กลยุทธ์ Carry Trade คืออะไร?

Carry Trade คือการเทรดที่กินส่วนต่าง ดอกเบี้ย ระหว่างสองสกุลเงิน

  • ไม่ได้หวังว่าจะได้กำไรจากการขึ้นลงของ กราฟ ในระยะสั้น
  • แต่เน้น “ถือยาว” แล้วกินดอกเบี้ยทุกวันจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศ
  • เหมือนเรากู้เงินประเทศดอกเบี้ยต่ำ มาลงทุนในประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูง

หลักการทำงานของ Carry Trade

แก่นของ Carry Trade คือ “กินส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่าง 2 สกุลเงิน”

  • ทุกครั้งที่เราเปิดออเดอร์ซื้อหรือขายคู่เงินหนึ่ง ระบบจะคิดดอกเบี้ย (Swap) ให้
  • ถ้าเรา “ซื้อ” สกุลเงิน ที่มีดอกเบี้ยสูง แล้ว “ขาย” สกุลเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำ เราจะได้ดอกเบี้ยบวก (รับเงินเข้าพอร์ต)
  • แต่ถ้าทำตรงข้าม เช่น ขายสกุลเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูง เราจะเสียดอกเบี้ยทุกวัน

ระบบจะคิด Swap ให้ทุกครั้งตอนถือข้ามคืน (เวลาเที่ยงคืนเซิร์ฟเวอร์)

  • ส่วนใหญ่ โบรกเกอร์ จะคำนวณดอกเบี้ยตอนประมาณตี 4 บ้านเรา (เวลานิวยอร์กปิดตลาด)
  • ถือเกินเวลา = ได้รับหรือเสีย Swap ตามทิศที่ถือ
  • วันพุธจะถูกคิด Swap 3 เท่า (เพื่อชดเชยเสาร์-อาทิตย์ที่ตลาดปิด)

กำไรจาก Carry Trade จึงมาจาก 2 ส่วนหลัก ๆ

  • ส่วนที่ 1: กำไรจากกราฟ (Capital Gain) ถ้าราคาเคลื่อนไปในทางที่เราถือ
  • ส่วนที่ 2: กำไรจาก Swap ดอกเบี้ย ซึ่งสะสมเพิ่มทุกวันตราบเท่าที่เรายังถือออเดอร์อยู่

ตัวอย่างง่าย ๆ ของ Carry Trade

  • ซื้อเงินที่ “ให้ดอกเบี้ยสูง” แล้วขายเงินที่ “ดอกเบี้ยต่ำ”

    • เหมือนเราเอาเงินไปฝากธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง แล้วกู้จากธนาคารที่คิดดอกเบี้ยต่ำ
    • ส่วนต่างดอกเบี้ยตรงนี้แหละ คือ “รายได้รายวัน” ที่เราจะได้จากการถือออเดอร์ข้ามคืน

ตัวอย่างจริง: ซื้อ AUD/JPY

  • AUD = ดอกเบี้ยสูงกว่า JPY

    • สมมุติ AUD ดอกเบี้ย 4.35%, JPY ดอกเบี้ย -0.10% ส่วนต่างประมาณ 4.45%
  • เราเปิด Buy AUD/JPY 1 ล็อต แล้วถือข้ามคืน

    • ทุกคืนโบรกจะจ่าย “Swap บวก” ให้เรา เป็นค่าดอกเบี้ย
    • ถ้าถือทั้งสัปดาห์ (ยกเว้นวันหยุด) เราก็จะได้รับดอกเบี้ยสะสมเรื่อย ๆ
    • วันพุธจะได้ 3 เท่า ของค่าดอกเบี้ยปกติ เพื่อชดเชยวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

ตัวอย่าง

  • เปิด 1 ล็อต AUD/JPY
  • ได้ Swap บวกวันละ $5  ถือ 30 วัน = ได้ $150 แค่จากดอกเบี้ย
  • ถ้าราคาวิ่งขึ้นด้วยอีก 100 pips = กำไรจากกราฟ + ดอกเบี้ยรวมแล้วเกิน $250
  • แต่ถ้ากราฟนิ่งไม่ไปไหน = ยังได้ดอกเบี้ยวันละ $5 อยู่ดี
  • Carry Trade ไม่ได้หวังรวยเร็ว แต่ “หวังกินระยะยาว” แบบสม่ำเสมอ 
  • เลือกคู่เงินดี ๆ ที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูง และแนวโน้มราคาสนับสนุน ถ้าถือผิดฝั่ง หรือไม่รู้เรื่องดอกเบี้ยเลย เท่ากับ มีสิทธิ์ขาดทุนทั้งที่กราฟแทบไม่ขยับ 
  • อย่ามองแค่ Swap บวก ต้องดูด้วยว่า “กราฟไปทางไหน” และ “พอร์ต เราแบกรับได้มั้ย”

ภาพอธิบายถึง ความหมายของ Carry Trade ที่เผยให้ถึงว่าเราสามารถลงทุนด้วยความเสี่ยงต่ำได้ อีกอย่างถ้าดูออกจริงก็สามารถสร้างกำไรได้จาก Swap ดอกเบี้ย และ การเคลื่อนที่ของกราฟด้วย

ความเสี่ยงของการทำ Carry Trade

ความผันผวนของกราฟอาจกินกำไรจากดอกเบี้ยทั้งหมด

  • ถึงเราจะได้ Swap บวกทุกวัน แต่ถ้าราคาเคลื่อนไหวสวนทางแรง ๆ เช่น -100 pips ในวันเดียว ก็ขาดทุนแบบยับ ๆ
  • ต่อให้ได้ดอกเบี้ยวันละ $5 ถือมา 20 วันก็แค่ $100  แต่ถ้ากราฟลบ $300 เท่ากับยัง “ขาดทุนสุทธิ”
  • กำไรจาก Swap ต้องใช้ “เวลา” เพื่อสะสม แต่การเคลื่อนไหวของราคาทำให้พอร์ตเจ็บได้เร็วมาก

หากธนาคารกลางเปลี่ยนนโยบาย  ดอกเบี้ยเปลี่ยนทันที

  • เคยได้ Swap บวกอยู่ดี ๆ แต่พอดอกเบี้ยถูกลดลง (ฝั่งที่เราถือ Long)
  • หรืออีกฝั่งขึ้นดอกเบี้ยจนส่วนต่างน้อยลง  รายได้จาก Swap ลดหรือหายทันที
  • คนที่ถือไม้ยาวเป็นเดือน ๆ อาจเจ็บหนัก เพราะแผนพังจากนโยบายที่คาดไม่ถึง

เสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น วิกฤต, สงคราม, ธรรมชาติ

  • กราฟบางคู่เช่น AUD/JPY หรือ NZD/JPY อ่อนไหวต่อข่าวโลกรุนแรง
  • ถ้ามีเหตุการณ์ใหญ่ ค่าเงินฝั่ง high yield อาจร่วงแรงทันที
  • เพราะนักลงทุนจะเทขายสินทรัพย์เสี่ยงแล้ววิ่งเข้าหาเงินปลอดภัย (เช่น JPY, CHF)

Leverage ยิ่งสูง ความเสี่ยงยิ่งทวีคูณ

  • การถือไม้ Carry Trade หลายเดือน แต่ใช้ Leverage สูงมาก อาจทำให้พอร์ตพังจากแค่การสวิงเล็กน้อย
  • เช่น ใช้ Leverage 1:1000 แค่กราฟเหวี่ยงไม่กี่สิบจุดก็โดน Margin Call ได้
  • ถึงจะได้ดอกเบี้ยทุกวัน แต่ถ้าพอร์ตไม่ไหว ก็ถือไม้ไม่ได้นานพอที่จะเห็นผล

ค่าเงินอาจไม่วิ่งตามที่คาดการณ์ แม้ดอกเบี้ยจะดูน่าสนใจ

  • บางที AUD ดอกเบี้ยสูงก็จริง แต่ถ้าเศรษฐกิจอ่อนแอ ค่าเงินก็อาจร่วง
  • หรือแม้แต่ JPY ที่ดอกเบี้ยต่ำ แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกเข้าสู่โหมดหลบภัย คนแห่ซื้อ JPY  เราก็อาจขาดทุน
  • เพราะ Carry Trade ไม่ได้กำไรจากดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่ขึ้นกับ “ทิศทางของกราฟ” ด้วย

ภาพอธิบายถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น หลังจากที่ทำ Carry Trade แล้ว เพราะต้องเน้นถือระยะยาว หากมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ทำให้ค่าเงินที่จากบวกก็กลายเป็นลบได้เช่นกัน

ปัจจัยที่ทำให้ Carry Trade สำเร็จ

  • ส่วนต่างดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) ต้องชัดเจนและ “คงที่” พอสมควร
    • กลยุทธ์นี้ทำเงินจาก “ความต่างของอัตราดอกเบี้ย”  เช่น ดอกเบี้ย AUD 4% แต่ JPY 0.1%
    • เราซื้อ AUD/JPY ก็ได้กินส่วนต่างนี้ทุกวัน (Swap บวก)
    • ยิ่งดอกเบี้ยห่างกันมาก และไม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเร็ว ยิ่งมั่นใจถือได้นาน
  • แนวโน้มของกราฟต้อง “เข้าทาง” ฝั่งที่เราถือ
    • ดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอ ถ้าราคาไม่วิ่งตาม
    • เช่น ถ้าถือฝั่ง Buy แล้วกราฟดันเป็นขาลงหนัก แม้จะได้ Swap บวก ก็อาจขาดทุน
    • ต้องวิเคราะห์เทรนด์ด้วย เช่น Uptrend + ดอกเบี้ยสูง = โอกาสสำเร็จสูงขึ้น
  • ความผันผวน (Volatility) ต้องไม่สูงจนเกินไป
    • Carry Trade เหมาะกับภาวะตลาดนิ่ง ๆ มีแนวโน้มชัด
    • เลือกช่วงเทรดที่กราฟ “สงบ” หน่อยจะช่วยให้ทำกำไรระยะยาวได้ดีขึ้น
  • มีการบริหารเงิน (Money Management) และ Leverage ที่เหมาะสม
    • ถ้าใช้ Leverage เยอะไป แค่แกว่ง 50-100 จุดก็พอร์ตสั่น
    • ใช้ล็อตเล็ก พอร์ตไม่ตึง จะช่วยให้ถือไม้ได้ยาวจนเห็นผลจาก Swap จริง ๆ
  • เลือกคู่เงินที่ “มีเสถียรภาพ” และไม่ผันผวนตามข่าวบ่อย
    • คู่ยอดนิยมของ Carry Trade มักจะเป็น AUD/JPY, NZD/JPY เพราะมีส่วนต่างดอกเบี้ยสูง
    • และไม่ได้อ่อนไหวง่ายแบบ GBP/JPY หรือ EUR/NZD ที่ผันผวนแรง
  • ต้องติดตามนโยบายธนาคารกลาง (Central Bank) อย่างใกล้ชิด
    • ข่าวประชุม FOMC, RBA Statement หรือ BOJ คือสัญญาณที่อาจทำให้ Swap เปลี่ยน หรือเทรนด์กราฟพลิก

ภาพแสดงถึงนักเทรดรายนี้ มีการเข้าออเดอร์ Buy และได้ Swap ฝั่งนี้เป็นบวก ก็กินกำไรอยู่แล้ววันละ $5 แน่นอนเลยว่ากราฟก็ดันไปถูกฝั่งอีก ก็ได้กำไรจากส่วนต่างราคาเพิ่มเข้าไปอีก ที่สำคัญวันพุธก็ได้ Swap อีก 3 เท่า

เคล็ดลับจากคนเคยเทรด: ทำยังไงให้ Carry Trade อยู่รอดในระยะยาว 

แน่นอนว่าในโลกใบนี้มีหลายเทคนิคที่จะทำให้อยู่รอดในตลาด ดังนั้นจึงขอสรุปมาเป็นตารางให้เข้าใจเกี่ยวกับคนเคยเทรดดังนี้ 

ตารางที่ 1 แสดงถึง เคล็ดลับ และ รายละเอียดของคนเคยเทรดแบบ Carry Trade ให้อยู่รอด 

เคล็ดลับรายละเอียด
อย่าใช้ Leverage สูงใช้ไม่เกิน 1:50 เพื่อป้องกันพอร์ตล้างก่อนจะได้ประโยชน์จาก Swap
เข้าเฉพาะช่วง “แนวโน้มขาขึ้น”เลือกจังหวะเทรนด์ Daily ขาขึ้น, ราคายืนเหนือ EMA 50/100 เพื่อถือยาวอย่างมั่นใจ
แบ่งไม้เข้า ไม่ All-inเข้า 2-3 ไม้เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดต้นทุนเฉลี่ยเมื่อกราฟย่อ
ติดตามนโยบายการเงินรู้ทันการขึ้น/ลดดอกเบี้ย เช่นจาก FOMC, BOJ, RBA เพื่อวางแผนล่วงหน้า
ตรวจสอบ Swap จริงจากโบรกเกอร์อย่าเชื่อแค่ตัวเลขทฤษฎี ดู Swap จริงที่ได้รับ พร้อมตรวจสอบค่าธรรมเนียมแฝง
ตั้ง TP ระยะยาวแบบมีเหตุผลมีจุดออกชัดเจน เช่นแนวต้านใหญ่ หรือเมื่อรวมกำไรเกิน X% เพื่อป้องกันการถือลอยๆ
หลีกเลี่ยงช่วงตลาดผันผวนลดพอร์ตหรือลดความเสี่ยงเมื่อมีข่าวใหญ่ เช่น Fed ขึ้นดอกแรง, วิกฤตเศรษฐกิจ
ใจเย็น ไม่หวังรวยเร็วมอง Carry Trade เป็นการสะสมแบบเงินฝาก ไม่ใช่เก็งกำไรหวือหวา

Carry Trade เหมาะกับใคร

ถ้าหากว่าคุณเองมีลักษณะตามพติกรรมในตาราง ก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้ในการเทรดได้ 

ตารางที่ 2 แสดงข้อมูลว่า Carry Trade เหมาะกับใคร

คุณลักษณะรายละเอียด
ใจนิ่ง ไม่เหวี่ยงตามกราฟต้องรับได้กับกราฟที่เหวี่ยงหลายร้อย pips และไม่ปิดออร์เดอร์เพราะความกลัว
มีวินัยและวางแผนล่วงหน้ารู้จังหวะเข้า-ออกตามแผน ไม่ใช่เปิดทิ้งไว้แบบไม่มีหลักการ
มีทุนเย็นใช้เงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ถือได้นานหลายเดือน
เข้าใจเศรษฐกิจมหภาคสนใจดอกเบี้ย นโยบายการเงิน รู้จักธนาคารกลาง เช่น Fed, BOJ, ECB
ไม่เร่งปั้นพอร์ตเร็วยอมรับว่ากำไรจะค่อย ๆ สะสมจาก Swap + ส่วนต่างราคา
ชอบความเสี่ยงต่ำ-ปานกลางไม่โลว์ริสก์ 100% แต่ไม่เหวี่ยงแรงเท่าสายเร็ว ๆ อย่าง Scalping
ไม่ประมาทแม้ตลาดนิ่งมีวินัยติดตามข่าว ไม่ชะล่าใจกับตลาดที่ดูเงียบ

คลิปที่น่าสนใจ

ขอแนะนำคลิปสั้นๆเกี่ยวกับ Carry trade จากช่อง Gold Carry-Trade by pop ซึ่งสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจภายในไม่กี่นาที

ตัวอย่างคู่เงินยอดนิยมของ Carry Trade ที่มี Swap ฝั่ง Buy เป็นบวก เหมือนจะดูน้อย แต่เมื่อลองคูณด้วย Lot Size แล้ว ก็จะพบว่าเป็นรายได้ที่ไม่ต้องลุ้น หรือ ทำอะไรเลย ถ้ากราฟไปถูกทางก็ได้กำไรเข้าไปอีก แบบนี้สบาย 

สรุป

Carry Trade ที่ดี = เทรนด์ + ดอกเบี้ย + วินัย + เวลา

  • ถ้าคิดจะถือยาว ต้อง “อดใจให้ได้” “วางแผนให้ชัด” และ “เผื่อใจให้พอร์ตแกว่ง”
  • อย่าหวังว่ามันจะง่ายเหมือนเปิดแล้วปล่อย เพราะทุกจุดเข้า ต้องมี “เหตุผล” รองรับ ไม่งั้นสุดท้ายโดนลากจนใจพัง

อ้างอิง:

FAQ – กลยุทธ์ Carry Trade ที่ใช้แค่ดอกเบี้ยก็ทำเงินได้

ได้… ในทางทฤษฎี แต่ในโลกความจริง ก็ “ขาดทุน” ตั้งแต่วินาทีแรกที่เปิดออเดอร์แล้วจากค่า Spread

  1. เปิด Buy ปุ๊บ ราคาจะอยู่ที่เส้น Ask ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดจริง = ติดลบค่า Spread ทันที
  2. ต้องรอให้กำไรจาก Swap ที่ได้ทุกวัน ค่อยๆ สะสมจน “จ่ายคืน” ค่า Spread ที่เสียไปก่อน
  3. หลังจากนั้น กำไรจาก Swap ที่ได้ในวันต่อๆ ไปถึงจะเป็น “กำไรสุทธิ”

ดังนั้น ถ้ากราฟไม่ขยับเลย คุณจะได้กำไรแน่ แต่ต้องใช้เวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์เพื่อชดเชยต้นทุนแฝง (Spread และ Commission) ที่เสียไปตอนแรกก่อน มันไม่ใช่เงินฟรีตั้งแต่วันแรก

เพราะกำไรจากดอกเบี้ยมันเหมือน “น้ำหยด” แต่ขาดทุนจากราคามันเหมือน “สึนามิ” นี่คือความจริงที่เจ็บปวด กำไรจาก Swap มาช้าๆ แต่มั่นคง เช่น วันละ +$10 แต่ขาดทุนจากราคา (Capital Loss) มาเร็วและรุนแรงมาก เช่น กราฟดิ่งลงวันเดียว พอร์ตติดลบ -$1,000 ดังนั้น Carry Trade ยังคงเป็น Directional Trade (การเทรดตามทิศทาง) ทิศทางของกราฟสำคัญกว่าดอกเบี้ยเสมอ

ไม่ได้ หลักการง่ายๆ คือ There’s no free lunch เพราะส่วนใหญ่ Swap ที่คุณได้ฝั่งบวก จะน้อยกว่า Swap ที่คุณเสียฝั่งลบเสมอ ส่วนต่างนั้นคือค่าธรรมเนียมและกำไรของโบรกเกอร์ เพราะจริงอยู่ว่าเราสามารถคาดการ์ณ swap ได้จากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่โบรกฯก็จะบวก markup เข้าไปในอัตรา Swap ด้วย

  • ตัวอย่าง: 
    • เปิด Buy AUD/JPY 1 lot: อาจได้ Swap บวก +$10/วัน
    • เปิด Sell AUD/JPY 1 lot: จะต้องจ่าย Swap ลบ -$15/วัน
    • ผลลัพธ์: ขาดทุนวันละ -$5

มีสูตรสำเร็จ 3 ข้อ:

  1. ส่วนต่างดอกเบี้ยสูงและนิ่ง: ไปดูอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักๆ (Fed, ECB, BOJ, RBA, RBNZ) เลือกคู่ที่ฝั่งหนึ่งดอกเบี้ยสูง และอีกฝั่งต่ำมากหรือติดลบ
  2. กราฟเป็นเทรนด์ชัดเจนในทิศทางเดียวกับ Swap: นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ถ้าคุณจะ Buy เพื่อกิน Swap บวก กราฟใน Timeframe ใหญ่ (Weekly/Daily) ก็ต้องเป็น ขาขึ้น ที่แข็งแรง (*แต่พวกโบรกฯชอบไปบวกสวอปเพิ่มเอง จนทำให้ฝั่งที่เป็นเทรนด์ สวอปจะเป็นลบซะงั้น ต้องระวัง)
  3. ความผันผวนต่ำ: กลยุทธ์นี้ชอบตลาดที่สงบนิ่ง ไหลไปเรื่อยๆ หลีกเลี่ยงคู่เงินที่อ่อนไหวต่อข่าวการเมืองหรือมีความผันผวนสูงเป็นปกติ พวกคู่เงินคลาสสิก → AUD/JPY, NZD/JPY (เพราะ AUD, NZD มักมีดอกเบี้ยสูง และ JPY ดอกเบี้ยต่ำมาก) หรือคู่เงิน Exotic บางตัวเช่น USD/MXN ก็มีส่วนต่างที่น่าสนใจ

คือ “สภาวะตลาดแตกตื่น” ที่นักลงทุนทั่วโลกพร้อมใจกันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น AUD, NZD) แล้ววิ่งหนีตายเข้าไปซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย (เช่น JPY, CHF) พร้อมกันในทันที และใช่แล้ว… พอร์ตระเบิดได้ในวันเดียว หรือแค่ไม่กี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ

กลไกของมันเหมือนโดมิโน:

  1. เกิดวิกฤตการณ์ใหญ่ (เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, สงคราม, โรคระบาด)
  2. กองทุนขนาดใหญ่เริ่มปิดสถานะ Carry Trade (เช่น เทขาย AUD/JPY)
  3. ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง ทำให้ไปชน Stop Loss และ Margin Call ของรายย่อยและกองทุนอื่น ชิงเป็นโดมิโน่
  4. การถูกบังคับขายยิ่งสร้างแรงเทขายมหาศาลซ้ำเติมเข้าไปอีก ทำให้ราคาร่วงแบบ Flash Crash 

เช่น วิกฤตซับไพรม์ 2008 หรือ Flash Crash ปี 2019 ทำให้คู่เงิน Carry Trade ดิ่งลงหลายพันจุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมการใช้ Leverage สูงกับกลยุทธ์ที่ต้องถือยาว อย่าง Carry Trade ถึงเป็นสูตรสำเร็จของหายนะดีๆ นี่เอง

 

เขียนโดย

Somchai Witthtaya

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon