Part-1 รู้จักกับ Forex ให้มากกว่าที่เคยรู้
- Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange หรือการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
- เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าการซื้อขายมากกว่า 7 ล้านล้านเหรียญต่อวัน
- เทรดเดอร์ซื้อขายเป็น “คู่เงิน” เช่น EUR/USD, USD/JPY
- เป้าหมายหลักคือทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน
- สิ่งสำคัญคือต้องรู้ข้อดี – ข้อเสีย ของ ตลาด Forex
- เกมนี้เล่นกับธนาคารกลาง นักลงทุนรายใหญ่มากมาย
- ต้องรู้จักด้วยว่าตลาดทำงานยังไง ?
ข้อดี-ข้อเสียของตลาด Forex ที่คนเทรดได้มาบอกต่อ
ข้อดีของตลาด Forex
- สภาพคล่องสูง เทรดเมื่อไหร่ก็เข้าออกได้ทันที
- ไม่ต้องกลัวติดดอย เพราะแค่คลิกก็ปิดออเดอร์ได้ทันที ไม่ต้องรอใครมาไล่ซื้อ
- ทำเงินได้ทุกที่ทุกเวลา แค่มีมือถือกับเน็ต
- อยู่ทะเลยังเปิดเทรดได้ บางทีจิบกาแฟก็ยังปั้นพอร์ตขึ้นมาได้เป็นพันเหรียญ
- ตลาดเปิด 24 ชั่วโมง จัดเวลาเทรดได้ตามไลฟ์สไตล์
- กลางวันทำงานประจำ กลางคืนเปิดกราฟ เทรดก่อนนอน ได้กำไรหลับฝันดี
- ใช้เงินเริ่มต้นน้อย แต่มี Leverage ช่วยเพิ่มโอกาส
- เริ่มต้นแค่ไม่กี่ร้อย แต่บริหารดี ๆ พอร์ตก็โตได้หลักหมื่นหลักแสน
- มีเครื่องมือวิเคราะห์ครบ พร้อมบทวิเคราะห์จากทั่วโลก
- ไม่ต้องเดา เพราะกราฟกับข่าวช่วยตัดสินใจ ทุกการเข้าออกมีเหตุผล
- เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
- ไม่ต้องรอตลาดขึ้นถึงจะได้เงิน ขาลงก็เข้าได้ ได้กำไรเหมือนกัน
- ฝึกวินัยและการควบคุมอารมณ์อย่างมาก
- ยิ่งเทรด ยิ่งเข้าใจตัวเอง พอใจนิ่ง เงินก็มาตามจังหวะ
ข้อเสียของตลาด Forex (ที่คนมีกำไรก็ยังเตือน)
- ถ้าไม่มีแผน เล่นตามอารมณ์ พอร์ตหายเร็วมาก
- ช่วงเริ่มต้นเคยหมดเป็นหมื่น เพราะไม่ยอมคัทลอส
- Leverage สูง ถ้าไม่รู้จักควบคุม ก็พังได้เร็ว
- มันเหมือนดาบสองคม ได้เยอะก็เสียเร็ว ถ้าไม่รู้จักวางแผน
- ต้องใช้เวลาเรียนรู้เยอะ และต้องเรียนรู้ตลอดเวลา
- ตลาดเปลี่ยนทุกวัน ต้องอัปเดตความรู้ตลอด ไม่งั้นตามไม่ทัน
- ความผันผวนสูง โดยเฉพาะช่วงข่าวแรง ๆ
- เคยโดนลากจนล้างพอร์ตเพราะ NFP มาแรงเกินคาด
- บางคนหลงใหลเกินไป กลายเป็นติดเทรด
- เคยเปิดกราฟทั้งวันจนเสียงาน เสียสุขภาพ ต้องรู้จักบาลานซ์ให้ดี
- เจอโบรกเกอร์ไม่ดี เสี่ยงโดนโกงหรือรีโควต
- ต้องเลือกโบรกให้ดี ไม่งั้นถอนเงินไม่ได้ หรือราคาหลอก
จุดเด่นของตลาด Forex คือ การทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และ ขาลง ยิ่งเป็น xau/usd บอกเลย ขึ้นลงเร็วมากภายในไม่กี่นาที สายเทรดแบบ Scalping ทำกำไรกันอย่างสนุก
ใครอยู่ในตลาด Forex บ้าง
ธนาคารกลาง (Central Banks)
- Federal Reserve (Fed) ของสหรัฐ
- European Central Bank (ECB) ของยุโรป
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT)
- หน้าที่หลักคือควบคุมเสถียรภาพค่าเงินของประเทศ เช่น การกำหนดดอกเบี้ย หรือการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อป้องกันค่าเงินผันผวนเกินควร
- ธนาคารกลางมีอิทธิพลต่อราคาคู่เงินมาก เพราะสามารถซื้อหรือขายเงินจำนวนมหาศาลในตลาด
- ตัวอย่าง: Fed ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่งผลต่อตลาดทั่วโลก
ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินใหญ่ (Commercial Banks & Financial Institutions)
- เป็นผู้ซื้อขายหลักในตลาด Interbank ที่ทำธุรกรรมระหว่างธนาคารด้วยกันเอง
- ทำหน้าที่เป็น Liquidity Providers หรือผู้ให้สภาพคล่องกับโบรกเกอร์และลูกค้า
- ปริมาณการซื้อขายมหาศาล ทำให้ราคาขยับตามคำสั่งซื้อขายของกลุ่มนี้
- ธนาคารเหล่านี้มักใช้ Forex เพื่อบริหารความเสี่ยงในธุรกิจหรือทำกำไรจากการเก็งกำไร
กองทุนเฮดจ์ฟันด์และกองทุนรวม (Hedge Funds & Investment Funds)
- ใช้กลยุทธ์การลงทุนในตลาด Forex เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
- มีเงินทุนมหาศาล ทำให้ส่งผลต่อตลาดในช่วงเวลาสำคัญได้
- บางกองทุนใช้เทคนิคการวิเคราะห์ขั้นสูง หรือบอทเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading) เพื่อสร้างผลตอบแทน
- ตัวอย่าง: กองทุนที่คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลง อาจเปิดสถานะ Sell EUR/USD จำนวนมาก
บริษัทนำเข้า-ส่งออกและธุรกิจข้ามชาติ (Corporations)
- ต้องซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ
- ใช้ Forex เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น บริษัทส่งออก อยากล็อกต้นทุนขายล่วงหน้า
- ทำธุรกรรมซื้อขายตามความจำเป็น ไม่ได้เน้นเก็งกำไร
- ตัวอย่าง: บริษัทในไทยต้องจ่ายเงินดอลลาร์ให้ซัพพลายเออร์ต่างประเทศ อาจใช้ Forex เพื่อแลกเปลี่ยนล่วงหน้า
เทรดเดอร์รายย่อย (Retail Traders)
- คือบุคคลทั่วไปที่เข้ามา เทรด Forex ผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์
- มีเงินทุนจำกัด เมื่อเทียบกับผู้เล่นรายใหญ่ แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้ถ้ารู้จักวางแผนและจัดการความเสี่ยงดี
- ข้อได้เปรียบคือความคล่องตัว เราเทรดได้ทุกเวลา เลือกคู่เงินตามความถนัด และปรับกลยุทธ์เร็ว
- ตัวอย่าง: คนทำงานประจำที่เทรดตอนเย็นหลังเลิกงาน เพื่อเก็งกำไรจากข่าวเศรษฐกิจ
นักเก็งกำไร (Speculators)
- อาจเป็นทั้งรายย่อยหรือสถาบันที่เน้นเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสั้น ๆ
- มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มสภาพคล่องและช่วยให้ตลาดเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
- บางครั้งสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดระยะสั้น ทำให้ราคาผันผวน
นักลงทุนระยะยาว (Long-term Investors)
- ลงทุนเพื่อถือสกุลเงินระยะยาว เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือบริษัทที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
- ไม่ค่อยเทรดบ่อย แต่ส่งผลต่อตลาดในเชิงเสถียรภาพระยะยาว
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed และ ECB ธนาคารกลางยุโรป คือหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของตลาด Forex แน่นอนว่าหากมีข่าวเกี่ยวกับองค์กรเหล่านี้ ย่อมกระทบต่อราคา Forex
ทำไมการรู้ว่าใครอยู่ในตลาดถึงสำคัญ?
- เข้าใจว่าตลาด Forex ไม่ได้มีแค่เราหรือรายย่อย แต่มีผู้เล่นระดับโลกที่ทำให้ตลาดใหญ่และมีความซับซ้อน
- ช่วยให้วิเคราะห์พฤติกรรมราคาว่าจะไปทางไหน เช่น หากธนาคารกลางประกาศนโยบายใหม่ ราคามักจะผันผวนแรง
- รู้จัก “จับจังหวะ” การเข้าออกตลาดให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้เล่นแต่ละกลุ่ม
คู่เงินคืออะไร เลือกยังไงให้เหมาะ
- คู่เงิน (Currency Pair) คือการจับคู่ของสกุลเงินสองสกุลเพื่อทำการแลกเปลี่ยน เช่น GBP/USD หมายถึงการซื้อขายเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD)
- การเทรด Forex คือการซื้อเงินสกุลหนึ่งและขายเงินอีกสกุลหนึ่งพร้อมกัน โดยราคาของคู่เงินบอกว่าต้องใช้กี่หน่วยของสกุลเงินตัวหลัง (Quote currency) เพื่อซื้อ 1 หน่วยของสกุลเงินตัวแรก (Base currency)
ประเภทของคู่เงินหลัก ๆ ในตลาด Forex
คู่หลัก (Major Pairs)
- เป็นคู่เงินที่เทรดเยอะที่สุดในโลก โดยมักจะมี USD เป็นหนึ่งในสกุลเงิน
- EUR/USD
- USD/JPY
- GBP/USD
- USD/CHF
- AUD/USD
- USD/CAD
- NZD/USD
- มีสภาพคล่องสูงมาก ทำให้มีสเปรด (ส่วนต่างราคาซื้อขาย) ต่ำ ต้นทุนการเทรดถูก
- เหมาะกับมือใหม่และเทรดเดอร์ทุกระดับ เพราะราคาขยับเป็นไปตามเทรนด์ใหญ่ มีข้อมูลข่าวสารรองรับมาก
- EUR/USD มักถูกเรียกว่า “Fiber” เป็นคู่ที่เทรดมากที่สุดในโลก เพราะทั้งยุโรปและสหรัฐฯ มีเศรษฐกิจใหญ่
คู่รอง (Minor Pairs)
- เป็นคู่เงินที่ไม่มี USD เป็นส่วนประกอบ แต่มีสกุลเงินหลักอื่น
- EUR/GBP
- EUR/AUD
- GBP/JPY
- EUR/JPY
- มีสภาพคล่องน้อยกว่าคู่หลัก ทำให้สเปรดสูงขึ้น และราคาผันผวนมากกว่า
- เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ ต้องการโอกาสกำไรจากความผันผวนสูง
- ข้อมูลข่าวสารของคู่เงินเหล่านี้อาจมีน้อยกว่าคู่หลัก ต้องติดตามข่าวของทั้งสองประเทศ
คู่เงินแปลก (Exotic Pairs)
- เป็นคู่เงินที่รวมสกุลเงินหลักกับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กหรือกำลังพัฒนา
- USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐ/บาทไทย)
- USD/ZAR (ดอลลาร์สหรัฐ/แรนด์แอฟริกาใต้)
- EUR/TRY (ยูโร/ลีราตุรกี)
- มีสภาพคล่องต่ำ สเปรดสูง และราคาผันผวนมาก อาจเกิดช่องว่างราคาหรือสลิปเพจ (Slippage) ได้บ่อย
- เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีความรู้ลึกเรื่องตลาดโลกและเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น
- บางครั้งเหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้นมาก เพราะความผันผวนสูง
ภาพอธิบายให้เข้าใจเรื่องของคู่เงินได้ง่ายขึ้น กับ ประเภททั้ง 3 ที่นิยมในการเทรด Forex
วิธีเลือกคู่เงินให้เหมาะกับตัวเอง
- มือใหม่ควรเริ่มจากคู่หลัก เพราะมีข้อมูลข่าวสารเยอะ วิเคราะห์ง่ายและมีความเสี่ยงต่ำกว่า
- ถ้าเน้นความผันผวนเพื่อเก็งกำไรเร็ว อาจเลือกคู่รอง หรือคู่แปลก แต่ต้องเข้าใจความเสี่ยงที่มากขึ้น
- ดูเวลาทำการตลาดของคู่เงินนั้น ๆ เพราะแต่ละคู่จะมีช่วงเวลาที่เคลื่อนไหวมาก เช่น EUR/USD เคลื่อนไหวแรงช่วงตลาดยุโรปและสหรัฐฯ
- พิจารณาข้อมูลข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ ของประเทศในคู่เงินนั้น เช่น การประกาศดอกเบี้ย ตัวเลขเศรษฐกิจ จะส่งผลต่อราคามาก
- เลือกโบรกเกอร์ที่ โบรกเกอร์ Forex ยอดนิยมที่สุด ในไทย
ตัวอย่างการอ่านราคาในคู่เงิน
- คู่ EUR/USD ราคา 1.1200 หมายความว่า ต้องใช้ 1.12 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อ 1 ยูโร
- ถ้าเราคาดว่า EUR จะแข็งค่าขึ้นเทียบกับ USD เราจะเปิดสถานะ Buy EUR/USD
- หาก EUR อ่อนค่าลงเทียบกับ USD เราจะเปิดสถานะ Sell EUR/USD
ตลาด Forex ทำงานยังไงกันแน่
ใครเป็นคนตั้งราคาซื้อขายในตลาด Forex?
- ราคามาจากระบบ Interbank
- ธนาคารใหญ่ ๆ ทั่วโลก (เช่น JP Morgan, Citi, Deutsche Bank) จะประมูลราคากันเอง
- ราคานี้เรียกว่า “ราคาอินเตอร์แบงก์” เป็นราคาต้นทางของตลาด
- โบรกเกอร์ดึงราคาจาก Liquidity Providers (LP)
- โบรกเกอร์จะเชื่อมต่อกับธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านี้เพื่อนำราคามาเสนอให้ลูกค้า
- ราคาที่เราเห็นจะขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และแหล่งสภาพคล่องที่ใช้
- โบรกเกอร์ประเภท DD (Dealing Desk)
- อาจตั้งราคาหรือปิดออเดอร์ภายในเองโดยไม่ส่งคำสั่งไปตลาดจริง
- อาจเกิดความขัดแย้งผลประโยชน์กับเทรดเดอร์ได้ ต้องระวังเลือก โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
เวลาเปิด-ปิดของตลาด Forex
- Sydney Session (โอเชียเนีย)
เปิดประมาณ 05:00 – 14:00 น. - Tokyo Session (เอเชีย)
เปิดประมาณ 07:00 – 16:00 น. - London Session (ยุโรป)
เปิดประมาณ 15:00 – 24:00 น. - New York Session (อเมริกา)
เปิดประมาณ 20:00 – 05:00 น. (วันถัดไป)
ช่วงเวลาที่ตลาดทับซ้อนกัน
- Tokyo – London Overlap
ประมาณ 15:00 – 16:00 น.
ช่วงนี้เป็นเวลาที่ตลาดเอเชียและยุโรปรวมกัน เหมาะกับการเทรดคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินทั้งสองโซน - London – New York Overlap
ประมาณ 20:00 – 24:00 น.
ช่วงนี้เป็นเวลาที่ตลาดยุโรปและอเมริกาทำงานพร้อมกัน ถือเป็นช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแรงที่สุดและมีสภาพคล่องสูงสุด
ภาพแสดงถึงเวลาใน Time Zone ต่าง ๆ ของโลก ที่ตลาดของแต่ละโซนเปิด ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงตลาด London กับ New York คือที่สุดของการเทรดแล้ว
ทำไมตลาด Forex ถึงมีคนเทรดเยอะ?
- ใช้เงินลงทุนน้อย เพราะมี Leverage ช่วยให้ซื้อขายได้ในขนาดใหญ่
- ไม่ต้องรอให้ราคาขึ้นเหมือนหุ้น เพราะสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
- มีเครื่องมือวิเคราะห์ เทคโนโลยี และข้อมูลข่าวสารช่วยตัดสินใจเทรด
- เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ต้องผ่านการสอบหรือมีวุฒิการศึกษาเฉพาะทาง
- ตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เทรดได้ตามเวลาที่สะดวก
ก่อนเริ่มเทรด ต้องรู้พื้นฐานพวกนี้ก่อน
Leverage กับ Margin คืออะไร ใช้ยังไงให้ไม่พัง
- Leverage คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์
- Leverage 1:100 ลงทุน 100 ดอลลาร์ เทรดได้เหมือนมี 10,000 ดอลลาร์
- Margin คือเงินที่ถูกล็อกไว้เพื่อค้ำประกันการเปิดออเดอร์
- เทรด 1 ล็อต EUR/USD ต้องใช้ Margin ประมาณ $1,000 หาก Leverage 1:100
- ต้องคำนวณให้ดี เพราะยิ่ง Leverage สูง ก็เสี่ยงล้างพอร์ตเร็ว
Lot, Pip, และ Spread คือค่าพื้นฐานที่ต้องรู้
- Lot = ขนาดของการซื้อขาย เช่น 1 ล็อตมาตรฐาน = 100,000 หน่วย
- Pip = หน่วยเล็กสุดของการเคลื่อนไหวของราคา เช่น EUR/USD จาก 1.1000 ไป 1.1001 = 1 Pip
- USD/JPY
- ราคาเปลี่ยนจาก 110.00 เป็น 110.01 เท่ากับ 1 Pip
- Pip ที่นี่คือเลขทศนิยมตำแหน่งที่ 2 (จุดที่สองหลังจุดทศนิยม) เพราะคู่เงินญี่ปุ่นใช้ทศนิยม 2 ตำแหน่ง
- GBP/USD
- ราคาเปลี่ยนจาก 1.3000 เป็น 1.3001 เท่ากับ 1 Pip
- เช่นเดียวกับ EUR/USD จะดูที่ตำแหน่งทศนิยมที่ 4
- AUD/USD
- ราคาเปลี่ยนจาก 0.7000 เป็น 0.7001 เท่ากับ 1 Pip
- Pip ที่ตำแหน่งทศนิยมที่ 4 เช่นกัน
- ทองคำ (XAU/USD)
- ราคาเปลี่ยนจาก 1950.00 เป็น 1950.10 เท่ากับ 1 Pip
- ในทองคำ 1 Pip คือการเปลี่ยนแปลงที่ 0.10 (ตำแหน่งทศนิยมที่ 2)
- ถ้าราคาเคลื่อนไหวจาก 1950.00 เป็น 1950.20 คือ 2 Pip
- Spread = ค่าความต่างระหว่างราคาซื้อ (Ask) กับราคาขาย (Bid)
- EUR/USD
- ราคาขาย (Bid): 1.1000
- ราคาซื้อ (Ask): 1.1002
- Spread = 1.1002 – 1.1000 = 0.0002 หรือ 2 Pips
- USD/JPY
- ราคาขาย (Bid): 110.00
- ราคาซื้อ (Ask): 110.03
- Spread = 110.03 – 110.00 = 0.03 หรือ 3 Pips
- GBP/USD
- ราคาขาย (Bid): 1.3000
- ราคาซื้อ (Ask): 1.3004
- Spread = 1.3004 – 1.3000 = 0.0004 หรือ 4 Pips
- AUD/USD
- ราคาขาย (Bid): 0.7000
- ราคาซื้อ (Ask): 0.7001
- Spread = 0.7001 – 0.7000 = 0.0001 หรือ 1 Pip
- ทองคำ (XAU/USD)
- ราคาขาย (Bid): 1950.00
- ราคาซื้อ (Ask): 1950.50
- Spread = 1950.50 – 1950.00 = 0.50 หรือ 5 Pips (ถ้า 1 Pip = 0.10)
- Spread คือค่าความต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย เป็นต้นทุนที่เราเสียเมื่อเปิดออเดอร์
- คู่เงินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EUR/USD มักมี Spread ต่ำ (ประมาณ 1-3 Pips)
- คู่เงินหรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ หรือช่วงเวลาที่ตลาดนิ่ง อาจมี Spread สูงขึ้น
- Spread ต่ำช่วยให้เทรดเดอร์ประหยัดต้นทุน เหมาะกับกลยุทธ์เทรดระยะสั้น
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่า Spread ต่ำ จะได้เปรียบมากในเรื่องของการซื้อขาย
ภาพอธิบายถึงค่าสเปรด, ความห่างระหว่าง Pip รวมไปถึงราคาซื้อ/ขาย และ คู่เงิน Base และ Quote
วิธีเปิดออเดอร์: Buy, Sell, Pending Order
- Pending Order คือคำสั่งเปิดออเดอร์ล่วงหน้าที่เรากำหนดราคาเข้าไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่เปิดออเดอร์ทันทีเหมือน Market Order
- ใช้เพื่อรอให้ราคาวิ่งไปถึงจุดที่เราต้องการก่อน แล้วระบบจะเปิดออเดอร์ให้อัตโนมัติ
- ชนิดของ Pending Order ที่นิยมใช้
- Buy Limit
- คำสั่งซื้อ (Buy) ที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
- ใช้เมื่อต้องการซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาแตะจุดที่เชื่อว่าจะกลับขึ้นไป
- ตัวอย่าง:
- ราคาปัจจุบัน EUR/USD = 1.1200
- ตั้ง Buy Limit ที่ 1.1150 (ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน)
- เมื่อราคาปรับลงมาถึง 1.1150 ระบบจะเปิดออเดอร์ Buy ให้อัตโนมัติ
- Sell Limit
- คำสั่งขาย (Sell) ที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน
- ใช้เมื่อต้องการขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปแตะจุดที่เชื่อว่าจะกลับลงมา
- ตัวอย่าง:
- ราคาปัจจุบัน USD/JPY = 110.00
- ตั้ง Sell Limit ที่ 110.50 (สูงกว่าราคาปัจจุบัน)
- เมื่อราคาขึ้นไปถึง 110.50 ระบบจะเปิดออเดอร์ Sell ให้อัตโนมัติ
- Buy Stop
- คำสั่งซื้อ (Buy) ที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน
- ใช้เมื่อต้องการเข้าสถานะ Buy เมื่อราคา Breakout ขึ้นไปเหนือจุดที่กำหนด
- ตัวอย่าง:
- ราคาปัจจุบัน GBP/USD = 1.3000
- ตั้ง Buy Stop ที่ 1.3050
- ถ้าราคาวิ่งขึ้นไปแตะ 1.3050 ระบบจะเปิดออเดอร์ Buy ให้อัตโนมัติ
- Sell Stop
- คำสั่งขาย (Sell) ที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
- ใช้เมื่อต้องการเข้าสถานะ Sell เมื่อราคาลงทะลุจุดที่กำหนด
- ตัวอย่าง:
- ราคาปัจจุบัน AUD/USD = 0.7000
- ตั้ง Sell Stop ที่ 0.6950
- ถ้าราคาลงไปแตะ 0.6950 ระบบจะเปิดออเดอร์ Sell ให้อัตโนมัติ
ดอกเบี้ยข้ามคืน (Swap) คืออะไร มีผลยังไง
- ถ้าถือออเดอร์ข้ามคืน จะมีการคิดดอกเบี้ยตามสกุลเงินที่ถืออยู่
- ถ้าเราถือสกุลเงินที่ดอกเบี้ยสูงกว่า จะได้ Swap บวก (รับดอกเบี้ย)
- ถ้าถือสกุลเงินที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า จะเสีย Swap ลบ (จ่ายดอกเบี้ย)
- เช่น เทรด USD/JPY แล้วถือ Buy ข้ามคืน อาจได้ Swap เพราะ USD ดอกเบี้ยสูงกว่า JPY
Part 2 – โบรกเกอร์ Forex คือใคร เลือกยังไงให้ปลอดภัย
โบรกเกอร์ทำหน้าที่อะไร
- เป็นตัวกลางระหว่างเทรดเดอร์กับตลาดจริง
- เปิดบัญชี ฝาก-ถอนเงิน และส่งคำสั่งซื้อขายของเราเข้าตลาด (หรือจำลองตลาดในกรณีบางประเภท)
- มีหน้าที่ให้สภาพคล่อง ราคาซื้อขาย และแพลตฟอร์มสำหรับเทรด
- โบรกเกอร์ Forex ที่ดีต้องมีเรทฝากถอนที่ต่ำ
ประเภทของโบรกเกอร์: DD กับ NDD ต่างกันยังไง
- DD (Dealing Desk) = โบรกเกอร์ที่อาจรับแทงสวนกับลูกค้า กำไรเราคือขาดทุนเขา (Market Maker)
- NDD (No Dealing Desk) = ส่งคำสั่งไปยังตลาดจริง มีทั้ง STP (ส่งตรง) และ ECN (รวมออเดอร์หลายรายในตลาดกลาง)
- ถ้าเลือกได้ NDD จะโปร่งใสกว่า DD โดยเฉพาะเมื่อเราเทรดล็อตใหญ่หรือระยะยาว
ภาพอธิบายถึงโบรกเกอร์แบบ DD และ NDD ที่แบบแรกคือ การที่โบรกเกอร์รับแทงเอง และ แบบที่ 2 คือ ส่งเข้าตลาด
เลือกโบรกเกอร์จากอะไรบ้าง
- ดูใบอนุญาตกำกับ
- ความเสถียรของระบบเทรดและความเร็วในการส่งคำสั่ง
- ความโปร่งใสเรื่อง Spread, ค่าธรรมเนียม และ Swap
- การฝาก-ถอนเงินสะดวก รองรับธนาคารไทยหรือไม่
- รีวิวจากผู้ใช้งานจริงในกลุ่มเทรดเดอร์
- เลือกโบรกเกอร์ Forex ดีที่สุดสำหรับคนไทย เป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้เราเทรดได้อย่างมั่นใจว่าจะถอนเงินได้จริง
วิธีตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ถูกกฎหมายหรือไม่
- ตรวจสอบใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FCA (อังกฤษ), ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ยุโรป)
- ดูว่ามีข้อมูลติดต่อชัดเจน เช่น เบอร์โทร, ที่อยู่เว็บไซต์จริง
- อ่านรีวิวจากแหล่งเชื่อถือได้ เช่น Forex Peace Army หรือ Trustpilot
- ระวังโบรกที่ให้โบนัสเกินจริง หรือกดดันให้ฝากเงินเร็ว
- ทดลองฝาก-ถอนเงินจริงดูว่าระบบรวดเร็วและไม่มีปัญหา
ตัวอย่างองค์กรที่มีการกำกับดูแลโบรกเกอร์ Forex อย่างเข้มงวด โดยเป็นองค์กรจากอังกฤษ,ออสเตรเลีย และ ไซปรัส
การเปิดบัญชี Forex ต้องใช้อะไรบ้าง
เอกสารที่ต้องใช้ในการสมัคร
- ส่วนใหญ่ใช้แค่บัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต (กรณีต่างประเทศ)
- บางโบรกอาจขอเอกสารยืนยันที่อยู่ เช่น ใบแจ้งหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือ Bank Statement ที่มีชื่อและที่อยู่ของผู้สมัคร
- สำคัญคือต้องชัดเจน ไม่เบลอ ไม่แก้ไขภาพ ไม่ดัดแปลง เพราะโบรกเกอร์จะปฏิเสธทันที
เลือกประเภทบัญชียังไง (Standard, Cent, ECN)
- บัญชี Cent: เหมาะกับมือใหม่ เงินฝากเริ่มต้นน้อย เช่น 10 USD ก็เริ่มได้ ปริมาณเทรดถูกคูณเป็นหน่วยเซ็นต์
- บัญชี Standard: เหมาะกับคนที่เริ่มจริงจัง มีเงินทุนระดับปานกลาง ใช้สเปรดคงที่หรือแปรผัน ขึ้นอยู่กับโบรก
- บัญชี ECN: เหมาะกับมือโปร ส่งคำสั่งตรงเข้าตลาด Spread ต่ำมากแต่เสียค่าคอมมิชชันแทน เหมาะกับการเทรดแบบ Scalping หรือ News Trading
ขั้นตอนการฝากถอนเงินปลอดภัยไหม
- ถ้าโบรกมีใบอนุญาตและระบบชัดเจน ฝากถอนผ่านช่องทางธนาคารไทยหรือ E-wallet จะปลอดภัย
- ดูว่าโบรกมีระบบถอนเงินอัตโนมัติหรือไม่ (Auto-withdrawal) จะช่วยให้ได้เงินไว
- ระวังโบรกที่ “ถอนเงินยาก” หรือ “ต้องพูดคุยกับพนักงานก่อนถอน” มักมีเจตนาแอบแฝง
- โบรกเกอร์ Forex เงินฝากต่ำสุด
- โบรกเกอร์ Forex การฝากถอนที่ดีที่สุด
- โบรกเกอร์ Forex ฝากถอนเงินเร็วที่สุด
หากคุณสมัครโบรกเกอร์ Forex จำเป็นมากที่จะต้องใช้เอกสารแบบชัดเจน ไม่เบลอ ไม่มีการแก้ไข บางโบรกเกอร์จะต้องยืนยันใบหน้าด้วย
KYC และการยืนยันตัวตนคืออะไร
- KYC = Know Your Customer เป็นขั้นตอนที่โบรกเกอร์ใช้ตรวจสอบว่าบัญชีที่เปิดมานั้นมีตัวตนจริง
- โดยทั่วไปต้องส่งภาพบัตรประชาชน/พาสปอร์ต และเอกสารยืนยันที่อยู่
- บางโบรกให้เราถ่ายเซลฟี่ถือเอกสาร เพื่อยืนยันว่าไม่ได้ใช้ของคนอื่นเปิดบัญชี
Part 3 – เทคนิคการเทรด Forex ทุกรูปแบบ
เทรดมือ (Manual Trading)
“สายนี้ต้องรักการวิเคราะห์และควบคุมทุกอย่างเอง เพราะเราคือคนตัดสินใจทั้งหมด”
- เราเปิดกราฟเองทุกวัน มองแนวรับแนวต้าน เช็กแท่งเทียน หาสัญญาณเข้าออกออเดอร์
- ใช้ทั้งเทคนิค (Technical) กับข่าวเศรษฐกิจ (Fundamental) ประกอบกัน
- เหมาะกับคนที่อยากเรียนรู้และคุมความเสี่ยงด้วยมือของตัวเอง
- ตัวอย่างที่หลายคนใช้กันก็คือ วิเคราะห์โซนแนวรับ-แนวต้าน แล้วรอแท่งเทียนให้ชัด ค่อยเข้าออเดอร์
- อยากรู้ว่า โบรกเกอร์ไหนเทรดมือดีที่สุด คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ครับ
เทรดด้วยบอท (EA – Expert Advisor)
“ถ้ารู้ระบบดี และเข้าใจกลไกของตลาด EA จะเป็นผู้ช่วยชั้นดี โดยเฉพาะคนไม่มีเวลาเฝ้าจอ”
- คือการใช้โปรแกรมให้เทรดแทนเรา ทำงานตามสูตรที่เรากำหนด
- ต้องเขียนหรือซื้อ EA ที่น่าเชื่อถือ แล้วเอามาทดสอบก่อนใช้งานจริง
- คนที่ชอบระบบแน่น ๆ ไม่อยากปล่อยอารมณ์มาคุมการเทรด มักชอบทางนี้
- บางตัวจะเทรดเฉพาะช่วงข่าว เช่น EA สำหรับ NFP โดยเฉพาะ ก็มีให้เห็นกันเยอะ
เทรดตามสัญญาณ (Signal Trading)
“เหมาะกับคนที่ยังวิเคราะห์เองไม่คล่อง หรือไม่มีเวลาศึกษาเองตลอดทั้งวัน”
- รับสัญญาณเทรดจากเทรดเดอร์มืออาชีพ หรือระบบวิเคราะห์ แล้วกดตาม
- เดี๋ยวนี้หลายโบรกก็มีระบบ Copy Trade เลย แค่เลือกคนเก่ง แล้วให้ระบบ Copy ให้เรา
- มือใหม่ที่อยากเริ่ม หรือคนที่ทำงานประจำ เวลาไม่เยอะ วิธีนี้ช่วยได้มาก
เทรดสั้น (Scalping)
“ถ้าใจนิ่งพอ และมีสมาธิสูงพอ นี่คือแนวทางที่ทำเงินเร็วมาก แต่ก็หมดเร็วได้เหมือนกัน”
- เปิดปิดออเดอร์ในไม่กี่นาที เน้นเก็บกำไรสั้น ๆ ซ้ำ ๆ ตลอดวัน
- ต้องใช้ Spread ต่ำ ความเร็วของคำสั่งต้องไว ใช้คู่เงินหลักเป็นหลัก
- คนที่เทรดสไตล์นี้ต้องแม่น ไม่ลังเล และต้องควบคุมอารมณ์ได้ดี
เทรดรายวัน (Day Trading)“ถ้าคุณมีเวลาเฝ้ากราฟทั้งวัน และชอบวิเคราะห์ละเอียด นี่แหละเหมาะ”
- เปิดออเดอร์แล้วปิดให้จบภายในวัน ไม่ถือข้ามคืนให้เสี่ยง
- ใช้เครื่องมืออย่าง RSI, MACD, Fibonacci วางแผนหาจุดเข้าออก
- เป็นรูปแบบที่บาลานซ์ดี เพราะได้เทรดทุกวัน แต่ไม่เหนื่อยเหมือน Scalping
จากภาพเห็นได้เลยว่าคนเทรดสั้นมักจะเล่นในจุด Timeframe เล็ก ๆ เพราะการเคลื่อนไหวของราคาในกรอบ ก็มองถึงการสร้างกำไรได้ดังภาพ แต่ในส่วนของคนที่ถือยาว มักจะมองภาพใหญ่ ที่ถือกำไรเข้า Buy หรือ Sell ในโซนเทคนิค เพราะคำนวณมาแล้ว
เทรดตามเทรนด์ (Trend Following)
“ของจริงที่มืออาชีพหลายคนเลือก เพราะมันชัด มีทิศทาง และความเสี่ยงน้อยกว่า”
- รอดูให้ตลาดมีแนวโน้มชัดเจนก่อน แล้วค่อยตามน้ำ ไม่สวนเทรนด์
- ใช้ Moving Average, Trendline, Breakout เป็นตัวช่วย
- เหมาะกับคนที่ชอบเทรดแบบมั่นคง ไม่เสี่ยงเกินไป และรอได้
นักเทรดบางรายชอบมากในช่วงเทรดข่าว แน่นอนเพราะมันสร้างกำไรได้เยอะในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ต้องมานั่งรอทั้งวัน แต่อย่าลืมว่า คุณต้องไปถูกทาง และมีการวิเคราะห์แนวโน้มมาเป็นอย่างดี
เทรดข่าว (News Trading)
“เทรดแบบนี้ต้องไว ใจแข็ง และรู้ว่าตัวเองกำลังเสี่ยงกับอะไร”
- เข้าออเดอร์ช่วงที่มีข่าวแรง เช่น NFP, ดอกเบี้ย หรือ CPI
- ช่วงข่าวราคาจะเหวี่ยงแรงมาก บางครั้ง Spread ก็ขยายจนน่าตกใจ
- ถ้าจัดการ Slippage ไม่ดี หรือเข้าออกช้า ก็เจ็บได้ง่ายมาก
- ก็ต้องขอแนะนำเลยว่า Thaibrokerforex.com ได้รวบรวม โบรกเกอร์ที่เทรดข่าวดีที่สุด ได้จัดอันดับเอาไว้แล้ว
Part 4 – การจัดการความเสี่ยง และ ยืนระยะ
การล้างพอร์ตคืออะไร ทำไมเกิดบ่อย?
“ทุกคนที่ผ่านจุดนี้จะเข้าใจเลยว่า เทรดไม่ใช่แค่ได้กำไร แต่คือการอยู่รอดให้ได้ก่อน”
- พอร์ตล้าง = เงินทุนหายหมด เพราะขาดทุนต่อเนื่องจนหมด
- ส่วนใหญ่เกิดจากใช้ Leverage สูงเกินไป ไม่ตั้ง Stop Loss และเปิดหลายไม้เกินพอดี
- ตัวอย่างที่เจอเยอะ: มีทุน 100 ดอลลาร์ ใช้ Leverage 1:100 เทรด 1 ล็อต พอกราฟสวนไปไม่ถึง 30 Pips พอร์ตก็วูบหาย
วิธีจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
“เทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่บริหารความเสี่ยง ก็รอดยาก”
- ต้องตั้ง Stop Loss ทุกไม้ แม้จะมั่นใจแค่ไหนก็ตาม
- ความเสี่ยงต่อไม้ควรอยู่ที่ 1–2% ของทุนเท่านั้น
- อย่าเปิดหลายไม้ในทิศทางเดียวแบบไม่มีเหตุผล ต้องกระจายความเสี่ยงให้ดี
- ยอมขาดทุนเล็กน้อย ดีกว่าปล่อยให้พอร์ตพัง แล้วต้องเริ่มใหม่
จำไว้เลยว่า หากจะควบคุมความเสี่ยงจริง ๆ 1-2% ของพอร์ตัวเองเท่านั้นที่ยอมได้ ที่สำคัญ ต้องตั้ง SL ทุกไม้ Remember ไว้ให้ขึ้นใจ ยอมในจุดนี้ เพื่อไปชนะในจุดใหม่ สำคัญเสมอ
อย่าตกหลุม Overtrade และ Revenge Trade
“นี่คือกับดักทางอารมณ์ที่ฆ่าพอร์ตมานับไม่ถ้วน”
- Overtrade = เทรดเกินเหตุ เทรดเพราะอยากได้ ไม่ใช่เพราะเห็นสัญญาณ
- Revenge Trade = เทรดเพราะอยากเอาคืนตลาดหลังขาดทุนหนัก
- ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มหัวร้อน ต้องหยุดทันที อย่าให้ความโลภหรือโกรธมาควบคุมการตัดสินใจ
คำศัพท์ Forex ที่เจอบ่อย และ นักเทรดต้องรู้
- Slippage – สลีป-เพจ
- เกิดขึ้นเมื่อราคาที่คุณสั่งซื้อหรือขายไม่ตรงกับราคาที่ได้รับคำสั่งจริง เพราะตลาดผันผวนมาก ราคาขยับเร็ว
- ตัวอย่าง:
- คุณสั่ง Buy EUR/USD ที่ราคา 1.1200 แต่เมื่อคำสั่งส่งไป ราคาจริงตอนเปิดออเดอร์กลายเป็น 1.1205 เพราะตลาดเคลื่อนไหวเร็ว ทำให้คุณเสียเงินเพิ่มขึ้น 0.5 Pips
- Requote – รี – โควต
- คือกรณีที่โบรกเกอร์แจ้งว่าไม่สามารถเปิดออเดอร์ในราคาที่คุณเลือกได้ ต้องยืนยันราคาที่เปลี่ยนแปลงใหม่
- ตัวอย่าง:
- คุณกด Buy GBP/USD ที่ 1.3000 แต่โบรกแจ้งราคาใหม่ 1.3003 คุณต้องกดยืนยันคำสั่งใหม่ หรือยกเลิก
- Stop Out – สตอป – เอาท์
- เมื่อพอร์ตขาดทุนจนระดับ Margin (เงินค้ำประกัน) ลดต่ำกว่าค่าที่โบรกเกอร์กำหนด โบรกจะปิดออเดอร์บางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อป้องกันพอร์ตติดลบ
- ตัวอย่าง:
- คุณมีทุน 1,000 USD ใช้ Leverage 1:100 เปิดออเดอร์หลายรายการ แต่ขาดทุนจน Margin เหลือแค่ 10% โบรกจะเริ่มปิดออเดอร์อัตโนมัติ (Stop Out)
- Drawdown – ดรอล – ดาวน์
- คือช่วงเวลาที่พอร์ตของคุณติดลบเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดที่ผ่านมา เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของระบบเทรด
- ตัวอย่าง:
- พอร์ตสูงสุดของคุณคือ 10,000 USD แต่ขาดทุนจนเหลือ 8,000 USD ช่วงนี้เรียกว่า Drawdown 20%
- Drawdown สูง แปลว่าเสี่ยงสูง ต้องปรับกลยุทธ์
- Take Profit (TP) – เทค-โพ-ฟิต หรือ ทีพี / Stop Loss (SL) – สตอป – ลอส หรือ เอส-แอล
- TP คือจุดกำไรที่ตั้งไว้ให้ระบบปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาถึงเป้าหมาย
- SL คือจุดขาดทุนที่ตั้งไว้เพื่อจำกัดความเสียหาย ระบบจะปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาลงถึงจุดนี้
- ตัวอย่าง:
- เปิด Buy EUR/USD ที่ 1.1000
- ตั้ง TP ที่ 1.1050 เพื่อปิดทำกำไรที่ +50 Pips
- ตั้ง SL ที่ 1.0950 เพื่อจำกัดขาดทุนที่ -50 Pips
กำไรเท่าไหร่ไม่สำคัญ ถอนเงินออกมาใช้ได้หรือเปล่านี่เรื่องใหญ่ บางคน Overtrade นอกแผนเพราะหวังรวยเร็ว ที่ไหนได้ ทั้งกำไร และ เงินทุน สูญสิ้นไปหมด และนี่คือการเทรดแบบพนัน
คลิปที่น่าสนใจ
- ขอแนะนำคลิปที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพูดถึง Forex ที่บอกเรื่องนี้เอาไว้น่าสนใจมากเลยครับ เพราะว่ามันมีเรื่องความทุกข์ใจแอบแฝงมากกว่าความสุข จาก รายการข่าวใส่ไข่ จากช่อง Thairath News – ข่าวไทยรัฐ
- Forex คืออะไร เตือนคนที่อยากเล่น ระวังเจอทุกข์มากกว่าสุข l ข่าวใส่ไข่ | ThairathTV
สรุป
- Forex เหมาะกับใคร?
- คนที่ชอบเรียนรู้และวิเคราะห์
- ตลาด Forex เปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องติดตามข่าวสารและวิเคราะห์กราฟอยู่เสมอ
- ตัวอย่าง: นักศึกษาหรือคนทำงานที่สนใจศึกษาเศรษฐกิจโลกและวิเคราะห์กราฟเป็นประจำ
- คนมีวินัยและจัดการความเสี่ยงได้
- ต้องตั้งกฎการเทรด เช่น ไม่โลภ ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และไม่เทรดเกินทุน
- ตัวอย่าง: เทรดเดอร์ที่กำหนดขนาดล็อตและขาดทุนสูงสุดต่อวันไว้ชัดเจน
- คนที่ชอบเรียนรู้และวิเคราะห์
- ควรเริ่มยังไงดี?
- เริ่มจากบัญชีทดลอง (Demo Account)
- ใช้เงินปลอมฝึกเทรดจริง เพื่อเข้าใจระบบและทดสอบกลยุทธ์โดยไม่เสียเงินจริง
- ตัวอย่าง: ฝึกเทรดในบัญชี Demo เป็นเวลา 1-3 เดือนจนมั่นใจ
- ศึกษาพื้นฐานให้แน่น
- เข้าใจคำศัพท์ ตลาด Forex วิธีอ่านกราฟ และกลไกต่าง ๆ ก่อนลงเงินจริง
- ตัวอย่าง: อ่านหนังสือ ดูวิดีโอเรียนรู้ และติดตามข่าวตลาดอย่างสม่ำเสมอ
- เริ่มจากบัญชีทดลอง (Demo Account)
- เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
- ตรวจสอบใบอนุญาต ความปลอดภัย และรีวิวก่อนเปิดบัญชีจริง
- ตัวอย่าง: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงาน FCA, ASIC หรือ CySEC
- ใช้ทุนที่ยอมเสียได้
- ไม่ควรเอาเงินจำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายประจำวันหรือเงินกู้ มาเทรด เพราะมีความเสี่ยงสูง
- ตัวอย่าง: กำหนดทุนเทรดเริ่มต้นแค่เงินเก็บสำรองที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
- Forex ไม่ใช่ทางลัดรวยเร็ว แต่เป็นอาชีพที่ต้องลงทุนเวลาเรียนรู้และฝึกฝนจริงจัง
- ถ้าเข้าใจตลาด มีวินัยและบริหารความเสี่ยงได้ดี จะสามารถทำกำไรและสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืน
- อย่าใจร้อน รีบเร่ง แต่ต้องมีแผนและพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
อ้างอิง
- How To Start Forex Trading: A Guide To Making Money with Forex: https://www.investopedia.com/articles/forex/11/why-trade-forex.asp
- What is Forex and how it differs from other markets: https://academy.ftmo.com/lesson/what-is-forex-and-how-it-differs-from-other-markets/?gad_source=1&gad_campaignid=22468820331&gbraid=0AAAAA91C-00NC1LnfoVeY7Bild_f-rzeP&gclid=Cj0KCQjwss3DBhC3ARIsALdgYxPyGJ8s1YgHrLC9wzgsXmYveOMsO2wVBLJplncDm2IV8I15lcxuzUUaAi78EALw_wcB
- What is Technical Analysis? https://www.babypips.com/learn/forex/technical-analysis
- What is forex trading?: What Is Forex? | Charles Schwab Futures and Forex
- Demystifying foreign exchange: https://business.bofa.com/en-us/content/what-is-forex-trading-and-how-does-it-work.html
FAQ – การเทรด Forex คืออะไร : สรุปภาพรวม เจาะลึกทุกแง่มุม


















