Betting Strategy คืออะไร?
“Betting Strategy ทำไมถึงนำมาใช้กับการเทรดได้ สรุปง่าย ๆ เพียงไม่กี่ประโยค”
- ในโลกของคาสิโน การ “Bet” (อ่านว่า “เบ็ด”) ก็คือการวางเงินเดิมพันในแต่ละตา
- ในการเทรด การ “ลง Lot” ก็ไม่ต่างจากการ Bet แต่คือการ Bet กับโอกาสของตลาด
- นักพนันมือโปรจะไม่วางเงินแบบมั่ว ๆ ทุกตาจะคิดเป็นระบบ วางแผนล่วงหน้าเสมอ
- การเทรดก็เช่นกัน ถ้าลง Lot แบบมีระบบ สามารถคุมความเสี่ยงได้อย่างน่าทึ่ง
- หลายคนยังเข้าใจผิดว่าเพิ่ม Lot คือโลภ จริง ๆ แล้วถ้ามีระบบ มันคือการใช้โอกาสให้คุ้ม
หลักจิตวิทยาการเดิมพัน
ความกลัวการขาดทุน
- คนส่วนใหญ่กลัวการเสียมากกว่าที่จะหวังได้กำไร
- พอแพ้หรือขาดทุน จะลังเล ไม่กล้าเข้าไม้ต่อไป แม้เป็นจังหวะที่ดี
- ทำให้พลาดโอกาสสำคัญ และกลายเป็น “เทรดแบบไม่มั่นใจ”
ความมั่นใจเกินเหตุ
- หลังจากชนะติดกัน จะรู้สึกว่าตัวเอง “แม่น” จนเริ่มลง Lot หนักขึ้น
- สุดท้ายเจอจังหวะพลาดไม้เดียว เสียคืนหมด หรือ เรียกว่า Overtrade
- ความมั่นใจแบบนี้มักทำให้แผนพัง เพราะเริ่มเทรดตาม Ego ไม่ใช่ตามระบบ
การไล่ล่าขาดทุน
- เมื่อแพ้ติดกัน จะเกิดความรู้สึก “ต้องเอาคืน”
- เพิ่ม Lot โดยไม่วางแผน หวังแค่จะได้กลับคืน
- นี่คือกับดักหลักของการทบ Lot แบบไร้ระบบ
ความเสียดาย
- ไม่กล้าเข้าไม้ใหม่ เพราะกลัวจะเสียอีก
- หรือเข้าช้า เพราะเสียดายไม้ก่อนหน้า
- พฤติกรรมแบบนี้ทำให้จังหวะที่ดีหลุดมือไปเรื่อย ๆ
ความคาดหวังที่ไม่สมจริง
- อยากรวยเร็ว อยากเปลี่ยนพอร์ต 100 เป็น 1,000 ในไม่กี่วัน
- พอไม่ได้ตามที่คาด จะเริ่มเปลี่ยนระบบบ่อย หรือเทรดหนักเกินเหตุ
- สุดท้ายกลายเป็น “พนันแบบเสี่ยงดวง” มากกว่าการเทรดอย่างมีแผน
ความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง
- คนแต่ละคนรับความเสี่ยงไม่เท่ากัน บางคนทบ 2 เท่าก็เครียดแล้ว
- การรู้ลิมิตตัวเอง คือจุดเริ่มต้นของการควบคุมสภาพจิตใจ
- ถ้ารับแรงเหวี่ยงไม่ได้ การใช้สูตร Betting ที่เพิ่ม Lot จะอันตรายมาก
การยึดติดกับผลลัพธ์ระยะสั้น
- เทรด 2-3 ไม้แล้วชนะ คิดว่าสูตรนี้เวิร์ก ทั้งที่ยังไม่ผ่านการทดสอบระยะยาว
- หรือแพ้ไม่กี่ไม้ ก็รีบเปลี่ยนสูตร ทั้งที่อาจแค่ “ช่วงตลาดไม่นิ่ง”
- สิ่งสำคัญคือ “เทรดตามแผน ไม่ใช่ตามผลลัพธ์ชั่วคราว”
ถ้าจัดการจิตวิทยาได้ดี การเทรดจะนิ่งขึ้น ไม่แกว่งตามผลแต่ละไม้ แพ้หรือชนะก็ยังเดินตามแผนได้ การตัดสินใจแม่นขึ้นเพราะยึดตามระบบ ไม่ใช้อารมณ์ จังหวะเข้าออกก็มั่นใจขึ้น ไม่รีบร้อนหรือลังเล
ที่สำคัญคือไม่ทบ Lot แบบขาดสติเพราะอยากเอาคืน มุมมองต่อการเทรดจะเปลี่ยน จากการลุ้นระยะสั้น เป็นการวางแผนระยะยาว ที่เน้นวินัยและความสม่ำเสมอมากกว่าผลลัพธ์ไม้เดียว
ภาพแสดงถึงจิตวิทยาในการ “เดิมพัน” แน่นอนเลยว่า เทรดเดอร์มีเรื่องเหล่านี้ให้คิดอยู่ในหัวแน่นอน ถ้าคุณยังมองเรื่องเทรดอยู่แบบคำว่า “การเดิมพัน”
สูตร Betting ยอดนิยมที่นำมาประยุกต์ใช้กับการเทรด
Martingale
- เพิ่ม Lot ทุกครั้งที่แพ้ เช่น แพ้ 1 ก็ลง 2 แพ้อีกก็ลง 4
- ข้อดี: พอกลับมาชนะครั้งเดียวจะคืนกำไรทั้งหมด
- ข้อเสีย: ถ้าพอร์ตเล็ก อาจล้างพอร์ตก่อนจะชนะ
Anti-Martingale
- เพิ่ม Lot เมื่อชนะ เช่น ชนะ 1 ก็ลง 2 ชนะอีกก็ลง 4
- ใช้กับตลาดที่มีเทรนด์แรง ๆ จะยิ่งทำกำไรได้ทวีคูณ
- ถ้าเจอตลาด Sideway อาจโดนกินกลับง่าย
Fixed Fractional
- ลง Lot เป็นเปอร์เซ็นต์ของทุน เช่น 2% ของพอร์ตเสมอ
- ปลอดภัย มีระบบ เหมาะกับสายยั่งยืน
- ข้อดีคือช่วยคุมความเสี่ยงแบบไม่ต้องลุ้นหนัก
Kelly Criterion
- คำนวณ Lot ตามโอกาสความน่าจะเป็นของกลยุทธ์
- ถ้ามีข้อมูลสถิติย้อนหลังพอ ใช้สูตรนี้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนระยะยาว
- แต่ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับ เทรดเดอร์ มือใหม่
ตัวอย่างของกลยุทธ์ Martingale ที่จะเป็นการเทรดแบบทบไม้ มีเทคนิคที่บอกได้ดังภาพคือ หากจะทบต้องกำหนดว่าจะทบกี่เท่า แต่ในภาพเป็นทบครั้งละ 1 เท่า คือ 0.01-0.02-0.03-0.04 โดยมีจุดที่เรียกว่า TP ในจุดเดียวกัน
วิธีวางแผนการลง Lot แบบนักเดิมพันมืออาชีพ
- ก่อนเทรดต้องรู้ก่อนว่าเงินในพอร์ตรับความเสี่ยงได้เท่าไร
- ตั้งเป้าหมายรายวัน เช่น เทรดวันละ 3 ไม้ ถ้าแพ้ติดกันจะหยุด
- วางโซน Lot ให้ชัด เช่น
- Confidence ต่ำ Lot เล็ก
- Confidence ปานกลาง Lot กลาง
- Confidence สูง Lot ใหญ่
- คำนวณ Risk-Reward ให้สัมพันธ์กับขนาด Lot เช่น
- RR 1:2 กับความเสี่ยง 2% = โอกาสทำกำไรดี
ตัวอย่างแผนการเทรดแบบ Betting Strategy
กรณีใช้ Martingale ในตลาด Sideway
- ตั้งต้น 0.01 Lot
- ถ้าแพ้ → เพิ่ม Lot เป็น 0.02, 0.04, 0.08
- เจอกราฟแกว่งขึ้น-ลงหลายรอบ พอกลับมาชนะทีเดียว ก็ครอบกำไรกลับหมด
กรณีใช้ Anti-Martingale ในช่วงเทรนด์ชัด
- เริ่มเทรนด์ขาขึ้น จังหวะแรกเข้าด้วย Lot 0.01
- ชนะ → เพิ่มเป็น 0.02, 0.04 ตามเทรนด์
- ถ้ารู้จัก Stop และตามกราฟทัน จะกินรอบใหญ่ได้แบบจุก ๆ
กรณีใช้ Fixed Fractional แบบยั่งยืน
- พอร์ต 1,000 ดอลลาร์ เทรดแต่ละไม้ 1% = 10 ดอลลาร์
- เสียต่อเนื่องก็ยังอยู่ในแผน ไม่เสียหายรุนแรง
- เหมาะกับสายเทรดรายวัน Day Trade ที่ต้องการเติบโตช้าแต่ชัวร์
การเทรดแบบ Fixed Fractional แสดงถึงการเทรดแบบมีวินัย แน่นอนเลยว่านี่คือแผนการเทรด ที่ใช้ระบบการเดิมพันเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ทำให้หลังจากที่บวกหรือลบ ทุนก็ยังเท่าเดิมได้
ข้อดี-ข้อเสียของการใช้แนวคิดแบบ Betting ในการเทรด
- แนวคิดแบบ Betting หรือการวางแผนการลง Lot คล้ายกับการ “เดิมพันแบบมีระบบ”
- ถูกนำมาใช้ในการเทรดเพราะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็ต้องรู้ข้อเสียและความเสี่ยงที่ตามมาเช่นกัน
ข้อดีของการใช้แนวคิดแบบ Betting ในการเทรด
ด้านการบริหารความเสี่ยง
- ควบคุมความเสี่ยงได้แม่นยำ โดยเฉพาะสูตรอย่าง Fixed Fractional หรือ Kelly
- จำกัดการขาดทุนในแต่ละไม้ ได้ชัดเจน รู้ว่าเสียแล้วจะไม่พังพอร์ต
- เพิ่ม Lot แบบมีหลักการ ไม่ใช่ตามอารมณ์หรือความโลภ
ด้านจิตวิทยาเทรด
- ฝึกวินัยในการเทรด เพราะทุกไม้ต้องเดินตามสูตร
- ลดความเครียดจากการแพ้ต่อเนื่อง เพราะรู้ว่าแพ้ก็อยู่ในแผน
- ช่วยให้ไม่ Overtrade เพราะมีกฎในการลง Lot อย่างชัดเจน
ด้านการทำกำไร
- ขยายผลกำไรได้รวดเร็ว เมื่อจับจังหวะถูก โดยเฉพาะสูตร Anti-Martingale
- ใช้ความได้เปรียบทางกลยุทธ์ให้เต็มที่ โดยเลือกลง Lot หนักเฉพาะไม้ที่มีความมั่นใจ
- ทำให้กำไรมีความสม่ำเสมอขึ้น เมื่อควบคุม Lot และ Risk-Reward อย่างเหมาะสม
ด้านการวางแผนและระบบ
- สามารถออกแบบแผนเทรดได้ล่วงหน้า และทดสอบได้ง่าย
- ช่วยให้การเทรดมีความเป็นระบบมากขึ้น ไม่ใช่แค่เดาสุ่ม
- สามารถประเมิน Performance ได้ง่าย เพราะรู้ว่าแต่ละสูตรให้ผลตอบแทนแบบไหน
สำหรับกลยุทธ์นี้ บางครั้งก็ประมาท ทำให้คิดว่าแพ้ก็ทบเพิ่มเข้าไปได้ เหมือนดังภาพ คุณจะเลือกถือเงินแบบคนมีเงิน หรือ อยากจะเงินหมดกระเป๋า โอกาสที่คุณจะเป็นไปได้ก็เหมือนกับการเทรดแบบนักพนันนั่นแหละ
ข้อเสียของการใช้แนวคิดแบบ Betting ในการเทรด
ด้านการเงินและทุน
- บางสูตรต้องใช้ทุนสูง เช่น Martingale ถ้าแพ้ต่อเนื่องต้องใช้เงินทบหลายเท่า
- หากเงินทุนไม่พอ อาจล้างพอร์ตได้ แม้จะแค่แพ้ติดกัน 4-5 ไม้
- ไม่เหมาะกับพอร์ตเล็กหรือคนเริ่มต้นที่ยังจัดการทุนไม่คล่อง
ด้านจิตวิทยาและอารมณ์
- หากควบคุมอารมณ์ไม่ได้ จะใช้สูตรผิดจังหวะ เช่น เพิ่ม Lot เพราะหงุดหงิด
- บางครั้งสูตรทำให้ประมาท คิดว่าแพ้ก็ทบได้ จนลืมว่าโอกาสพลาดก็มี
- เมื่อสูตรล้ม อาจทำให้เสียความมั่นใจทั้งหมด
ด้านการใช้งานจริง
- ใช้ได้ผลเฉพาะบางสภาวะตลาดเท่านั้น เช่น Anti-Martingale เหมาะกับตลาดเทรนด์ ไม่เหมาะกับ Sideway
- ต้องอาศัยความเข้าใจและการทดสอบก่อนใช้จริง ไม่สามารถลอกสูตรแล้วใช้ได้ทันที
- บางสูตรซับซ้อน ต้องคำนวณให้ดี เช่น Kelly Criterion ต้องรู้ Winrate และ Risk-Reward Ratio ที่แน่นอน
ด้านความเสี่ยงซ่อนเร้น
- การทบ Lot อาจดูเป็นระบบ แต่จริง ๆ คือการเร่งความเสี่ยง ถ้าไม่เข้าใจดีพอ
- สูตรที่หวังชนะในไม้เดียว อาจทำให้ขาดวินัยและล้มแผนใหญ่
- หากไม่ปรับสูตรตามตลาด ก็เสี่ยงใช้แผนผิดกับสภาพจริง
ภาพแสดงถึงข้อเสียหลัก ๆ ในสูตรการเดิมพัน ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ บอกเลยว่ามีแต่เสียกับเสีย หรือ นักเทรดมือใหม่ก็ไม่ควรที่จะใช้เทคนิคนี้ในการเทรด เพราะบอกเลยว่าสภาพจิตใจแย่ได้ในวันเดียว
คลิปที่น่าสนใจ
- สำหรับวันนี้ขอแนะนำคลิปสั้น ๆที่แนะนำ คำศัพท์เกี่ยวกับการอธิบายเรื่อง Martingale คืออะไรได้ง่ายขึ้นพร้อมเข้าใจได้ง่ายขึ้นจากช่อง เทรดปลายไส้ด้วยเทคนิคสไนเปอร์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้
สรุป
แนวคิดการเดิมพันไม่ใช่เรื่องแย่ ถ้านำมาใช้แบบมีระบบ การ เทรด ก็เหมือนการวางหมาก ต้องรู้จังหวะตลาดและวาง Lot ให้เหมาะกับความมั่นใจในแต่ละไม้ ไม่ใช่แค่ “จะลงเท่าไหร่” แต่คือ “ทำไมถึงลงแบบนั้น” กลยุทธ์ทุกแบบมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ถ้ามีแผนและวินัย ก็เปลี่ยนความเสี่ยงให้เป็นกำไรได้
อ้างอิง:
- Martingale Trading Strategy: Principles of Martingale : https://www.altrady.com/blog/crypto-trading-strategies/principles
FAQ — กลยุทธ์ Betting ลง Lot แบบนักเดิมพัน
เพราะมัน “ขายง่าย” และ “ให้ผลลัพธ์ที่ดูดีมาก (ในระยะสั้นๆ)”
EA Martingale ถูกออกแบบมาเพื่อคนที่ “เกลียดการขาดทุน” และ “อยากเอาคืน” อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าเอามา Backtest ในช่วงเวลาที่ตลาดไม่เกิดวิกฤตหรือวิ่งเป็นเทรนด์ยาวนาน กราฟจะค่อยๆ ไต่ขึ้นอย่างสวยงามแทบไม่เคยขาดทุนเลย เพราะทุกครั้งที่ผิดทาง มันจะเบิ้ล Lot และกลับมาปิดบวกได้เสมอ ทำให้ดูเหมือนเป็น EA เทพที่มี Win Rate เกือบ 100% แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่ คือ EA Martingale มีความเสี่ยงในการล้างพอร์ต 100% มันแค่รอ “วันที่เหมาะสม” ที่จะล้างพอร์ตให้สะอาดวิบวับ
ทำได้ แต่นั่นคือการเปลี่ยน “เครื่องมือที่ปลอดภัย” ให้กลายเป็น “เครื่องมือล้างพอร์ตความเร็วสูง” เพราะเมื่อคุณเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงให้สูงขึ้น โอกาสที่จะล้างพอร์ต (Risk of Ruin) จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ เช่น
- เสี่ยง 2% ต่อไม้ → คุณต้องแพ้ติดต่อกันประมาณ 35 ครั้ง ถึงจะเสียเงินทุนไปครึ่งหนึ่ง
- เสี่ยง 10% ต่อไม้ → คุณแพ้ติดต่อกันแค่ 7 ครั้ง ก็เสียเงินทุนไปครึ่งหนึ่งแล้ว
- เสี่ยง 20% ต่อไม้ → คุณแพ้ติดต่อกันแค่ 3-4 ครั้ง ก็เสียเงินทุนไปเกินครึ่ง และแพ้ 5 ครั้ง คือหมดตัวทันที เกมโอเวอร์
ในตลาดจริง การแพ้ติดต่อกัน 5-10 ครั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ การตั้งความเสี่ยงไว้ที่ 10-20% ต่อไม้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ Martingale เพราะสุดท้ายก็จบที่การล้างพอร์ตเหมือนกัน
เซียน Poker ตัวจริงจะใช้ Fixed Fractional หรือ Kelly Criterion และที่แน่นอน คือ เขาจะ “หลีกเลี่ยงกลยุทธ์แบบ Martingale” เพราะมันขัดกับหลักการพื้นฐานที่สุด นั่นคือ Bankroll Management (การบริหารเงินทุน)
- Fixed Fractional (แบบความเสี่ยงต่ำ): นี่คือสิ่งที่ใกล้เคียงกับ Bankroll Management มากที่สุด พวกเซียน Poker จะไม่ลงเงินเดิมพันในแต่ละ “Hand” (ตา) เกิน 1-5% ของ Bankroll ที่มีอยู่ นั่นก็คือเสี่ยงเพียง 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- Kelly Criterion (ถ้ามีข้อมูลพอ): นี่คือกลยุทธ์ขั้นสูงที่เซียน Poker + นักลงทุนระดับโลกใช้กัน โดยจะปรับขนาดการลงทุน (Lot Size) ตามความได้เปรียบ และ ความน่าจะเป็นที่จะชนะ (Win Rate) ที่คำนวณมาอย่างดีแล้ว