การเทรดข่าว หรือ การเทรดโดยอาศัยข่าว คืออะไร?
การเทรดข่าว (News Trading) คือ กลยุทธ์ การเทรดทำกำไรในระยะสั้น โดยอาศัยความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ตลาด Forex ซึ่งเป็นตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวสารสูง เทรดเดอร์จะวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางของตลาดหลังข่าวออก เพื่อเข้าทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น
หัวใจสำคัญของการเทรดข่าวคือ การเข้า-ออกออเดอร์ให้ถูกจังหวะ หากคาดการณ์ทิศทางได้แม่นยำ ก็สามารถสร้างผลกำไรก้อนใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน หากคาดการณ์ผิดพลาดหรือเข้าผิดจังหวะ ก็อาจทำให้ขาดทุนอย่างหนักได้เช่นกัน
การเทรดข่าวมีหลักการอย่างไร?
หลักการสำคัญที่สุดของการเทรดข่าวคือ การทำกำไรจากความคาดไม่ถึงของตลาด โดยอาศัยความแตกต่างระหว่างตัวเลขเศรษฐกิจ (Forex Factory) ที่ ประกาศจริง (Actual) กับตัวเลขที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ (Forecast) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้
1. ช่วงก่อนข่าวออก – “การซื้อตามข่าวลือ” (The Rumor)
นี่คือช่วงเวลาที่กลยุทธ์ “เทรดตามความคาดการณ์ (Trading the Forecast)” และส่วนแรกของ “Buy the Rumor, Sell the Fact” เกิดขึ้น
- เกิดอะไรขึ้น: ในช่วงหลายชั่วโมงหรือหลายวันก่อนข่าวสำคัญจะออก นักลงทุนรายใหญ่ สถาบันการเงิน และเทรดเดอร์ที่มีข้อมูลเชิงลึก จะเริ่มวิเคราะห์และคาดการณ์ผลลัพธ์ของข่าว พวกเขาจะเริ่มเข้าซื้อขาย (เปิด Position) เพื่อดักทางไว้ล่วงหน้า การกระทำนี้เรียกว่า “การวางตำแหน่ง” (Positioning)
- หลักการ:
- ตลาดจะเริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ “คาดการณ์ (Forecast)” ไว้ล่วงหน้า
- ตัวอย่าง: หากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงาน (NFP) ของสหรัฐฯ จะออกมาดีมาก (สูงกว่าครั้งก่อน) ตลาดก็จะเริ่ม “ซึมซับ” ข่าวดีนี้เข้าไปก่อน โดยการเข้า Buy สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทำให้ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น ก่อนที่ข่าวจะประกาศจริงเสียอีก
- ใครใช้กลยุทธ์นี้: เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สูง หรือนักลงทุนสถาบันที่ต้องการเข้าเทรดด้วยต้นทุนที่ดีที่สุดก่อนที่ตลาดจะผันผวนรุนแรง
2. ณ เวลาข่าวออก – “การเทรดตามข่าวจริง” (The News Release)
ช่วงเวลาที่กลยุทธ์ “เทรดตามข่าวจริง (Trading the News Release)” ถูกนำมาใช้ และเป็นช่วงที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากที่สุด
- เกิดอะไรขึ้น: ณ เวลาที่ข่าวประกาศจริง ตลาดจะเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงและฉับพลันต่อ “ความประหลาดใจ” หรือความแตกต่างระหว่าง ตัวเลขจริง (Actual) กับ ตัวเลขคาดการณ์ (Forecast)
- หลักการ (เป็นกฎพื้นฐานที่สุด):
- กรณีที่ 1: ผลลัพธ์ “เซอร์ไพรส์” ตลาด
- ถ้า Actual ดีกว่า Forecast อย่างมีนัยสำคัญ: กราฟจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงตามทิศทางนั้น (เช่น USD แข็งค่าขึ้นอีก) เทรดเดอร์ที่รอจังหวะนี้จะเข้า Buy ตามทันที
- ถ้า Actual แย่กว่า Forecast อย่างมีนัยสำคัญ: กราฟจะดิ่งลงอย่างรุนแรง (เช่น USD อ่อนค่าลง) เทรดเดอร์จะเข้า Sell
- กรณีที่ 2: ผลลัพธ์ “เป็นไปตามคาด”
- ถ้า Actual ใกล้เคียงกับ Forecast มาก: ตลาดอาจไม่เคลื่อนไหวรุนแรง หรืออาจเกิดเหตุการณ์ในองก์ที่ 3 ต่อไป
- กรณีที่ 1: ผลลัพธ์ “เซอร์ไพรส์” ตลาด
- ใครใช้กลยุทธ์นี้: เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ (รายย่อย) ที่ต้องการความแน่นอนของข้อมูลก่อนตัดสินใจ และยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนสูง (Slippage, Spread ถ่าง) ในช่วงเวลานี้
3. ช่วงหลังข่าวออก – “การขายเมื่อข่าวจริงออก” (The Fact)
ช่วงเวลาที่ส่วนที่สามของกลยุทธ์ “Buy the Rumor, Sell the Fact” เกิดขึ้น และเป็นช่วงที่สร้างความสับสนให้เทรดเดอร์มือใหม่มากที่สุด
- เกิดอะไรขึ้น: หลังจากที่ราคาพุ่งไปตามข่าวในช่วงแรกแล้ว สักพักราคาอาจ วิ่งสวนทางกลับมาอย่างรุนแรง แม้ว่าข่าวจะออกมาดีก็ตาม
- หลักการ:
- ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะนักลงทุนกลุ่มแรก (ในองก์ที่ 1) ที่ได้เข้า Buy ดักไว้ล่วงหน้า ได้เห็นแล้วว่าข่าวจริงออกมาดีตามที่พวกเขาคาดการณ์ไว้
- เมื่อไม่มีปัจจัยใหม่ๆ ให้คาดหวังต่อแล้ว พวกเขาจึงเริ่ม “ขายเพื่อทำกำไร” (Take Profit) การเทขายจำนวนมากนี้เองที่กดดันให้ราคาวิ่งสวนกลับลงมา
- สรุปง่ายๆ คือ: ราคาไม่ได้ตกเพราะข่าวไม่ดี แต่ตกเพราะ “แรงขายทำกำไร” หลังจากที่ข่าวดีได้ถูกรับรู้ไปหมดแล้ว
- ใครใช้กลยุทธ์นี้: เป็นการอธิบายพฤติกรรมของ “ผู้เล่นรายใหญ่” และเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะนำมาพิจารณาเพื่อหาจังหวะเข้าเทรดสวน หรือใช้เป็นจุดออกจากออเดอร์ของตัวเอง
ตารางภาพรวมในการเทรดข่าว
กลยุทธ์ | ช่วงเวลาที่เข้าเทรด | หลักการ/เหตุผล | เหมาะสำหรับ |
---|---|---|---|
เทรดตามความคาดการณ์ | ก่อนข่าวออก | เดิมพันว่าตัวเลขจริงจะออกมาตามที่คาดการณ์ เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ดีที่สุด | เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ (ความเสี่ยงสูง) |
เทรดตามข่าวจริง | ทันทีที่ข่าวออก | เทรดตามปฏิกิริยาของตลาดต่อความแตกต่างระหว่าง "ตัวเลขจริง" และ "ตัวเลขคาดการณ์" | เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ (เป็นหลักการพื้นฐาน) |
Buy the Rumor, Sell the Fact | ก่อนข่าวออก (Buy) และ หลังข่าวออก (Sell) | เข้าซื้อเมื่อตลาดยังเป็นแค่ "ข่าวลือ" และขายทำกำไรเมื่อ "ข่าวจริง" ได้รับการยืนยันแล้ว | เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สูงเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมตลาดเชิงลึก |
ความสำคัญของข่าวกับการเทรด Forex
ข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวเศรษฐกิจ คือ ตัวขับเคลื่อนหลักที่สร้างความเคลื่อนไหวและสภาพคล่องให้กับตลาด Forex อย่างมหาศาล สกุลเงินของแต่ละประเทศเปรียบเสมือนหุ้นของประเทศนั้นๆ ดังนั้น สุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศจึงสะท้อนออกมาในค่าเงิน
การติดตามและทำความเข้าใจข่าวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะข่าวจากสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น สิ่งจำเป็น สำหรับเทรดเดอร์ Forex ทุกคน เพื่อที่จะเข้าใจทิศทางของตลาดและหาโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. ข่าวคือ “ชีพจร” ของเศรษฐกิจที่สะท้อนในค่าเงิน
ในโลกของ Forex ข่าวเศรษฐกิจ ก็คือ รายงานผลประกอบการของประเทศ
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP): เปรียบได้กับ “ยอดขายรวม” ของประเทศ ถ้า GDP เติบโตดี ก็เหมือนบริษัทที่มียอดขายเพิ่มขึ้น หุ้น (ค่าเงิน) ก็น่าสนใจ
- อัตราการจ้างงาน (Employment Rate / NFP): เหมือนกับ “กำลังการผลิตและขวัญกำลังใจของพนักงาน” ถ้าคนมีงานทำเยอะ ก็มีเงินจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจก็หมุนเวียนดี
- อัตราเงินเฟ้อ (CPI): คล้ายกับ “นโยบายการตั้งราคาสินค้า” ของบริษัท ถ้าเงินเฟ้อสูงเกินไป ธนาคารกลางอาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุม ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยจะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อสกุลเงินเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่า
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest Rate): นี่คือ “เงินปันผล” ที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือสกุลเงินนั้นๆ ประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า (เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีความมั่นคงใกล้เคียงกัน) ย่อมดึงดูดเงินทุนไหลเข้าได้ดีกว่า
ดังนั้น เมื่อมีข่าวเหล่านี้ประกาศออกมา เทรดเดอร์ทั่วโลกจะตีความข่าวเหล่านั้นเพื่อ “แนวโน้ม” ของประเทศ แล้วจึงตัดสินใจเข้าซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) สกุลเงินนั้นๆ
2. ทำไมข่าวจากสหรัฐอเมริกาจึงเป็น “ศูนย์กลางของตลาด”
เหตุผลที่ข่าวจากสหรัฐฯ มีอิทธิพลเหนือข่าวจากประเทศอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะโครงสร้างของระบบการเงินโลกที่ผูกโยงกับเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) อย่างแยกไม่ออก
A. USD คือสกุลเงินสำรองหลักของโลก (World’s Reserve Currency)
คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด เงินดอลลาร์ไม่ใช่แค่เงินของอเมริกา แต่เป็น “ภาษากลางทางการเงินของโลก”
- การค้าขายสินค้าระหว่างประเทศ: สินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในโลก เช่น น้ำมันดิบ และ ทองคำ ถูกซื้อขายและตั้งราคาเป็นสกุลเงิน USD เป็นหลัก ไม่ว่าประเทศไหนจะซื้อหรือขายน้ำมัน ก็ต้องทำธุรกรรมผ่านเงิน USD ทำให้เกิดความต้องการ (Demand) เงินดอลลาร์อยู่ตลอดเวลา
- ทุนสำรองระหว่างประเทศ: ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะถือครองเงิน USD ไว้เป็นส่วนใหญ่ของทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของตนเอง
- หนี้สินระหว่างประเทศ: การกู้ยืมเงินระหว่างประเทศหรือบริษัทข้ามชาติ มักจะทำในรูปของสกุลเงิน USD
B. ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก (The World’s Largest Economy)
เศรษฐกิจสหรัฐฯ เปรียบเสมือน “เครื่องยนต์หลักของรถไฟเศรษฐกิจโลก” หากเครื่องยนต์นี้ทำงานได้ดี รถไฟทั้งขบวนก็จะวิ่งไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าเครื่องยนต์สะดุด ทั้งขบวนก็ย่อมได้รับผลกระทบ
- ผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด: สหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก เมื่อชาวอเมริกันมีกำลังซื้อสูง ก็จะสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น จีน, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นเติบโตตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว การนำเข้าก็จะลดลงและส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าโดยตรง
- ศูนย์กลางการลงทุน: ตลาดหุ้นและตลาดการเงินของสหรัฐฯ (เช่น Wall Street) เป็นตลาดที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูดี เงินทุนจากทั่วโลกก็จะไหลเข้ามาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนมหาศาลนี้เองที่ทำให้ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้นและส่งผลกระทบต่อค่าเงินสกุลอื่น
C. คู่เงินหลักส่วนใหญ่ผูกติดกับ USD (Most Major Pairs are Tied to USD)
ในตลาด Forex คู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก (Major Pairs) ล้วนมี USD เป็นองค์ประกอบ เช่น:
- EUR/USD (ยูโร vs ดอลลาร์สหรัฐ)
- GBP/USD (ปอนด์อังกฤษ vs ดอลลาร์สหรัฐ)
- USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ vs เยนญี่ปุ่น)
- USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ vs ฟรังก์สวิส)
- AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย vs ดอลลาร์สหรัฐ)
- USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ vs ดอลลาร์แคนาดา)
ข่าว Forex ที่ส่งผลกระทบรุนแรง
ข่าวเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่เทรดเดอร์ทั่วโลกจับตามอง และมักสร้างความผันผวนให้ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
การประชุมธนาคารกลาง (FED, ECB, BOE, BOJ):
- การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Decision): สำคัญที่สุด! การขึ้นดอกเบี้ยทำให้สกุลเงินแข็งค่า การลดดอกเบี้ยทำให้อ่อนค่า
- ถ้อยแถลงนโยบายการเงิน: คำพูดหรือแถลงการณ์ของประธานธนาคารกลาง (เช่น ประธาน FED) สามารถให้เบาะแสเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคตและส่งผลต่อตลาดอย่างรุนแรง
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Non-Farm Payrolls – NFP):
- คือ: รายงานจำนวนการจ้างงานใหม่ในสหรัฐฯ (ไม่รวมภาคเกษตร) ประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน
- ความสำคัญ: เป็นตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยตรง
- ผลกระทบ: NFP สูงกว่าคาด = USD แข็งค่า, NFP ต่ำกว่าคาด = USD อ่อนค่า
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product – GDP):
- คือ: มูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในประเทศ
- ความสำคัญ: เป็นมาตรวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กว้างที่สุด
- ผลกระทบ: GDP สูงกว่าคาด = เศรษฐกิจเติบโตดี = สกุลเงินแข็งค่า
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI):
- คือ: การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคจ่าย
- ความสำคัญ: เป็นตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญที่สุด
- ผลกระทบ: CPI สูง บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อสูง อาจทำให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุม ส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่า
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index – PMI):
- คือ: แบบสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิตและบริการ
- ความสำคัญ: เป็นตัวชี้นำภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
- ผลกระทบ: ค่า PMI สูงกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจขยายตัว (ดีต่อสกุลเงิน), ต่ำกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจหดตัว (แย่ต่อสกุลเงิน)
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
- โอกาสทำกำไรสูงในเวลาอันรวดเร็ว: สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากจากความผันผวนของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ
- มีทิศทางที่ค่อนข้างชัดเจน: หากข่าวออกมาแตกต่างจากที่คาดการณ์มากๆ มักจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางเดียวอย่างรุนแรง
- มีตารางเวลาที่แน่นอน: เทรดเดอร์สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ว่าจะเทรดในช่วงเวลาใด โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา
ข้อเสีย
- ความเสี่ยงสูงมาก: ความผันผวนที่รุนแรงอาจทำให้ขาดทุนอย่างหนักและรวดเร็วได้เช่นกันหากคาดการณ์ผิดทาง
- Spread ถ่าง (Widening Spreads): ในช่วงข่าวออก โบรกเกอร์มักจะขยายค่า Spread (ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ-ขาย) ให้กว้างขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้นและทำกำไรได้ยากขึ้น
- Slippage (การคลาดเคลื่อนของราคา): เนื่องจากความผันผวนสูงและปริมาณคำสั่งซื้อขายมหาศาล คำสั่งเทรดของคุณอาจถูกจับคู่ในราคาที่แตกต่างไปจากราคาที่คุณกดสั่งซื้อ ซึ่งอาจทำให้ได้ราคาที่เสียเปรียบ
- ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์: การเทรดข่าวให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ และการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีสติ
คลิปที่น่าสนใจ
เรื่อง โบรกเกอร์ Forex เทรดชนข่าวได้ดีที่สุด ในปี 2025: thai brokerforex
- [00:58] – คุณสมบัติของโบรกเกอร์ที่เหมาะกับการเทรดข่าว:
- [01:04] ไม่เกิด Requote และมี Slippage ต่ำ (ราคาไม่คลาดเคลื่อนจากที่กดสั่งซื้อมากนัก)
- [01:21] Spread ไม่ถ่างมาก หรือมีความเสถียรในช่วงข่าวออก
- [01:39] มีบัญชีประเภท ECN หรือ Raw Spread ให้บริการ
- [01:50] มีผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Provider) ที่มีคุณภาพสูง
- [02:09] – เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินและทดสอบโบรกเกอร์:
- [02:15] ความเร็วในการเปิดออเดอร์ (ก่อนข่าวออก)
- [02:24] ความเร็วในการเปิดออเดอร์ (ระหว่างข่าวออก)
- [02:32] ค่า Spread (ก่อนข่าวออก)
- [02:44] การถ่างของ Spread สูงสุด (หลังข่าวออก)
- [02:55] ระยะเวลาที่ Spread กลับมาเป็นปกติ
- [04:01] – การประกาศผล 5 อันดับโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดสำหรับการเทรดข่าว:
- [05:16] อันดับ 5: FBS
- [06:40] อันดับ 4: Exness
- [07:25] อันดับ 3: Eightcap
- [08:10] อันดับ 2: Vantage
- [08:49] อันดับ 1: VT Markets
สรุป
การเทรดข่าวมีความสำคัญในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดเพื่อทำกำไรระยะสั้น โดยอาศัยหลักการเปรียบเทียบ ตัวเลขจริง (Actual) กับ ตัวเลขคาดการณ์ (Forecast) จากการประกาศข่าวเศรษฐกิจ หากผลลัพธ์ดีกว่าที่คาด สกุลเงินมักแข็งค่าขึ้น และหากแย่กว่าคาดก็จะอ่อนค่าลง เทรดเดอร์จึงใช้จังหวะนี้เข้าเทรดตามทิศทางราคาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงสูงจาก Spread ที่กว้างและ Slippage จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม
อ้างอิง
- ปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar). (ม.ป.ป.). Forex Factory. https://www.forexfactory.com/calendar
- Investing.com. (ม.ป.ป.). เครื่องมือทางการเงินชั้นนำระดับโลก. https://th.investing.com/
FAQ — การเทรดข่าว (การเทรดโดยอาศัยข่าว) คืออะไร? มีหลักการอย่างไร?