รู้จักโบรกเกอร์คริปโต Digital Asset Broker

“โบรกเกอร์คริปโตคือผู้ให้บริการที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ซื้อขายเหรียญให้จบในคลิกเดียว ไม่ต้องหาคู่เทรดเอง”

โบรกเกอร์คืออะไร

  • โบรกเกอร์คริปโตคือ “ตัวกลาง” ระหว่างผู้ลงทุนกับตลาดหรือบริษัทที่ให้บริการคริปโต
  • ทำหน้าที่ช่วยให้ผู้ลงทุนซื้อขาย คริปโต ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องหาฝั่งตรงข้ามเอง
  • เหมือนเวลาซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ทั่วไป เพียงแต่เปลี่ยนจากหุ้นเป็นสกุลเงินดิจิทัล
  • ระบบของโบรกเกอร์จะจัดการจับคู่ราคาและส่งคำสั่งซื้อขายให้โดยอัตโนมัติ ทำให้ลดความซับซ้อนสำหรับมือใหม่

บทบาทหลักของโบรกเกอร์

  • เข้าถึงตลาดง่าย: ผู้ลงทุนไม่ต้องเข้าใจเทคนิคเชิงลึกของตลาดคริปโต เพียงแค่เปิดบัญชีโบรกเกอร์ก็สามารถซื้อขายได้ทันที
  • จัดการคำสั่งซื้อขายรวดเร็ว: โบรกเกอร์มักมีแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย เช่น เว็บไซต์หรือแอปมือถือ ให้ส่งคำสั่งซื้อขายได้ภายในไม่กี่คลิก
  • บริการกระเป๋าเงิน (Wallet): บางโบรกเกอร์มีบริการเก็บคริปโตให้ปลอดภัยในตัว ทำให้ไม่ต้องตั้งกระเป๋าเอง
  • ฟีเจอร์เสริม: เช่น การซื้อขายอัตโนมัติ (Auto-trading), การตั้งคำสั่งล่วงหน้า (Limit Order), หรือการเชื่อมต่อ API สำหรับเทรดอัตโนมัติ
  • เหมาะกับผู้เริ่มต้นและผู้ที่ไม่ต้องการเฝ้าตลาด: มือใหม่หรือคนที่ไม่อยากติดตามข่าวตลอดเวลา สามารถใช้โบรกเกอร์จัดการให้ได้

รู้จักกระดาน Exchange Digital Asset Exchange

“กระดาน Exchange คือแพลตฟอร์มตลาดคริปโตที่ให้ ผู้ซื้อ–ผู้ขาย จับคู่กันโดยตรง กำหนดราคาและเทรดได้เองแบบเรียลไทม์”

กระดาน Exchange คืออะไร

  • เป็น “ตลาดออนไลน์” ที่ผู้ลงทุนซื้อขายคริปโตระหว่างผู้ใช้งานด้วยกันเอง (Peer-to-Peer)
  • ผู้ใช้ต้องมีบัญชีและส่งคำสั่งซื้อขายเอง เช่น ตั้ง Buy/Sell Order
  • การจับคู่ราคาจะเกิดขึ้นจากความต้องการของผู้ใช้งานจริง ทำให้ราคาสะท้อนตลาดอย่างแท้จริง
  • เหมาะกับ นักเทรด ที่อยากควบคุมการซื้อขายเต็มรูปแบบ และพร้อมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น

บทบาทหลักของ Exchange

  • สร้างสภาพคล่องสูง: เพราะมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ทำให้เทรดได้เร็ว และราคามีความเป็นจริงตามอุปสงค์-อุปทาน
  • ราคาสะท้อนตลาดจริง: การซื้อขายเกิดจากผู้ใช้งานจริง ไม่ผ่านตัวกลาง ทำให้ราคาตลาดเป็นธรรมชาติ
  • ฟีเจอร์สำหรับนักเทรดมืออาชีพ
    • ตั้ง Stop-Loss และ Take-Profit
    • Margin Trading เพิ่มเลเวอเรจในการซื้อขาย
    • Futures และ Derivatives สำหรับเก็งกำไรทั้งขึ้นและลง
  • เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการอิสระ: ผู้ใช้งานสามารถเลือกเวลาและวิธีการซื้อขายเอง พร้อมปรับกลยุทธ์ตามสภาพตลาด

ภาพเปรียบเทียบความหมายของ โบรกเกอร์ กับ กระดานเทรด คริปโต

วิธีการซื้อขายและการดำเนินธุรกรรม

การซื้อขายผ่านโบรกเกอร์

  • ง่ายและสะดวก
    • เพียงเลือกสกุลคริปโตที่ต้องการซื้อหรือขาย
    • กรอกจำนวนเงินหรือจำนวนเหรียญที่ต้องการ
    • กดส่งคำสั่งซื้อขาย ระบบของโบรกเกอร์จะดำเนินการให้ทันที
    • จุดสำคัญ: ไม่ต้องหาฝั่งตรงข้ามเอง ระบบจัดการจับคู่ให้ทั้งหมด
  • ไม่มีความซับซ้อนด้านราคา
    • ผู้ลงทุนไม่ต้องวิเคราะห์กราฟราคาเชิงลึกหรือ Order Book
    • เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น หรือคนที่ต้องการซื้อขายแบบรวดเร็ว
  • ธุรกรรมรวดเร็ว
    • คำสั่งซื้อขายแทบจะทันทีหลังกดส่ง
    • บางโบรกเกอร์มีระบบฝาก-ถอนอัตโนมัติ ทำให้เงินเข้าออกง่าย
  • เหมาะกับใคร
    • มือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญตลาด
    • ผู้ลงทุนที่ต้องการความสะดวกและความรวดเร็ว
    • คนที่ไม่อยากเฝ้ากราฟและราคาตลอดเวลา

การซื้อขายผ่าน Exchange

ต้องตั้งราคาเอง

  • ผู้ใช้งานส่งคำสั่งซื้อ (Buy Order) หรือขาย (Sell Order) โดยกำหนดราคาเอง
  • การจับคู่คำสั่งเกิดขึ้นเมื่อมีคู่สัญญาตรงกัน
  • ราคาที่คุณตั้งอาจไม่ถูกจับคู่ทันที ต้องรอจนกว่าผู้ซื้อ/ผู้ขายตรงข้ามยอมรับราคา
  • มีกราฟและข้อมูล Real-Time
  • สามารถดูราคาแบบ Real-Time, Volume, Order Book และกราฟเชิงลึก
  • เหมาะกับการวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การเทรด

รองรับการซื้อขายขั้นสูง

  • Market Order: ซื้อขายทันทีตามราคาตลาด
  • Limit Order: ตั้งราคาที่ต้องการซื้อ/ขาย รอให้ตลาดจับคู่
  • Stop Order / Stop-Loss: ป้องกันขาดทุนหรือทำกำไรอัตโนมัติ
  • Futures / Margin: เพิ่มเลเวอเรจเพื่อเก็งกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง

ธุรกรรมและความเสี่ยง

  • ต้องควบคุมเองทั้งหมด ตั้งแต่การฝากเงิน การส่งคำสั่ง การติดตามราคา
  • การซื้อขายอาจช้าหรือไม่เกิดขึ้นทันทีหากราคาหรือคู่สัญญาไม่ตรง

เหมาะกับใคร

  • นักเทรดมืออาชีพที่ต้องการอิสระและควบคุมกลยุทธ์เอง
  • ผู้ที่พร้อมรับความเสี่ยงและติดตามตลาดตลอดเวลา
  • คนที่ต้องการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ลึกและฟีเจอร์ขั้นสูง

ภาพตัวอย่างโบรกเกอร์คริปโต ที่ให้บริการในประเทศไทย แน่นอนเลยว่าจุดแข็งเรื่องนี้ก็คือ ภาษาไทยที่โบรกเกอร์มีให้บอกเลยว่า ชอบมากเพราะอ่านง่าย เข้าใจง่าย

ค่าธรรมเนียมและโครงสร้างต้นทุน

ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์

Spread คือหัวใจหลัก

  • ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและขาย (Buy-Sell Spread) คือค่าธรรมเนียมหลักของโบรกเกอร์
  • ตัวอย่าง: หาก Bitcoin ราคาซื้อ 30,000 USD และราคาขาย 29,950 USD ส่วนต่าง 50 USD คือค่าธรรมเนียมที่ซ่อนอยู่แล้วในราคานั้น
  • จุดสำคัญ: ผู้ลงทุนเห็นราคาสุทธิ ไม่ต้องคำนวณค่าธรรมเนียมแยก

ค่าธรรมเนียมคงที่หรือเปอร์เซ็นต์

  • บางโบรกเกอร์คิดค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนเงินคงที่ เช่น 2 USD ต่อการซื้อขาย
  • บางแห่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการซื้อขาย เช่น 0.1%-0.5%
  • ข้อดี: ง่ายต่อการวางแผนงบลงทุน เพราะรู้ล่วงหน้าว่าต้องเสียเท่าไหร่

เหมาะกับมือใหม่

  • ค่าธรรมเนียมชัดเจน ไม่ซับซ้อน
  • ไม่ต้องคอยดู Order Book หรือกังวลเรื่อง Maker-Taker

ตัวอย่าง

  • ซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 USD กับโบรกเกอร์ที่คิด 0.2% = เสียค่าธรรมเนียม 0.2 USD
  • เห็นชัดเจนตั้งแต่ต้น ทำให้คำนวณกำไร-ขาดทุนได้ง่าย

ค่าธรรมเนียม Exchange

Maker-Taker Fee คือหัวใจ

  • Maker Fee: สำหรับคนตั้งคำสั่งรอให้มีคู่สัญญาตรง (เช่น Limit Order)
  • Taker Fee: สำหรับคนที่รับคำสั่งจาก Order Book ทันที (เช่น Market Order)
  • จุดสำคัญ: Maker มักเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่า Taker เพราะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาด

ค่าธรรมเนียมฝาก-ถอน

  • บางสกุลเงินมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมขึ้นกับวิธีการฝาก-ถอน
  • ตัวอย่าง: ฝากเหรียญ USDT ผ่าน Blockchain บางเครือข่ายอาจมีค่าธรรมเนียมเครือข่าย 1-5 USD โปรโมชั่นและส่วนลด
  • Exchange หลายแห่งมีส่วนลดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ใช้ประจำ หรือใช้เหรียญของแพลตฟอร์มเอง (เช่น BNB ของ Binance)
  • จุดสำคัญ: การเลือก Exchange และเงื่อนไขส่วนลดสามารถลดต้นทุนได้มากโดยเฉพาะนักเทรดที่ทำ Volume สูง

เหมาะกับนักเทรดมืออาชีพ

  • ค่าธรรมเนียมอาจซับซ้อน แต่ให้ความยืดหยุ่นสูง
  • สามารถวางกลยุทธ์เทรดแบบ Limit Order เพื่อลดค่าใช้จ่าย

ตัวอย่าง

  • ซื้อ Bitcoin ด้วย Market Order มูลค่า 100 USD ค่าธรรมเนียม Taker 0.1% = เสีย 0.1 USD
  • ตั้ง Limit Order ราคาเหมาะสม (Maker) ค่าธรรมเนียม 0.05% = เสีย 0.05 USD
  • ใช้เหรียญแพลตฟอร์มลด 25% = เสียจริงแค่ 0.0375 USD

เปรียบเทียบเรื่องความปลอดภัยของทั้งคู่ ซึ่งบอกเลยว่ามีความเสี่ยงทั้งคู่ เพราะกรณี Zipmex ในไทย โบรกเกอร์ก็ไม่ตรงไปตรงมา ทำให้หลายคนเข็ด และ มีการตัดสินใจที่ยากขึ้น

ความปลอดภัยและการเก็บรักษาสินทรัพย์

โบรกเกอร์

เก็บสินทรัพย์ในกระเป๋าเงินของบริษัท

  • เมื่อฝากเงินเข้าบัญชีโบรกเกอร์ คริปโตจะถูกเก็บไว้ใน Wallet ของบริษัท
  • จุดสำคัญ: ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องตั้ง Wallet ส่วนตัวเอง แต่ต้องเชื่อใจบริษัทในการเก็บรักษา

ระบบความปลอดภัยขั้นสูง

  • หลายโบรกเกอร์ใช้ Multi-Signature Wallet คือ ต้องใช้หลายกุญแจเพื่อยืนยันการโอน ทำให้ลดความเสี่ยงการโดน Hack
  • บางแห่งมี ประกันสินทรัพย์ (Asset Insurance) หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น การโจรกรรมหรือสูญหาย

ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น

  • หากโบรกเกอร์ไม่ซื่อสัตย์หรือประสบปัญหาทางการเงิน ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงิน 
    • กรณีศึกษาเช่น Zipmex ที่เปิดตัวอย่างดี มีความน่าเชื่อถือ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องมาถึงทุกวันนี้ 
  • วิธีลดความเสี่ยง: เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง เชื่อถือได้ และมีการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

เหมาะกับใคร

  • มือใหม่หรือผู้ที่ต้องการความสะดวก ไม่อยากตั้ง Wallet และจัดการด้านความปลอดภัยเอง

Exchange

มี Wallet หลายประเภท

  • Hot Wallet: เชื่อมต่อออนไลน์ ใช้งานซื้อขายสะดวก แต่เสี่ยงโดน Hack
  • Cold Wallet: เก็บแบบออฟไลน์ ปลอดภัยสูง แต่เข้าถึงยากและช้ากว่า

ความเสี่ยงจากการโดนโจรกรรม

  • Exchange มีความเสี่ยงถูกโจมตีจาก Hacker เพราะเป็นศูนย์รวมเงินของผู้ใช้จำนวนมาก
  • ประวัติการถูก Hack ของหลาย Exchange ทำให้เห็นว่าต้องระวังเรื่องความปลอดภัยอย่างจริงจัง

มาตรการป้องกันสำหรับผู้ใช้

  • เปิดใช้งาน 2FA (Two-Factor Authentication)
  • ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรง ไม่ใช้รหัสซ้ำกับแพลตฟอร์มอื่น
  • ตรวจสอบ URL ของ Exchange ให้ถูกต้อง ป้องกัน Phishing
  • พิจารณาการเก็บคริปโตส่วนหนึ่งใน Cold Wallet ส่วนตัว เพื่อลดความเสี่ยง

เหมาะกับใคร

  • นักเทรดที่มีประสบการณ์ และต้องการควบคุม Wallet และความปลอดภัยเอง
  • ผู้ที่เข้าใจความเสี่ยงและพร้อมติดตามข่าวสารด้านความปลอดภัยอยู่เสมอ

โบรกเกอร์ Bitazza มีการดึงดูดจุดเด่นของตนเอง แถมยังใช้ภาษาไทย ลูกเล่นที่ดูน่าสนใจ สำหรับคนรุ่นใหม่ ไปเปิดบัญชีเทรด บอกเลยว่าตรงนี้น่าสนใจมาก ๆ 

สภาพคล่องและความเร็วในการซื้อขาย

โบรกเกอร์

  • สภาพคล่องสูงเพราะบริษัทเป็นคนกำหนดราคา
    • โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็น “ผู้สร้างตลาด” (Market Maker) กำหนดราคา Bid/Ask เอง และจับคู่คำสั่งให้ทันที
    • ผู้ใช้ไม่ต้องรอให้มีผู้ซื้อหรือผู้ขายอีกฝั่งเหมือนใน Exchange
    • จุดสำคัญ: การซื้อขายแทบจะเกิดขึ้นทันทีหลังจากกดคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงียบหรือมีปริมาณซื้อขายน้อย
  • ความเร็วสูง เหมาะกับมือใหม่และคนที่เน้นความรวดเร็ว
    • ระบบของโบรกเกอร์มักออกแบบให้ใช้งานง่าย กรอกจำนวนเงินแล้วกดซื้อขายได้ทันที
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากเสียเวลาตามกราฟหรือปรับราคาเอง
    • เทรดเดอร์สาย “เข้าเร็ว-ออกเร็ว” หรือคนที่ต้องการราคาที่มั่นคงจะได้เปรียบ
  • ข้อสังเกตเรื่องราคา
    • เพราะโบรกเกอร์กำหนดราคาเอง อาจมี Spread (ส่วนต่างซื้อ-ขาย) กว้างกว่าตลาดจริง
    • ผู้ลงทุนต้องพิจารณาว่าความสะดวกคุ้มกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

Exchange

ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ซื้อขายในตลาดจริง

  • สภาพคล่องจะขึ้นกับ “Volume” ของคู่เหรียญ เช่น BTC/USDT หรือ ETH/USDT
  • ยิ่งมีผู้เล่นเยอะ การจับคู่คำสั่งยิ่งรวดเร็ว แต่ถ้าคู่เหรียญเล็ก ๆ สภาพคล่องต่ำ อาจต้องรอนาน

สภาพคล่องสูงในคู่คริปโตยอดนิยม

  • คู่เหรียญหลักอย่าง Bitcoin, Ethereum มีคำสั่งซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง
  • คำสั่ง Limit หรือ 3Market มักถูกจับคู่ทันทีหรือในไม่กี่วินาที

ราคาสะท้อนตลาดจริงแบบ Real-Time

  • เพราะเป็นการซื้อขายระหว่างผู้ใช้กันเอง ราคาจะเคลื่อนไหวตามอุปสงค์-อุปทานทันที
  • ทำให้เทรดเดอร์ที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น สามารถอาศัยความผันผวนของตลาดทำกำไรได้

ข้อควรระวัง

  • หากคู่เหรียญมีปริมาณซื้อขายน้อย (Low Volume) อาจทำให้คำสั่งไม่ถูกจับคู่ หรือถูกจับคู่ช้า
  • ช่วงตลาดผันผวนสูง อาจมี “Slippage” คือราคาที่ได้จริงต่างจากราคาที่ตั้งไว้

โบรกเกอร์ที่เปิดเอง แน่นอนเลยว่ามีการกำหนดราคาเอง จับคู่คำสั่งให้ทันที แต่สำหรับ Exchange นั้นต้องรอจำนวนผู้ซื้อขายในตลาดจริง

ประสบการณ์ผู้ใช้งานและฟีเจอร์เสริม

โบรกเกอร์

  • อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่
    • แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะออกแบบหน้าตาให้เรียบและชัดเจน
      •  มีปุ่มกด “ซื้อ/ขาย” ที่มองเห็นได้ทันที 
      • จัดเมนูเป็นหมวดหมู่ชัดเจน 
      • ไม่ต้องเสียเวลาหาฟังก์ชันสำคัญตอนตลาดเคลื่อนไหวแรง
  • บริการสนับสนุนลูกค้าและคำแนะนำการลงทุน
    •  โบรกเกอร์รายใหญ่มีทีมซัพพอร์ต 24 ชั่วโมง ผ่านแชทสด โทรศัพท์ หรืออีเมล 
    • มือใหม่จึงอุ่นใจหากเกิดปัญหา เช่น ฝาก–ถอนติดขัด หรือคำสั่งซื้อขายไม่ผ่าน 
    • บางรายยังมีบทความ สัมมนาออนไลน์ หรือวิดีโอสอนพื้นฐาน ช่วยให้เข้าใจตลาดได้เร็วขึ้น
  • ฟีเจอร์เสริมช่วยเทรดง่ายขึ้น 
    • หลายแห่งมีระบบซื้อขายอัตโนมัติ (Auto-Trading) ตั้งค่าล่วงหน้าว่าถ้าราคาแตะระดับที่กำหนดจะสั่งซื้อหรือขายทันที 
    • ลดความเสี่ยงพลาดจังหวะ นอกจากนี้ยังมีการแจ้งเตือนราคาผ่านมือถือหรืออีเมล ทำให้ติดตามตลาดได้ตลอดแม้ไม่ได้เปิดกราฟ

Exchange

  • ฟีเจอร์ขั้นสูงสำหรับเทรดเดอร์จริงจัง 
    • แพลตฟอร์ม Exchange มักมีเครื่องมือครบกว่า 
      • การตั้งคำสั่งซื้อขายหลายแบบ (Limit, Stop, OCO) 
      • เชื่อมต่อ API ให้ทำบอทเทรดอัตโนมัติ คนที่มีประสบการณ์จะชอบเพราะสามารถปรับกลยุทธ์ได้ละเอียด
  • ข้อมูลตลาดเชิงลึก
    • มีกราฟเทคนิคหลายรูปแบบ พร้อมอินดิเคเตอร์ เช่น 
  • รองรับหลายสกุลคริปโตและผลิตภัณฑ์หลากหลาย 
    • นอกจากคู่คริปโตหลักอย่าง BTC/USDT ยังมี Altcoin นับร้อย 
    • ผลิตภัณฑ์ต่อยอดอย่าง Futures, Margin, Staking หรือ Earn ที่ให้ดอกเบี้ยกับเหรียญที่ถืออยู่ มืออาชีพสามารถกระจายพอร์ตและหากำไรจากหลายวิธีในที่เดียว
  • ถ้าเน้นเริ่มต้นแบบไม่ซับซ้อน โบรกเกอร์คือจุดเริ่มที่ดี เพราะบริการครบและไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งค่าซับซ้อน
  • แต่เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับตลาดและต้องการเทคนิคการเทรดที่หลากหลาย Exchange จะตอบโจทย์กว่า เพราะเปิดโอกาสให้ใช้กลยุทธ์ได้เต็มที่ เช่น การเทรดตามปริมาณคำสั่งหรือการทำ Arbitrage ระหว่างคู่เหรียญต่าง ๆ

ภาพแสดงถึงบทความต่าง ๆ บนเว็บไซต์ Bitkub โบรกเกอร์ในไทย ที่มีการอัพเดทข่าวสาร พร้อมทั้งให้ความรู้เรื่อง คริปโตเคอเรนซี ซึ่งตัดสินใจง่ายต่อการลงทุน

ข้อดี-ข้อเสียของโบรกเกอร์ vs กระดาน Exchange

ข้อดีของโบรกเกอร์

  • ใช้งานง่าย เข้าใจเร็ว 
    • แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ออกแบบมาให้เรียบและเป็นมิตรต่อมือใหม่ เมนูชัดเจน ปุ่ม “ซื้อ” และ “ขาย” มองเห็นได้ทันที 
    • ไม่ต้องปรับตั้งค่าซับซ้อน คนที่เริ่มต้นเทรดจึงสามารถสั่งซื้อขายได้ในไม่กี่คลิก
  • ซื้อขายได้ทันที ไม่ต้องรอคู่สัญญา 
    • โบรกเกอร์เป็นผู้จับคู่และกำหนดราคาซื้อขายให้โดยตรง 
    • เวลาเห็นจังหวะเข้าหรือออกก็สามารถกดสั่งและระบบจะจับคู่ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องรอให้มีคนอีกฝั่งมารับออเดอร์
  • ลดความซับซ้อนของตลาด 
    • โบรกเกอร์เหมาะกับคนที่ไม่อยากปวดหัวกับคำศัพท์เทคนิคหรือค่าธรรมเนียมยิบย่อย 
    • ทุกอย่างถูกรวมเป็นราคาเดียว ทำให้โฟกัสกับการวางกลยุทธ์และบริหารเงินได้ง่ายขึ้น

ข้อเสียของโบรกเกอร์

  • ราคาที่ได้อาจสูงกว่าตลาดจริง 
    • เนื่องจากบริษัทเป็นผู้กำหนดราคา อาจมีส่วนต่าง (Spread) ที่กว้างกว่าราคาในตลาดจริงเล็กน้อย โดยเฉพาะช่วงตลาดผันผวน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นหากเทรดถี่
  • พึ่งพาบริษัทเป็นตัวกลาง 
    • ทุกการซื้อขายต้องผ่านโบรกเกอร์ทั้งหมด 
    • ถ้าบริษัทประสบปัญหาทางการเงินหรือระบบล่ม ออเดอร์อาจล่าช้าหรือถอนเงินไม่ได้ตามที่ต้องการ 
    • ผู้เทรดจึงต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและมีชื่อเสียงเท่านั้น

ข้อดีของ Exchange

  • ราคาตามตลาดจริงแบบเรียลไทม์
    •  ซื้อขายกับผู้เล่นรายอื่นโดยตรง ราคาที่เห็นคือราคาที่ตลาดกำลังเทรดจริง ไม่มีการบวกเพิ่มจากบริษัท จึงเหมาะกับคนที่ต้องการราคาที่โปร่งใสและเป็นธรรม
  • สภาพคล่องสูงสำหรับเหรียญหลัก  
    • คู่ยอดนิยมอย่าง BTC/USDT หรือ ETH/USDT มีปริมาณซื้อขายสูงมาก 
    • การเข้า–ออกออเดอร์ทำได้ทันทีด้วยสเปรดที่แคบ เทรดเดอร์สามารถวางคำสั่งใหญ่ ๆ ได้โดยไม่กระทบราคา
  • รองรับการเทรดขั้นสูง
    • มีคำสั่งซับซ้อน เช่น Limit, Stop-Loss, OCO รวมถึง Margin และ Futures 
    • ช่วยให้วางกลยุทธ์ได้หลากหลาย ตั้งแต่การทำกำไรระยะสั้นจนถึงการเฮดจ์ความเสี่ยงแบบมืออาชีพ

ข้อเสียของ Exchange

  • มือใหม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ 
    • อินเทอร์เฟซเต็มไปด้วยกราฟ อินดิเคเตอร์ และสมุดคำสั่ง (Order Book) 
    • หากไม่เคยเทรดมาก่อนอาจสับสน ต้องใช้เวลาศึกษาวิธีตั้งค่าคำสั่งและเข้าใจขั้นตอนการฝากถอน
  • ต้องรอคู่สัญญาและมีค่าธรรมเนียมหลายรูปแบบ 
    • การซื้อขายขึ้นอยู่กับว่ามีคนอีกฝั่งยอมซื้อหรือขายในราคาที่ตั้งไว้ 
    • ถ้าราคาต่างกันมากออเดอร์อาจไม่ถูกจับคู่ทันที 
    • Exchange มักมีค่าธรรมเนียมหลายส่วน เช่น ค่าธรรมเนียมการเทรด การถอน หรือค่า Funding สำหรับ Futures ซึ่งผู้เทรดต้องคำนวณต้นทุนให้รอบคอบ

ภาพแสดงถึง การสะท้อนข้อดี / ข้อเสีย หลัก ๆ ของทั้ง 2 แบบ ซึ่งโบรกเกอร์เหมาะกับมือใหม่ แต่ผู้ที่มีประสบการณ์แล้ว ก็อยากได้ความโปร่งใสเรื่องรคา ก็เลือก Exchange

คลิปที่น่าสนใจ

  • สำหรับในบทความนี้จะให้เข้าใจอย่างลึก ๆ เลยก็ต้องแนะนำคลิปจากช่อง Enter to Start 
  • Exchange vs. Broker แตกต่างกันยังไง มีเจ้าไหนบ้าง คลิปเดียวรู้เรื่อง | Crypto Clinic EP.29

สรุป 

  • โบรกเกอร์ (Broker) คริปโต
    • ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ซื้อขายได้ทันทีโดยไม่ต้องหาคู่สัญญา
    • อินเทอร์เฟซเรียบง่าย เหมาะกับมือใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว
    • ค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่คิดเป็น Spread หรือค่าคงที่ ทำให้งบลงทุนคาดเดาได้ง่าย
    • ความเสี่ยงอยู่ที่การพึ่งพาบริษัท ต้องเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ
  • กระดาน Exchange
    • เป็นตลาดเปิดที่ผู้ซื้อ–ขายจับคู่กันเอง ราคาสะท้อนตลาดจริงแบบเรียลไทม์
    • มีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น Margin, Futures และเครื่องมือวิเคราะห์กราฟครบ
    • ค่าธรรมเนียมหลากหลาย เช่น Maker–Taker และอาจมีค่าฝาก–ถอน
    • ผู้ใช้ต้องเรียนรู้การตั้งคำสั่งและระบบความปลอดภัย เช่น 2FA
  • โบรกเกอร์เหมาะกับผู้ที่ต้องการความง่ายและรวดเร็ว ไม่เน้นเครื่องมือซับซ้อน
  • Exchange เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการราคาตลาดจริง ฟีเจอร์ครบ และควบคุมคำสั่งเอง
  • การเลือกขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุน ส่วนมือใหม่เริ่มกับโบรกเกอร์ได้สะดวก ส่วนผู้มีประสบการณ์จะได้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นของ Exchange

อ้างอิง: 

FAQ — ข้อแตกต่างระหว่างโบรกเกอร์ ซื้อขายคริปโต (Digital Asset Broker)​​ และ กระดาน Exchange (Digital Asset Exchange)

โบรกเกอร์คือแพลตฟอร์มที่ให้ซื้อขายคริปโตโดยตรงเหมือนซื้อหุ้น มีราคาแบบรวม Spread ส่วน Exchange คือกระดานที่ซื้อขายระหว่างผู้ใช้งานโดยตรง มี Order Book ให้เห็นราคาเสนอซื้อ-ขาย
บริการโบรกเกอร์มักคิด Spread หรือค่าธรรมเนียมสูงกว่า แต่สะดวกและรวดเร็ว ส่วน Exchange มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า แต่ต้องเข้าใจ Order Book และสภาพคล่อง
โบรกเกอร์มักมี ระบบคุ้มครองผู้ใช้และประกันบางส่วน แต่ Exchange ให้อิสระมากกว่า ต้องดูแลกระเป๋าเอง ความเสี่ยงก็สูงตามความรับผิดชอบ
ถ้าอยาก ซื้อขายง่าย รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน ใช้โบรกเกอร์เหมาะกว่า แต่ถ้าเน้น ค่าธรรมเนียมต่ำ และเทรดแบบมืออาชีพ ต้องเรียนรู้ Exchange
โบรกเกอร์บางเจ้าอาจ จำกัดเหรียญที่ซื้อขาย แต่ Exchange มักมีเหรียญหลายประเภทให้เลือก แต่สภาพคล่องบางเหรียญอาจต่ำ

 

เขียนโดย

Poomipat Wonganun

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon