดอร์ข้ามคืน จะมีการคิดดอกเบี้ยตามสกุลเงินที่ถืออยู่
  • ถ้าเราถือสกุลเงินที่ดอกเบี้ยสูงกว่า จะได้ Swap บวก (รับดอกเบี้ย)
  • ถ้าถือสกุลเงินที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า จะเสีย Swap ลบ (จ่ายดอกเบี้ย)
  • เช่น เทรด USD/JPY แล้วถือ Buy ข้ามคืน อาจได้ Swap เพราะ USD ดอกเบี้ยสูงกว่า JPY

Part 2 – โบรกเกอร์ Forex คือใคร เลือกยังไงให้ปลอดภัย

โบรกเกอร์ทำหน้าที่อะไร

  • เป็นตัวกลางระหว่างเทรดเดอร์กับตลาดจริง
  • เปิดบัญชี ฝาก-ถอนเงิน และส่งคำสั่งซื้อขายของเราเข้าตลาด (หรือจำลองตลาดในกรณีบางประเภท)
  • มีหน้าที่ให้สภาพคล่อง ราคาซื้อขาย และแพลตฟอร์มสำหรับเทรด
  • โบรกเกอร์ Forex ที่ดีต้องมีเรทฝากถอนที่ต่ำ

ประเภทของโบรกเกอร์: DD กับ NDD ต่างกันยังไง

  • DD (Dealing Desk) = โบรกเกอร์ที่อาจรับแทงสวนกับลูกค้า กำไรเราคือขาดทุนเขา (Market Maker)
  • NDD (No Dealing Desk) = ส่งคำสั่งไปยังตลาดจริง มีทั้ง STP (ส่งตรง) และ ECN (รวมออเดอร์หลายรายในตลาดกลาง)
  • ถ้าเลือกได้ NDD จะโปร่งใสกว่า DD โดยเฉพาะเมื่อเราเทรดล็อตใหญ่หรือระยะยาว

ภาพอธิบายถึงโบรกเกอร์แบบ DD และ NDD ที่แบบแรกคือ การที่โบรกเกอร์รับแทงเอง และ แบบที่ 2 คือ ส่งเข้าตลาด

เลือกโบรกเกอร์จากอะไรบ้าง

  • ดูใบอนุญาตกำกับ 
    • FCA (อังกฤษ)
    • ASIC (ออสเตรเลีย)
    • CySEC (ไซปรัส)
  • ความเสถียรของระบบเทรดและความเร็วในการส่งคำสั่ง
  • ความโปร่งใสเรื่อง Spread, ค่าธรรมเนียม และ Swap
  • การฝาก-ถอนเงินสะดวก รองรับธนาคารไทยหรือไม่
  • รีวิวจากผู้ใช้งานจริงในกลุ่มเทรดเดอร์
  • เลือกโบรกเกอร์ Forex ดีที่สุดสำหรับคนไทย เป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้เราเทรดได้อย่างมั่นใจว่าจะถอนเงินได้จริง 

วิธีตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ถูกกฎหมายหรือไม่

  • ตรวจสอบใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FCA (อังกฤษ), ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ยุโรป)
  • ดูว่ามีข้อมูลติดต่อชัดเจน เช่น เบอร์โทร, ที่อยู่เว็บไซต์จริง
  • อ่านรีวิวจากแหล่งเชื่อถือได้ เช่น Forex Peace Army หรือ Trustpilot
  • ระวังโบรกที่ให้โบนัสเกินจริง หรือกดดันให้ฝากเงินเร็ว
  • ทดลองฝาก-ถอนเงินจริงดูว่าระบบรวดเร็วและไม่มีปัญหา

ตัวอย่างองค์กรที่มีการกำกับดูแลโบรกเกอร์ Forex อย่างเข้มงวด โดยเป็นองค์กรจากอังกฤษ,ออสเตรเลีย และ ไซปรัส 

การเปิดบัญชี Forex ต้องใช้อะไรบ้าง

เอกสารที่ต้องใช้ในการสมัคร

  • ส่วนใหญ่ใช้แค่บัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต (กรณีต่างประเทศ)
  • บางโบรกอาจขอเอกสารยืนยันที่อยู่ เช่น ใบแจ้งหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือ Bank Statement ที่มีชื่อและที่อยู่ของผู้สมัคร
  • สำคัญคือต้องชัดเจน ไม่เบลอ ไม่แก้ไขภาพ ไม่ดัดแปลง เพราะโบรกเกอร์จะปฏิเสธทันที

เลือกประเภทบัญชียังไง (Standard, Cent, ECN)

  • บัญชี Cent: เหมาะกับมือใหม่ เงินฝากเริ่มต้นน้อย เช่น 10 USD ก็เริ่มได้ ปริมาณเทรดถูกคูณเป็นหน่วยเซ็นต์
  • บัญชี Standard: เหมาะกับคนที่เริ่มจริงจัง มีเงินทุนระดับปานกลาง ใช้สเปรดคงที่หรือแปรผัน ขึ้นอยู่กับโบรก
  • บัญชี ECN: เหมาะกับมือโปร ส่งคำสั่งตรงเข้าตลาด Spread ต่ำมากแต่เสียค่าคอมมิชชันแทน เหมาะกับการเทรดแบบ Scalping หรือ News Trading

ขั้นตอนการฝากถอนเงินปลอดภัยไหม

หากคุณสมัครโบรกเกอร์ Forex จำเป็นมากที่จะต้องใช้เอกสารแบบชัดเจน ไม่เบลอ ไม่มีการแก้ไข บางโบรกเกอร์จะต้องยืนยันใบหน้าด้วย 

KYC และการยืนยันตัวตนคืออะไร

  • KYC = Know Your Customer เป็นขั้นตอนที่โบรกเกอร์ใช้ตรวจสอบว่าบัญชีที่เปิดมานั้นมีตัวตนจริง
  • โดยทั่วไปต้องส่งภาพบัตรประชาชน/พาสปอร์ต และเอกสารยืนยันที่อยู่
  • บางโบรกให้เราถ่ายเซลฟี่ถือเอกสาร เพื่อยืนยันว่าไม่ได้ใช้ของคนอื่นเปิดบัญชี

Part 3 – เทคนิคการเทรด Forex ทุกรูปแบบ

เทรดมือ (Manual Trading)

“สายนี้ต้องรักการวิเคราะห์และควบคุมทุกอย่างเอง เพราะเราคือคนตัดสินใจทั้งหมด”

  • เราเปิดกราฟเองทุกวัน มองแนวรับแนวต้าน เช็กแท่งเทียน หาสัญญาณเข้าออกออเดอร์
  • ใช้ทั้งเทคนิค (Technical) กับข่าวเศรษฐกิจ (Fundamental) ประกอบกัน
  • เหมาะกับคนที่อยากเรียนรู้และคุมความเสี่ยงด้วยมือของตัวเอง
  • ตัวอย่างที่หลายคนใช้กันก็คือ วิเคราะห์โซนแนวรับ-แนวต้าน แล้วรอแท่งเทียนให้ชัด ค่อยเข้าออเดอร์
  • อยากรู้ว่า โบรกเกอร์ไหนเทรดมือดีที่สุด คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ครับ 

เทรดด้วยบอท (EA – Expert Advisor)

“ถ้ารู้ระบบดี และเข้าใจกลไกของตลาด EA จะเป็นผู้ช่วยชั้นดี โดยเฉพาะคนไม่มีเวลาเฝ้าจอ”

  • คือการใช้โปรแกรมให้เทรดแทนเรา ทำงานตามสูตรที่เรากำหนด
  • ต้องเขียนหรือซื้อ EA ที่น่าเชื่อถือ แล้วเอามาทดสอบก่อนใช้งานจริง
  • คนที่ชอบระบบแน่น ๆ ไม่อยากปล่อยอารมณ์มาคุมการเทรด มักชอบทางนี้
  • บางตัวจะเทรดเฉพาะช่วงข่าว เช่น EA สำหรับ NFP โดยเฉพาะ ก็มีให้เห็นกันเยอะ

เทรดตามสัญญาณ (Signal Trading)

เหมาะกับคนที่ยังวิเคราะห์เองไม่คล่อง หรือไม่มีเวลาศึกษาเองตลอดทั้งวัน”

  • รับสัญญาณเทรดจากเทรดเดอร์มืออาชีพ หรือระบบวิเคราะห์ แล้วกดตาม
  • เดี๋ยวนี้หลายโบรกก็มีระบบ Copy Trade เลย แค่เลือกคนเก่ง แล้วให้ระบบ Copy ให้เรา
  • มือใหม่ที่อยากเริ่ม หรือคนที่ทำงานประจำ เวลาไม่เยอะ วิธีนี้ช่วยได้มาก

เทรดสั้น (Scalping)

“ถ้าใจนิ่งพอ และมีสมาธิสูงพอ นี่คือแนวทางที่ทำเงินเร็วมาก แต่ก็หมดเร็วได้เหมือนกัน”

  • เปิดปิดออเดอร์ในไม่กี่นาที เน้นเก็บกำไรสั้น ๆ ซ้ำ ๆ ตลอดวัน
  • ต้องใช้ Spread ต่ำ ความเร็วของคำสั่งต้องไว ใช้คู่เงินหลักเป็นหลัก
  • คนที่เทรดสไตล์นี้ต้องแม่น ไม่ลังเล และต้องควบคุมอารมณ์ได้ดี

เทรดรายวัน (Day Trading)“ถ้าคุณมีเวลาเฝ้ากราฟทั้งวัน และชอบวิเคราะห์ละเอียด นี่แหละเหมาะ”

  • เปิดออเดอร์แล้วปิดให้จบภายในวัน ไม่ถือข้ามคืนให้เสี่ยง
  • ใช้เครื่องมืออย่าง RSI, MACD, Fibonacci วางแผนหาจุดเข้าออก
  • เป็นรูปแบบที่บาลานซ์ดี เพราะได้เทรดทุกวัน แต่ไม่เหนื่อยเหมือน Scalping

จากภาพเห็นได้เลยว่าคนเทรดสั้นมักจะเล่นในจุด Timeframe เล็ก ๆ เพราะการเคลื่อนไหวของราคาในกรอบ ก็มองถึงการสร้างกำไรได้ดังภาพ แต่ในส่วนของคนที่ถือยาว มักจะมองภาพใหญ่ ที่ถือกำไรเข้า Buy หรือ Sell ในโซนเทคนิค เพราะคำนวณมาแล้ว

เทรดตามเทรนด์ (Trend Following)

“ของจริงที่มืออาชีพหลายคนเลือก เพราะมันชัด มีทิศทาง และความเสี่ยงน้อยกว่า”

  • รอดูให้ตลาดมีแนวโน้มชัดเจนก่อน แล้วค่อยตามน้ำ ไม่สวนเทรนด์
  • ใช้ Moving Average, Trendline, Breakout เป็นตัวช่วย
  • เหมาะกับคนที่ชอบเทรดแบบมั่นคง ไม่เสี่ยงเกินไป และรอได้

นักเทรดบางรายชอบมากในช่วงเทรดข่าว แน่นอนเพราะมันสร้างกำไรได้เยอะในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ต้องมานั่งรอทั้งวัน แต่อย่าลืมว่า คุณต้องไปถูกทาง และมีการวิเคราะห์แนวโน้มมาเป็นอย่างดี

เทรดข่าว (News Trading)

“เทรดแบบนี้ต้องไว ใจแข็ง และรู้ว่าตัวเองกำลังเสี่ยงกับอะไร”

  • เข้าออเดอร์ช่วงที่มีข่าวแรง เช่น NFP, ดอกเบี้ย หรือ CPI
  • ช่วงข่าวราคาจะเหวี่ยงแรงมาก บางครั้ง Spread ก็ขยายจนน่าตกใจ
  • ถ้าจัดการ Slippage ไม่ดี หรือเข้าออกช้า ก็เจ็บได้ง่ายมาก
  • ก็ต้องขอแนะนำเลยว่า Thaibrokerforex.com ได้รวบรวม โบรกเกอร์ที่เทรดข่าวดีที่สุด ได้จัดอันดับเอาไว้แล้ว 

Part 4 – การจัดการความเสี่ยง และ ยืนระยะ 

การล้างพอร์ตคืออะไร ทำไมเกิดบ่อย?

“ทุกคนที่ผ่านจุดนี้จะเข้าใจเลยว่า เทรดไม่ใช่แค่ได้กำไร แต่คือการอยู่รอดให้ได้ก่อน”

  • พอร์ตล้าง = เงินทุนหายหมด เพราะขาดทุนต่อเนื่องจนหมด
  • ส่วนใหญ่เกิดจากใช้ Leverage สูงเกินไป ไม่ตั้ง Stop Loss และเปิดหลายไม้เกินพอดี
  • ตัวอย่างที่เจอเยอะ: มีทุน 100 ดอลลาร์ ใช้ Leverage 1:100 เทรด 1 ล็อต พอกราฟสวนไปไม่ถึง 30 Pips พอร์ตก็วูบหาย

วิธีจัดการความเสี่ยง (Risk Management)

“เทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่บริหารความเสี่ยง ก็รอดยาก”

  • ต้องตั้ง Stop Loss ทุกไม้ แม้จะมั่นใจแค่ไหนก็ตาม
  • ความเสี่ยงต่อไม้ควรอยู่ที่ 1–2% ของทุนเท่านั้น
  • อย่าเปิดหลายไม้ในทิศทางเดียวแบบไม่มีเหตุผล ต้องกระจายความเสี่ยงให้ดี
  • ยอมขาดทุนเล็กน้อย ดีกว่าปล่อยให้พอร์ตพัง แล้วต้องเริ่มใหม่

จำไว้เลยว่า หากจะควบคุมความเสี่ยงจริง ๆ 1-2% ของพอร์ตัวเองเท่านั้นที่ยอมได้ ที่สำคัญ ต้องตั้ง SL ทุกไม้ Remember ไว้ให้ขึ้นใจ ยอมในจุดนี้ เพื่อไปชนะในจุดใหม่ สำคัญเสมอ

อย่าตกหลุม Overtrade และ Revenge Trade

“นี่คือกับดักทางอารมณ์ที่ฆ่าพอร์ตมานับไม่ถ้วน”

  • Overtrade = เทรดเกินเหตุ เทรดเพราะอยากได้ ไม่ใช่เพราะเห็นสัญญาณ
  • Revenge Trade = เทรดเพราะอยากเอาคืนตลาดหลังขาดทุนหนัก
  • ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มหัวร้อน ต้องหยุดทันที อย่าให้ความโลภหรือโกรธมาควบคุมการตัดสินใจ

คำศัพท์ Forex ที่เจอบ่อย และ นักเทรดต้องรู้

  • Slippage – สลีป-เพจ 
    • เกิดขึ้นเมื่อราคาที่คุณสั่งซื้อหรือขายไม่ตรงกับราคาที่ได้รับคำสั่งจริง เพราะตลาดผันผวนมาก ราคาขยับเร็ว
    • ตัวอย่าง:
      • คุณสั่ง Buy EUR/USD ที่ราคา 1.1200 แต่เมื่อคำสั่งส่งไป ราคาจริงตอนเปิดออเดอร์กลายเป็น 1.1205 เพราะตลาดเคลื่อนไหวเร็ว ทำให้คุณเสียเงินเพิ่มขึ้น 0.5 Pips
  • Requote – รี – โควต
    • คือกรณีที่โบรกเกอร์แจ้งว่าไม่สามารถเปิดออเดอร์ในราคาที่คุณเลือกได้ ต้องยืนยันราคาที่เปลี่ยนแปลงใหม่
    • ตัวอย่าง:
      • คุณกด Buy GBP/USD ที่ 1.3000 แต่โบรกแจ้งราคาใหม่ 1.3003 คุณต้องกดยืนยันคำสั่งใหม่ หรือยกเลิก
  • Stop Out – สตอป – เอาท์ 
    • เมื่อพอร์ตขาดทุนจนระดับ Margin (เงินค้ำประกัน) ลดต่ำกว่าค่าที่โบรกเกอร์กำหนด โบรกจะปิดออเดอร์บางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อป้องกันพอร์ตติดลบ
    • ตัวอย่าง:
      • คุณมีทุน 1,000 USD ใช้ Leverage 1:100 เปิดออเดอร์หลายรายการ แต่ขาดทุนจน Margin เหลือแค่ 10% โบรกจะเริ่มปิดออเดอร์อัตโนมัติ (Stop Out)
  • Drawdown – ดรอล – ดาวน์ 
    • คือช่วงเวลาที่พอร์ตของคุณติดลบเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดที่ผ่านมา เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของระบบเทรด
    • ตัวอย่าง:
      • พอร์ตสูงสุดของคุณคือ 10,000 USD แต่ขาดทุนจนเหลือ 8,000 USD ช่วงนี้เรียกว่า Drawdown 20%
      • Drawdown สูง แปลว่าเสี่ยงสูง ต้องปรับกลยุทธ์
  • Take Profit (TP) – เทค-โพ-ฟิต หรือ ทีพี / Stop Loss (SL) – สตอป – ลอส หรือ เอส-แอล
    • TP คือจุดกำไรที่ตั้งไว้ให้ระบบปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาถึงเป้าหมาย
    • SL คือจุดขาดทุนที่ตั้งไว้เพื่อจำกัดความเสียหาย ระบบจะปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาลงถึงจุดนี้
    • ตัวอย่าง:
    • เปิด Buy EUR/USD ที่ 1.1000
      • ตั้ง TP ที่ 1.1050 เพื่อปิดทำกำไรที่ +50 Pips
      • ตั้ง SL ที่ 1.0950 เพื่อจำกัดขาดทุนที่ -50 Pips

กำไรเท่าไหร่ไม่สำคัญ ถอนเงินออกมาใช้ได้หรือเปล่านี่เรื่องใหญ่ บางคน Overtrade นอกแผนเพราะหวังรวยเร็ว ที่ไหนได้ ทั้งกำไร และ เงินทุน สูญสิ้นไปหมด และนี่คือการเทรดแบบพนัน

คลิปที่น่าสนใจ 

  • ขอแนะนำคลิปที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพูดถึง Forex ที่บอกเรื่องนี้เอาไว้น่าสนใจมากเลยครับ เพราะว่ามันมีเรื่องความทุกข์ใจแอบแฝงมากกว่าความสุข จาก รายการข่าวใส่ไข่ จากช่อง Thairath News – ข่าวไทยรัฐ
  • Forex คืออะไร เตือนคนที่อยากเล่น ระวังเจอทุกข์มากกว่าสุข l ข่าวใส่ไข่ | ThairathTV

สรุป

  • Forex เหมาะกับใคร?
    • คนที่ชอบเรียนรู้และวิเคราะห์
      • ตลาด Forex เปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องติดตามข่าวสารและวิเคราะห์กราฟอยู่เสมอ
      • ตัวอย่าง: นักศึกษาหรือคนทำงานที่สนใจศึกษาเศรษฐกิจโลกและวิเคราะห์กราฟเป็นประจำ
    • คนมีวินัยและจัดการความเสี่ยงได้
      • ต้องตั้งกฎการเทรด เช่น ไม่โลภ ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และไม่เทรดเกินทุน
      • ตัวอย่าง: เทรดเดอร์ที่กำหนดขนาดล็อตและขาดทุนสูงสุดต่อวันไว้ชัดเจน
  • ควรเริ่มยังไงดี?
    • เริ่มจากบัญชีทดลอง (Demo Account)
      • ใช้เงินปลอมฝึกเทรดจริง เพื่อเข้าใจระบบและทดสอบกลยุทธ์โดยไม่เสียเงินจริง
      • ตัวอย่าง: ฝึกเทรดในบัญชี Demo เป็นเวลา 1-3 เดือนจนมั่นใจ
    • ศึกษาพื้นฐานให้แน่น
      • เข้าใจคำศัพท์ ตลาด Forex วิธีอ่านกราฟ และกลไกต่าง ๆ ก่อนลงเงินจริง
      • ตัวอย่าง: อ่านหนังสือ ดูวิดีโอเรียนรู้ และติดตามข่าวตลาดอย่างสม่ำเสมอ
  • เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
    • ตรวจสอบใบอนุญาต ความปลอดภัย และรีวิวก่อนเปิดบัญชีจริง
    • ตัวอย่าง: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงาน FCA, ASIC หรือ CySEC
  • ใช้ทุนที่ยอมเสียได้
    • ไม่ควรเอาเงินจำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายประจำวันหรือเงินกู้ มาเทรด เพราะมีความเสี่ยงสูง
    • ตัวอย่าง: กำหนดทุนเทรดเริ่มต้นแค่เงินเก็บสำรองที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
  • Forex ไม่ใช่ทางลัดรวยเร็ว แต่เป็นอาชีพที่ต้องลงทุนเวลาเรียนรู้และฝึกฝนจริงจัง
  • ถ้าเข้าใจตลาด มีวินัยและบริหารความเสี่ยงได้ดี จะสามารถทำกำไรและสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืน
  • อย่าใจร้อน รีบเร่ง แต่ต้องมีแผนและพัฒนาตัวเองตลอดเวลา

 

อ้างอิง 

FAQ – การเทรด Forex คืออะไร : สรุปภาพรวม เจาะลึกทุกแง่มุม

ความเสี่ยงในตลาด Forex สูงและเปลี่ยนแปลงเร็ว การจัดการความเสี่ยง เช่น ตั้ง Stop Loss และควบคุมขนาดล็อตจึงสำคัญกว่าการมีเทคนิคเพียงอย่างเดียว เพราะจะช่วยรักษาทุนและทำให้เรารอดในตลาดนี้ได้
Leverage ช่วยให้เทรดด้วยเงินทุนมากกว่าที่มีจริง แต่ถ้าใช้เกินพอดีจะเสี่ยงขาดทุนหนัก มือโปรจึงใช้ Leverage ต่ำเพื่อควบคุมความเสี่ยงและรักษาสภาพคล่องให้ปลอดภัย
ข่าวเศรษฐกิจและนโยบายธนาคารกลางมีผลต่อราคามาก มือโปรใช้ทั้งการวิเคราะห์ข่าวและกราฟเพื่อจับจังหวะเข้าออกตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
แผนเทรดช่วยลดอารมณ์และความโลภ ส่วนการจดบันทึกผลเทรดทำให้เราวิเคราะห์ข้อผิดพลาดและพัฒนากลยุทธ์จนสำเร็จ
เทรดต้องมีแผน วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยง ไม่ใช่เล่นโดยหวังโชค ใช้วินัยและความรู้ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างกำไรอย่างยั่งยืน

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen