Scalping Trading คืออะไร
- เป็นรูปแบบการเทรดที่ เน้นความเร็ว และ จำนวนรอบการเทรด มากกว่าการถือออเดอร์ยาว ๆ
- เป้าหมายคือการเก็บ กำไรเล็กน้อยจากการเคลื่อนไหวของราคา เช่น 2–10 pips ต่อครั้ง แต่ทำหลายครั้งจนสะสมกำไรได้มาก
- มักใช้กราฟเล็ก เช่น 1 นาที (M1), 5 นาที (M5), 15 นาที (M15) เพื่อหาจังหวะเข้าออกอย่างรวดเร็ว
- Scalper มักไม่สนใจเทรนด์ใหญ่ของตลาด แต่สนใจ “ความผันผวนระยะสั้น” และ “จังหวะเล็ก ๆ” ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
- ยกตัวอย่างการเทรดแบบ Scalping
- เทรด EUR/USD ที่ราคา 1.1000 ปิดที่ 1.1003 กำไร 3 pips
- ถ้าทำได้ 20 ครั้งต่อวัน จะได้ 60 pips ซึ่งมากกว่าการรอเพียงออเดอร์เดียวที่หวังกำไร 60 pips แต่เสี่ยงกว่ามาก
ตารางที่ 1 แสดงถึงข้อเปรียบเทียบภาพรวมของความแตกต่างของสไตล์การเทรดแบบถือสั้น และ ถือยาว
ข้อเปรียบเทียบ | Scalping | Day Trading | Swing Trading |
---|---|---|---|
ระยะเวลาถือออเดอร์ | ไม่กี่วินาที – ไม่เกิน 5 นาที | ไม่กี่นาที – หลายชั่วโมง (แต่ปิดก่อนตลาดปิดวันนั้น) | หลายวัน – หลายสัปดาห์ |
เป้าหมายกำไรต่อครั้ง | 2 – 10 pips | 20 – 100 pips | 100 – 500 pips หรือมากกว่า |
จำนวนรอบการเทรดต่อวัน | สูงมาก (10 – 50 รอบ หรือมากกว่า) | ปานกลาง (2 – 10 รอบ) | ต่ำ (1 – 3 รอบต่อสัปดาห์) |
Time Frame และการวิเคราะห์ที่ใช้ | กราฟเล็ก (M1, M5, M15), อินดิเคเตอร์เร็ว, Price Action ระยะสั้น | กราฟเล็กถึงกลาง (M15, H1) ใช้ Technical + ข่าวรายวัน | กราฟกลางถึงใหญ่ (H4, D1) ใช้เทรนด์และปัจจัยพื้นฐาน |
ข้อดี | กำไรเร็ว เห็นผลไว ไม่ถือข้ามคืน | ไม่ต้องเฝ้าจอทั้งวันมาก ใช้การวิเคราะห์รายวันได้ | ไม่เครียดกับตลาดรายนาที เหมาะกับคนทำงานประจำ |
ข้อเสีย | เครียด ต้องเฝ้าจอตลอด, Spread/Commission มีผลมาก | ต้องใช้เวลาและวินัยสูง, ข้อมูลข่าวมีผล | ต้องรอนาน, อาจเจอการกลับตัวกลางทาง |
เหมาะกับใคร | คนที่มีเวลาเฝ้าจอ ตัดสินใจไว ชอบความเร็ว | คนที่พร้อมเทรดทุกวัน มีเวลาวิเคราะห์ก่อนเปิดตลาด | นักลงทุนที่ไม่รีบ ชอบถือยาว มีงานประจำก็ทำได้ |
ตัวอย่าง | เปิด Buy EUR/USD ที่ 1.1000 ปิด 1.1003 ได้กำไร 3 pips ทันที | เปิด Sell GBP/USD เช้า ปิดบ่าย ได้ 60 pips | เปิด Buy ทองคำ 1900 ถือ 1 สัปดาห์ ปิดที่ 1950 ได้ 500 pips |
แนวคิดหลักของการเทรด Scalping
ต้องมี Speed + Precision / ความเร็ว + ความแม่นยำ
- Scalper ต้องตัดสินใจเร็วมาก เพราะราคาขยับไวในกราฟเล็ก
- ความแม่นยำสำคัญมาก เนื่องจากกำไรต่อครั้งเล็ก ถ้าพลาดบ่อยจะขาดทุนสะสมได้ง่าย
- ตัวอย่าง: ถ้าเข้า Buy ที่ EUR/USD 1.1000 ตั้ง TP แค่ 1.1003 แต่ราคาเด้งผิดทางเพียง 5 pips ก็เสียทันที
เน้นจังหวะสั้น ไม่รอเทรนด์ใหญ่
- Scalper สนใจ “การแกว่งตัวเล็ก ๆ” ของราคา เช่น การเด้งจาก แนวรับ–แนวต้าน ในกราฟ 1 นาที
- ต่างจาก Swing Trader ที่ถือออเดอร์ยาวเพื่อกินเทรนด์หลายร้อย pips
- ตัวอย่าง: Swing Trader Buy ที่ 1.1000 ถือจนถึง 1.1200 (+200 pips) แต่ Scalper อาจเทรดในกรอบ 1.1000–1.1010 หลายสิบรอบ
ใช้เครื่องมือที่ตอบสนองเร็ว
- อินดิเคเตอร์ยอดนิยม: Moving Average (EMA), Bollinger Bands, RSI ระยะสั้น
- หลายคนใช้ Price Action เช่น Pin Bar, Breakout หรือ Candle Rejection
- Scalper ไม่ค่อยใช้ Fundamental เพราะข่าวใหญ่มักทำให้ราคาแกว่งเกินไปและเสี่ยง
กำไรเล็ก แต่จำนวนครั้งมาก
- เป้าหมายเฉลี่ยต่อครั้งคือ 2–10 pips
- ถ้าเทรดวันละ 20–50 ครั้ง จะสามารถสะสมกำไรได้ 50–100 pips ต่อวัน
- ตัวอย่าง: ได้กำไร 3 pips ต่อครั้ง × 30 ครั้ง = 90 pips ซึ่งอาจมากกว่าการรอเทรนด์ใหญ่เพียงรอบเดียว
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- เนื่องจาก SL (Stop Loss) สั้นมาก (3–5 pips) ถ้าขาดทุนติดกันหลายครั้งจะเสียหายหนัก
- Scalper ที่ดีมักใช้ Risk/Reward อย่างน้อย 1:1 ถึง 1:2
- ตัวอย่าง: ถ้า SL 5 pips ควรตั้ง TP 5–10 pips เพื่อให้กำไรคุ้มค่าความเสี่ยง
ภาพแสดงถึงความหมายของ Scalping ได้อย่างชัดเจน กับ การเทรดในรูปแบบที่เน้นความเร็ว และ จำนวนรอบการเทรด ใช้ TF เล็ก ๆ เช่น 1 นาที – 15 นาที ในการเข้าเทรด ปิดกำไรอย่างรวดเร็ว
ข้อดีและข้อเสียของ Scalping
- ข้อดี
- ทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด เพราะราคาเคลื่อนไหวตลอด
- ไม่ต้องกังวลข่าวใหญ่ เพราะไม่ถือออเดอร์นาน
- เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็ว ไม่อยากรอนาน
- ใช้ทุนไม่เยอะก็สามารถเก็บกำไรทีละน้อยได้
- ข้อเสีย
ถ้า Spread EUR/USD = 2 pips แต่เราเก็บกำไร 3 pips ต่อครั้ง เท่ากับจริง ๆ ได้เพียง 1 pip ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่ Spread ต่ำมาก
ตลาดและเครื่องมือที่นิยมใช้
- ตลาดที่เหมาะ
- Forex คู่หลัก (EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY) เพราะสภาพคล่องสูงและ Spread ต่ำ
- ทองคำ (XAU/USD) สำหรับ Scalper ที่ชอบความผันผวนแรง
- หุ้น CFD และดัชนี (เช่น NAS100, DAX) สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง
- แพลตฟอร์มยอดนิยม
- MT4/MT5 ใช้ง่ายและ Indicator เยอะ
- cTrader สำหรับ Scalper มืออาชีพ เพราะส่งคำสั่งรวดเร็ว
- เครื่องมือช่วยวิเคราะห์
- Moving Average ใช้จับแนวโน้มสั้น
- Stochastic หรือ RSI ใช้หา Overbought/Oversold ระยะสั้น
- Bollinger Bands ใช้หาจังหวะ Breakout
- Price Action ช่วยหาจังหวะกลับตัว หรือ การคอมเฟิร์มว่ากราฟจะไปต่อจะต้องเป็นในกรอบเวลาเล็ก ๆ
- Pin Bar
- Engulfing
ใช้ Bollinger Bands ในกราฟ 1 นาที พอราคาแตะขอบบนบ่อย ๆ ก็เปิด Sell เก็บกำไร 5-10 pips
คุณสมบัติของคนเทรดแบบ Scalping จะต้องมีความเร็ว แม่นยำ พร้อมกับ จะต้องมีการบริหารความเสี่ยง บริหารเรื่องการเงินของบัญชีตนเองด้วย
กลยุทธ์ Scalping ที่นิยมใช้
- Scalping แบบ Trend Following
- เทรดตามทิศทางหลักของราคา ใช้ EMA 9 ตัด EMA 21 ในกราฟ 1 นาที
- Scalping แบบ Breakout
- รอให้ราคาทะลุแนวรับ-แนวต้านแล้วเก็บกำไรจากแรงเหวี่ยง
- Scalping แบบ Range Trading
- ใช้ในตลาด Sideway เปิด Buy เมื่อราคาแตะ Support และ Sell เมื่อแตะ Resistance
- News Scalping
ราคาทอง (XAU/USD) ช่วงข่าว Non-Farm Payrolls ขยับทีละ 100 pips Scalper อาจเก็บเพียง 10-20 pips ต่อรอบ แต่ทำหลายครั้ง
ตลาดที่เหมาะสมกับ Scalping เป็นคู่เงินหลัก กับ ตลาดทองคำ เพราะมีความผันผวนสูง เรียกได้ว่าใน TF – 1M ถึง 15M ก็มีจุดเข้าเทรดได้ตามเทคนิค
การบริหารความเสี่ยงใน Scalping
- ตั้ง Stop Loss ทุกออเดอร์
- สำหรับ Scalping Stop Loss มักสั้นเพียง 3–5 pips ต่อรอบ เพื่อป้องกันการขาดทุนหนักจากจังหวะราคาผันผวน
- การตั้ง SL ควรอ้างอิงจากกราฟเล็ก เช่น M1 หรือ M5 และบริเวณแนวรับ–แนวต้านใกล้เคียง
- ตัวอย่าง: เปิด Buy EUR/USD ที่ 1.1000 ตั้ง SL 5 pips = 1.0995 เพื่อจำกัดความเสียหาย
- เลือกใช้ Lot Size เล็ก
- การใช้ Lot Size เล็กช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อครั้งไม่ให้กระทบพอร์ตมากเกินไป
- หากพอร์ต $1,000 เปิดล็อต 0.1 กับ SL 5 pips จะเสียเพียง $5 ต่อรอบ ซึ่งสามารถบริหารพอร์ตได้ง่าย
- การเก็บกำไรต่อรอบเพียง 2–5 pips ก็ยังสามารถสะสมเป็นผลรวมที่น่าสนใจ
- กำหนด Daily Limit
- Scalper ควรกำหนดกฎเช่น ถ้าเสียติดกัน 3–5 ครั้ง ให้หยุดเทรดทันที
- ช่วยป้องกันการหัวร้อนและ Overtrade
- ตัวอย่าง: เสีย 5 ครั้งต่อเนื่อง SL 5 pips ต่อรอบ = ขาดทุน $25 ถือว่าเกินกว่าขีดจำกัดแล้ว ควรพักก่อน
- อย่าไล่ตามออเดอร์ที่พลาด
- การพยายามไล่ราคาที่พลาดอาจทำให้เกิดการเปิดออเดอร์ซ้ำจนขาดทุนเพิ่ม
- ควรยอมรับการพลาดและรอจังหวะถัดไป
- คำนวณ Risk/Reward Ratio สำหรับ Scalping
- แม้กำไรต่อรอบน้อย แต่ยังควรตั้งเป้า RR อย่างน้อย 1:1
- ตัวอย่าง: SL 5 pips ให้กำหนดตั้ง TP 5–8 pips เพื่อให้แม้กำไรต่อรอบเล็กแต่ยังคงเป็นบวกรวม
- การจัดการทุนแบบพอร์ต (Portfolio Risk Management)
- ไม่ควรใช้ทุนทั้งหมดเปิดเพียงครั้งเดียว
- ตัวอย่าง: มีพอร์ต $1,000 แบ่งเปิดหลายออเดอร์ 0.05–0.1 lot ต่อครั้ง เพื่อกระจายความเสี่ยง
- ถ้า SL 5 pips ต่อออเดอร์ ทำพลาดหลายครั้งรวมกันอาจเสียเพียง 2–5% ของพอร์ต ไม่กระทบหนัก
- การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงจิตวิทยา
-
- ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ เพราะ Scalping เปิดออเดอร์บ่อย
- หากหัวร้อนหรือรู้สึกกังวล อาจทำให้ละเมิดกฎ SL/TP และ Overtrade
- การพักเบรก หรือใช้ Daily Limit จะช่วยรักษาสมาธิ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Scalping
- Latency และความเร็วในการส่งคำสั่ง
- Scalping ต้องการความเร็วระดับเสี้ยววินาที
- หากอินเทอร์เน็ตช้า การสื่อสารกับโบรกเกอร์ล่าช้า หรือเซิร์ฟเวอร์อยู่ไกล ออเดอร์อาจไม่ตรงจังหวะ
- ตัวอย่าง: ตั้งคำสั่ง Buy EUR/USD ที่ 1.1000 แต่เกิดดีเลย์ 1–2 วินาที ทำให้ราคาเปิดจริงเป็น 1.1002 เสียกำไรทันที 2 pips
- ค่าธรรมเนียม Spread + Commission
- กำไรต่อครั้งมีขนาดเล็กมาก หาก Spread สูงหรือค่าคอมมิชชั่นสูง จะทำให้กำไรหายไปทันที
- การเลือก โบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำ และค่าคอมมิชชั่นคงที่จะช่วยให้ Scalping คุ้มค่ามากขึ้น
- ตัวอย่าง: หาก Spread 2 pips และตั้งเป้ากำไร 5 pips จะได้จริงเพียง 3 pips
- สภาพคล่องของตลาด (Liquidity)
- คู่เงินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EUR/USD, GBP/USD หรือทองคำในช่วงตลาดลอนดอน–นิวยอร์ก เหมาะกับ Scalping
- ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำหรือราคานิ่ง เช่น คู่ Cross AUD/JPY, NZD/CHF ช่วงตลาดเอเช้า จะเข้าออกยาก และ Spread มักจะกว้างขึ้น
- ความผันผวนของราคา (Volatility)
- Scalping ต้องการราคาที่แกว่งตัวพอเพื่อเก็บกำไรเล็ก ๆ
- หากผันผวนเกินไป เช่น ข่าวแรง Non-Farm Payroll อาจเกิด Slippage หรือออเดอร์ถูกลากไปโดน SL
- เครื่องมือและเทคโนโลยีเสริม
- การใช้ VPS ใกล้เซิร์ฟเวอร์โบรกเกอร์ช่วยลด Latency จากหลายร้อยมิลลิวินาทีเหลือไม่ถึง 10 มิลลิวินาที
- การมีจอหลายจอ ช่วยให้มองกราฟและอินดิเคเตอร์ได้พร้อมกัน
- การเลือกแพลตฟอร์มที่ตอบสนองเร็ว เช่น MT4, MT5 หรือ cTrader จะช่วยให้การเข้าออกออเดอร์แม่นยำมากขึ้น
ภาพแนะนำกลยุทธ์ในการเทรด ซึ่งในภาพคือ กรอบเวลา 15 นาที ที่สามารถเข้าเทรดได้ในช่วงสั้น ๆ เพื่อเก็บกำไร โดยทั้ง 3 แบบ ก็สามารถสร้างกำไรได้หากคุณปิดออเดอร์แล้วได้กำไร
Scalping เหมาะกับใคร
- เหมาะกับผู้ที่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ
- ต้องเฝ้าตลาดหลายชั่วโมงต่อวัน โดยเฉพาะช่วงตลาดหลัก เช่น ลอนดอน และนิวยอร์ก
- เหมาะกับผู้ที่ตัดสินใจได้เร็ว
- ต้องเปิด–ปิดออเดอร์ในไม่กี่วินาที
- เหมาะกับผู้ที่มีวินัยสูง
- รู้จักหยุดเมื่อครบเป้าหมาย
- ไม่ Overtrade แม้ว่าจะมีโอกาสหลายครั้งในวันเดียว
- เหมาะกับผู้ที่รับความกดดันได้ดี
- ราคาขยับเร็ว กำไรหรือขาดทุนเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น
- ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้าจอ
- เช่น พนักงานประจำที่ติดประชุมหรืองานยาว
- ไม่เหมาะกับผู้ที่ควบคุมอารมณ์ยาก
- ใจร้อน กลัวพลาด หรือชอบแก้แค้นจากการขาดทุน
- ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบการเทรดเร็ว
- หากเป็นสายวิเคราะห์ยาว ๆ อาจรู้สึกกดดันเกินไป
- ตัวอย่างสถานการณ์จริง
- นักศึกษาและฟรีแลนซ์ที่ว่างช่วงตลาดลอนดอนเปิด สามารถเทรด Scalping สั้น ๆ เพื่อสร้างรายได้เสริม
- พนักงานออฟฟิศที่ไม่มีเวลาเฝ้าจออาจพลาดจังหวะหรือกดออเดอร์ช้า จนกลายเป็นขาดทุนมากกว่ากำไร
ภาพที่บอกถึงคุณสมบัติ และ ความเหมาะสมของคนอยากเทรดแบบ Scalping จะต้องมีวินัยสูง รับความกดดันอย่างมากได้ ที่สำคัญต้องมีเวลาเฝ้าหน้าจอ พร้อมเทรดตลอดเวลา
คลิปที่น่าสนใจ
- ขอแนะนำ คลิปวีดีโอ เทรด Scalping เก็บสั้นกินกำไรคำโต!! และเทรดจบได้ภายใน 1 ชม.
- ซึ่งใช้เทคนิคการเทรดแบบง่าย ๆ โดยไม่ใช้ Indicator ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้กับการเทรดของทุกคน
สรุป
- Scalping เป็นกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้จริง แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน
- ต้องการความเร็วในการเปิด–ปิดออเดอร์ วินัยสูง และความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง
- เหมาะกับผู้ที่ชอบเก็บกำไรเล็ก ๆ หลายรอบต่อวัน แทนรอเทรนด์ใหญ่
- หากเป็นมือใหม่ แนะนำฝึกบนบัญชี Demo ก่อน เพื่อทดสอบความถนัดและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตัวเอง
- ค่าธรรมเนียม Spread กับ Commission ส่งผลต่อกำไรโดยตรง จึงควรเลือกโบรกเกอร์ที่ Low Spread และมี Commission คงที่
- เทรด Scalping สัปดาห์หนึ่งอาจทำกำไรได้ 5–10% ของพอร์ต แต่ถ้าขาดสติ วันเดียวพลาดอาจเสียคืนหมด
- ช่วงเวลาตลาดสำคัญ เช่น London และ New York Session มีสภาพคล่องสูง เหมาะกับ Scalping มากที่สุด
- เครื่องมือเสริมช่วยได้ เช่น VPS ใกล้เซิร์ฟเวอร์โบรกเกอร์, จอหลายจอ, อินดิเคเตอร์ตอบสนองเร็ว
- จิตวิทยาการเทรดสำคัญมาก การควบคุมอารมณ์และหยุดเมื่อครบเป้าหมายช่วยป้องกันการเสียหาย
อ้างอิง:
- Scalping Strategies: Mastering Quick Profits in the Market: https://www.investopedia.com/articles/trading/05/scalping.asp#:~:text=Scalping%20is%20a%20fast%2Dpaced,peak%20liquidity%20to%20avoid%20slippage.
- Scalping: Definition in Trading, How This Strategy Is Used, and Example: https://www.investopedia.com/terms/s/scalping.asp
- Scalping Strategy – How it Works, Types, Tips, & Pros and Cons: https://groww.in/p/scalping-strategy
- Forex Scalping Strategies: What is Scalping in Trading?: https://www.dukascopy.com/swiss/english/marketwatch/articles/forex-scalping-strategies/
- What is a scalping strategy in the stock market and how does it work?: https://www.td.com/ca/en/investing/direct-investing/articles/scalping
- Scalping (Day Trading Technique): https://corporatefinanceinstitute.com/resources/wealth-management/scalping-day-trading-technique/
FAQ – สรุปภาพรวม Scalping Trading