โบรกเกอร์ A-Book คืออะไร?

  • ส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปยังผู้ให้สภาพคล่อง Liquidity Provider – LP โดยตรง 
  • โบรกเกอร์ไม่แทรกแซงคำสั่งซื้อขาย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับลูกค้า 
  • ทำกำไรจาก ค่าสเปรด หรือ ค่าคอมมิชชั่นเท่านั้น 
  • เทรดเดอร์ จะเจอกับสภาพตลาดจริง ราคาตลาดจริง ไม่มี การรีโควต

โบรกเกอร์ B-Book คืออะไร?

  • โบรกเกอร์ ทำหน้าที่เป็น Market Maker หรือเป็นคู่สัญญากับลูกค้าเอง
  • คำสั่งซื้อขายของลูกค้าจะไม่ถูกส่งไปยังตลาดจริง
  • โบรกเกอร์ทำกำไรจากการขาดทุนของลูกค้า 
  • มักมีโปรโมชั่น โบนัส หรือเงื่อนไขที่ดึงดูดใจ เพราะควบคุมความเสี่ยงได้

ภาพแสดงถึงความแตกต่างของ A-BOOK กับ B-BOOK คือ การส่งโดยตรง และ โบรกเกอร์เป็นเจ้าตลาดเอง ความหมายต่างกันนิดเดียวเอง

โบรกเกอร์ Hybrid คืออะไร?

  • ผสมผสานการทำงานของ A-Book และ B-Book เข้าด้วยกัน 
  • ลูกค้าที่เทรดมีกำไรสม่ำเสมอมักถูกส่งไป A-Book 
  • ลูกค้าที่ขาดทุนหรือเปิด-ปิดออเดอร์เร็ว มักถูกจัดการด้วยระบบ B-Book 
  • โบรกเกอร์ Forex บริหารความเสี่ยงได้ยืดหยุ่น และมีรายได้หลายทาง

ภาพแสดงถึงความแตกต่างของ ไฮบริด ที่ส่งตลาดบ้าง ไม่ส่งบ้าง โดยโบรกเกอร์จะเลือกลูกค้าที่ขาดทุน หรือ เปิด-ปิด ออเดอร์เร็ว จะไปทาง B-Book มากกว่า

ความแตกต่างระหว่างโบรกเกอร์ A-Book, B-Book และ Hybrid

พวกเราได้เปรียบเทียบข้อแตกต่างของประเภท LP ที่จัดออกเป็น 3 แบบ นั่นก็คือ A-Book, B-Book และ Hybrid มาเป็นตารางเปรียบเทียบ 

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบข้อมูลของ LP ประเภท A-Book, B-Book และ Hybrid

หัวข้อA-BookB-BookHybrid
การส่งคำสั่งส่งคำสั่งไปยังผู้ให้สภาพคล่อง (LP) โดยตรงโบรกเกอร์รับคำสั่งซื้อขายเอง (ทำหน้าที่เป็น Market Maker)เลือกส่งหรือไม่ส่งคำสั่งตามกลยุทธ์และพฤติกรรมของลูกค้า
แหล่งรายได้ของโบรกเกอร์สเปรด / ค่าคอมมิชชั่นกำไรจากการขาดทุนของลูกค้ารายได้จากทั้งสเปรด/คอมมิชชั่น และกำไรจากลูกค้า
ความโปร่งใสโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน โอกาสแทรกแซงต่ำอาจมีการแทรกแซงราคา รีโควต หรือ Slippageขึ้นอยู่กับการบริหารของโบรกเกอร์ และสัดส่วนการใช้งานแต่ละระบบ

5 Liquidity Providers ในตลาด Forex ที่โบรกเกอร์ชั้นนำใช้ 

  • JPMorgan Chase 
    • จุดแข็ง: ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยสินทรัพย์ 
    • เอกลักษณ์: ความแข็งแกร่งด้านการธนาคารเพื่อการลงทุน (Investment Banking) และการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) พร้อมทั้งมีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เช่น การลงทุนใน AI และ Blockchain
  • Citibank 
    • จุดแข็ง: ธนาคารที่มีเครือข่ายระดับโลก (Global Network) ที่ครอบคลุมกว่า 160 ประเทศ 
    • เอกลักษณ์: เชี่ยวชาญในด้านธนาคารเพื่อธุรกิจระหว่างประเทศ และการให้บริการลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก
  • Deutsche Bank 
    • จุดแข็ง: ธนาคารชั้นนำของเยอรมนีและยุโรปที่มีฐานลูกค้าทั่วโลก 
    • เอกลักษณ์: ความชำนาญด้านการธนาคารเพื่อการลงทุน การวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจ และการเงินตราต่างประเทศ (FX Market)
  • XTX Markets 
    • จุดแข็ง: บริษัทเทรดแบบ High-Frequency Trading (HFT) ชั้นนำของโลก 
    • เอกลักษณ์: ใช้อัลกอริทึมขั้นสูงและ Machine Learning ในการเทรดในตลาดสภาพคล่องสูง เช่น FX, หุ้น, และสินทรัพย์ดิจิทัล
  • Barclays
    • จุดแข็ง: ธนาคารรายใหญ่จากอังกฤษที่มีประวัติยาวนานกว่า 300 ปี 
    • เอกลักษณ์: ผู้นำด้านนวัตกรรมทางการเงิน (เช่น การออกบัตรเครดิตเจ้าแรกใน UK) และการให้บริการที่หลากหลายตั้งแต่รายย่อยจนถึงองค์กรขนาดใหญ่

ภาพแสดงถึง 5 LPs ใหญ่ ๆ ที่โบรกเกอร์ Forex เลือกใช้ และ แน่นอนว่านี่คือสุดยอดแห่งความน่าเชื่อถือ

Tier 1 vs Tier 2 LPs ต่างกันยังไง? 

ความแตกต่างของ Tier 1 LPs กับ Tier 2 LPs ขอสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบข้อมูลดังตารางที่ 2 คือ

ตารางที่ 2 เปรียบเทียบความแตกต่างของ Tier 1 LPs กับ Tier 2 LPs

หัวข้อTier 1 LPsTier 2 LPs
ประเภทธนาคารขนาดใหญ่บริษัท Liquidity Provider ระดับรอง
แหล่งที่มาราคาสเปรดดิบ ต้นทาง (Raw Pricing)ได้ราคาจาก Tier 1 LPs
ราคาSpread แคบสุด, ไม่มี Markupอาจมี Markup เพิ่มกำไร
ลูกค้าHedge Funds และโบรกเกอร์รายใหญ่ให้บริการแก่โบรกเกอร์รายย่อย
ปริมาณสภาพคล่องสภาพคล่องสูงสุดสภาพคล่องรองจาก Tier 1
ตัวอย่างJPMorgan Chase, Citibank, Goldman Sachs, BarclaysVirtu Financial, LMAX Exchange, CFH Clearing
  • Tier 1 LPs และ Tier 2 LPs มีความแตกต่างกันที่ ขนาด, ความน่าเชื่อถือ, และบทบาทในตลาด
  • โบรกเกอร์ที่ได้สภาพคล่องจาก Tier 1 LPs — จะได้ราคาที่ดีกว่า และโปร่งใสกว่า

โบรกเกอร์ไหนใช้ Liquidity Provider ชั้นนำ? วิธีเช็กก่อนเปิดบัญชี! 

ตัวอย่างที่โบรกเกอร์ใช้ Liquidity Provider ชั้นนำ พวกเราสรุปมาเป็นข้อมูลดังตารางที่ 3 

ตารางที่ 3 ยกตัวอย่างโบรกเกอร์ที่ใช้ Liquidity Provider ชั้นนำ

โบรกเกอร์LP ที่ใช้ (ตัวอย่าง)จุดเด่น
IC MarketsJPMorgan, Goldman Sachs, XTX Marketsสเปรดต่ำมาก มี LP ระดับ Tier 1 หลายราย
PepperstoneBarclays, UBS, BNP Paribasมีการเปิดเผย LP บางส่วน โปร่งใส
FXTM (ForexTime)มี Tier 1 LP แต่ไม่เปิดชื่อมี ECN และ STP บัญชี
FP MarketsHSBC, Credit Suisse, XTX Marketsมี LP จากธนาคารระดับโลก
DukascopyDirect LP: LMAX, Currenex, Tier 1 Banksมีระบบ SWFX Swiss ECN
ThinkMarketsมี LP ชั้นนำ ไม่เปิดเผยรายชื่อสภาพคล่องดี เสถียร

วิธีเช็กว่าโบรกเกอร์ใช้ LP ชั้นนำจริงไหม? 

  1. ดูจากเว็บไซต์ของโบรกเกอร์
    • ส่วนใหญ่จะมีหน้าข้อมูล “Liquidity”, “Execution”, หรือ “Technology”
    • ถ้ามีชื่อ LP ชัดเจน เช่น JPMorgan, XTX Markets, Barclays ถือว่าโปร่งใส
    • ถ้าไม่มี อาจเป็นสัญญาณให้ระวัง หรือต้องสอบถามเพิ่มเติม
  1. สอบถามฝ่าย Support โดยตรง
    • ถามตรง ๆ  “โบรกเกอร์ของคุณเชื่อมต่อกับ Liquidity Provider ใดบ้าง?”
    • โบรกเกอร์ดีจะตอบตรงหรืออย่างน้อยบอกว่าใช้ Tier 1 Banks / LP ระดับโลก ก็สามารถตรวจสอบได้หน้าเว็บไซต์ หรือ มีหลักฐานในการได้รับการดูแล และ ใช้บริการ 
  1. ดูใบอนุญาต (Regulation)
    • โบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับจากหน่วยงานใหญ่ เช่น ASIC, FCA, FINMA มักต้องใช้ LP ชั้นนำ และมีรายงานที่ตรวจสอบได้
    • ยิ่งมีใบอนุญาตหลายที่ ยิ่งน่าเชื่อถือ
  1. ดูจากประเภทบัญชี (ECN/STP)
    • บัญชีแบบ ECN หรือ STP มักเชื่อมกับ LP โดยตรง
    • ถ้ามีระบบ FIX API หรือ Depth of Market (DOM) ให้ดู จะมีการแสดงราคาหลายระดับจากหลาย LP
  1. รีวิวจากเทรดเดอร์ หรือเว็บไซต์รีวิว

ภาพแสดงถึงโบรกเกอร์ EBC ที่มีการเผยว่าตนเองนั้นมี LP เป็นธนาคาร BARCLAYS ที่แข็งแกร่งเป็นจุดเด่น

สภาพคล่องสูง = เทรดดีขึ้น จริงไหม? 

เมื่อสภาพคล่องสูง จะมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น ให้ราคาซื้อขาย ใกล้เคียงกับราคาตลาดจริง พร้อมทั้งลดความผันผวนของราคา และทำให้การเทรดมีความเสถียร ในหัวข้อนี้จึงขอนำเสนอประเด็นที่สำคัญดังนี้ 

  • ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หากตลาดไม่มีสภาพคล่อง
  • วิธีสังเกตสภาพคล่อง ในตลาดเพื่อเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับการเทรด

ปัญหาที่เกิดขึ้นถ้าตลาดไม่มี Liquidity Provider 

  • สเปรดกว้างขึ้น ทำให้เทรดยาก 
  • Slippage เพิ่มขึ้น ทำให้คำสั่งซื้อขายดำเนินการในราคาที่ไม่ต้องการ 
  • ตลาดไม่เสถียร ราคาผันผวนหนัก

วิธีสังเกตสภาพคล่องของตลาด 

ภาพแสดงถึงอารมณ์หงุดหงิดที่เจอโบรกเกอร์ที่ LP ไม่ดี ส่งผลด้านลบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น เกิดรีโควต หรือ Slippage บ่อยครั้ง

LP แบบไหนเหมาะกับเทรดเดอร์มากที่สุด?

  • ขอแนะนำคลิปจากช่อง Mixertrader ที่จะมาอธิบายว่า Broker A Book VS B Book ต่างกันยังไง ? ด้วยเนื้อหาที่ฟังแล้วจะเข้าใจเกี่ยวกับ LP ได้ง่ายขึ้น เพราะในด้านความสัมพันธ์ที่เทรดเดอร์ควรรู้ 
  • เทรดเดอร์ที่เน้นความโปร่งใส, ใช้กลยุทธ์จริงจัง ควรเลือก A-Book หรือ Hybrid ที่โปร่งใส
  • เทรดเดอร์มือใหม่, เทรดสั้น, ต้องการต้นทุนต่ำ อาจเลือก B-Book หรือ Hybrid
  • สำคัญที่สุด: เลือกโบรกเกอร์ที่ ได้รับใบอนุญาต, มีความน่าเชื่อถือ และ รองรับสไตล์การเทรดของคุณ

สรุป

น่าเสียดายที่.. โบรกเกอร์ Forex ในไทยส่วนใหญ่ล้วนใช้ระบบ Hybrid ซึ่งหมายความว่า โบรกเกอร์ A-Book แท้ 100% ที่ให้บริการเทรดเดอร์ไทยมีจำนวนน้อยมาก ๆ มีบางโบรกเกอร์โฆษณาตัวเองว่าเป็น A-Book เช่น IC Markers แต่ก็มีข่าวเสียหาย และมีแนวโน้มว่าใช้ Hybrid Model ในบางกรณีด้วย 

สำหรับเทรดเดอร์ไทย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกโบรกเกอร์ จึงไม่ใช่แค่ประเภทของระบบ แต่ต้องพิจารณา 2 ปัจจัยหลัก คือ “ความน่าเชื่อถือ” และ “ต้นทุนการเทรดที่ต่ำ” ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับการเทรดได้อย่างมั่นใจ

อ้างอิง

FAQ – ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับโบรกเกอร์ A-Book, B-Book, และ Hybrid

A-Book คือโบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งของลูกค้าไปยังตลาดจริง หรือ Liquidity Provider (LP) โดยตรง ไม่มีส่วนได้เสียกับกำไรหรือขาดทุนของลูกค้า

B-Book คือโบรกเกอร์ที่ ไม่ได้ส่งคำสั่งไปตลาดจริง แต่จัดการออเดอร์เองในระบบ ซึ่งหมายความว่า โบรกเกอร์จะได้กำไรเมื่อเทรดเดอร์ขาดทุน

Hybrid คือโบรกเกอร์ที่ใช้ ทั้ง A-Book และ B-Book โดยเลือกส่งคำสั่งไปยังตลาดจริงหรือรับเอง ขึ้นอยู่กับ ประเภทลูกค้าและกลยุทธ์ของโบรกเกอร์

การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับลักษณะการเทรดของคุณ หากต้องการสภาพคล่องและความโปร่งใส A-Book จะดีที่สุด แต่ถ้าคุณต้องการค่าคอมมิชชั่นต่ำหรือโบนัสเยอะ ๆ B-Book หรือ Hybrid ก็อาจเหมาะสมกว่า

 

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon